อุดรธานี - ชาวสวนยางพาราหลายอำเภอในจังหวัดอุดรธานี ประสบกับปัญหาฝนตกหนัก อากาศหนาวจัดทำให้ยางพาราเป็น “รา” ไม่สามารถกรีดยางได้ ขณะที่ทางผู้ช่วยเกษตรอำเภอน้ำโสม เผยจากการตรวจสอบแล้วเป็น “เชื้อรา” สกุลออยเดี้ยมทั่วไป หรือเชื้อราแป้ง
ผู้สื่อข่าวได้ทราบจากชาวสวนยางพารา อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นแหล่งปลูกสวนยางพารามากเป็นอันดับ 2 ของจังหวัดอุดรฯ ว่าขณะนี้กำลังประสบกับปัญหาของฝนที่ตกหนักแล้วอากาศหนาวจัดในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ยางพาราเป็นโรค ชาวบ้านไม่สามารถกรีดยางได้
นายบวย วารีศรี อายุ 61 ปี อยู่บ้านเลขที่ 39 ม.12 บ้านหนองแวงน้อย ต.หนองแวง อ.น้ำโสม จ.อุดรฯ ชาวสวนยางพารา พาผู้สื่อข่าวไปดูสวนยาง และเปิดเผยว่า ตนเองใช้ทุนส่วนตัวทำสวนยางพารา ประมาณ 1,600 ต้น ในเนื้อที่ 21 ไร่ แปลงแรกปลูกเมื่อปี พ.ศ.2537 แปลงที่ 2 ปลูกในปี พ.ศ.2539 และแปลงที่ 3 ปลูกในปี 2540 ซึ่งยางทั้ง 3 แปลงนั้นอยู่ติดต่อกันและได้เปิดหน้ากรีดยาง เดือนละ 20 วันได้น้ำยางเดือนละ 1 ตัน มีรายได้ประมาณเดือนละ 70,000-80,000 บาท
นอกจากนี้ยังปลูกมันสำปะหลัง และเลี้ยงหมูเสริมรายได้ ส่งลูกเรียนหนังสือจบปริญญาตรีและทำงานไปแล้วถึง 3 คน เหลือลูกคนเล็กที่กำลังเรียนนิติศาสตร์ปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัยรามคำแหงอยู่
นายบวย บอกอีกว่า ธรรมดายางพาราในภาคอีสาน จะผลัดใบต่อยอดอ่อนในเดือนธันวาคม-มกราคม และใบจะโตเต็มที่กรีดยางได้ในปลายเดือนกุมภาพันธ์หรือต้นเดือนมีนาคม แต่ในปีนี้เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ขณะที่ต้นยางพารากำลังต่อยอดอ่อนอยู่ ก็เกิดมีฝนตกมาอย่างหนักแล้วจากนั้นก็เกิดอากาศหนาวจัดมาก จนทำให้ใบมีราสีขาวที่ใต้ใบแล้วทำให้ใบหงิกงอ เหลืองซีด ทำให้กรีดยางไม่ได้เนื่องจากไม่มีน้ำยาง
ขณะเดียวกัน ลำต้นบางต้นก็แตกเป็นทาง เบื้องต้นได้แจ้งทาง อบต.หนองแวง และเกษตรอำเภอรวมทั้ง สกย.ให้ทราบ นอกจากนั้นก็ได้รู้จากเพื่อน ชาวสวนยางด้วยกัน ว่าเหมือนกันแทบทุกสวน และต่อมาทาง หัวหน้า สกย.ก็ได้สั่งมาไม่ให้กรีดยางในช่วงนี้ ซึ่งก็ทำให้ทุกสวนขาดรายได้
ด้าน นายธวัช เพชรไพโรจน์ ผู้ช่วยเกษตรอำเภอน้ำโสม รักษาการแทนเกษตรอำเภอน้ำโสม กล่าวยอมรับว่า ขณะนี้เกษตรกรในจังหวัดอุดรธานี ได้ปลูกยางพารากันมาก อ.นายูง ปลูกยางกันถึง 50,000 ไร่ เป็นอันดับ 1 ของอุดรฯ ส่วน อ.น้ำโสม ปลูกถึง 40,000 ไร่เศษ เป็นอันดับ 2 รองไป เป็น อ.หนองวัวซอ และ อ.บ้านดุง
โดยเมื่อเร็วๆ นี้หลังจากที่ได้มีพายุใหญ่ผ่านไปแล้วเกิดอากาศหนาวจัด ก็ได้รับรายงานจาก อบต.หลายแห่งว่าต้นยางเป็นโรคที่ไม่เคยพบเห็น ไม่สามารถกรีดยางได้ หลังจากตรวจสอบ พบว่าใบยางบิดงอ ที่ใต้ใบของยางพาราจะมีเชื้อราเป็นเส้นใยสีขาว มีกรอบกว้าง ใบแก่แผลใบจะเป็นกรอบกว้างที่แผลจะมีเชื้อรากัดกินเป็นรอยสีเหลืองซีด ส่วนใบอ่อนปลายจะบิดงอ มีสีดำแล้วเน่า จากนั้นใบทั้งหมดก็จะร่วงล่นลงจากต้น
โรคนี้เรียกว่าโรคใบยางอ่อน เกิดจากเชื้อราสำหรับเชื้อรานี้พบว่า เป็นเชื้อราสกุลออยเดี้ยมทั่วไป (Oidium Leaf Disease) หรือเชื้อราแป้งซึ่งเชื้อราชนิดนี้จะมีลักษณะที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเป็นกระจุกของเส้นใยสีขาว ถ้าส่องดูด้วยแว่นขยายจะเห็นมีสปอร์ติดกันเป็นลูกโซ่อยู่ปลายเส้นใย เมื่อกลุ่มของเชื้อราเจริญได้ดีบนใบ จะมองเห็นเป็นรอยของราแป้งเป็นหย่อมๆ ทั่วไป
โดยเชื้อราชนิดนี้จะเข้าไปทำลายใบยางในช่วงที่ยางกำลังแตกใบอ่อนทั้งยางเล็กและยางใหญ่ โดยเชื้อจะเข้าไปทำลายใบยางอายุ 5-15 วัน หลังผลิตใบ ระยะที่ใบขยายจากสีทองเป็นสีเขียวอ่อน เมื่อเชื้อรานี้ทำลายอย่างรุนแรง ใบจะเหี่ยวและร่วงทันที ถ้าเชื้อรานี้ทำลายใบที่โตเต็มที่จะเห็นอาการเป็นจุด ใบหงิกงอ แผ่นใบจะมีจุดน้ำตาลมีขอบแผลสีเหลือง เมื่ออายุมากจุดเหล่านั้นจะนูนเห็นได้ชัด เชื้อนี้จะแพร่ในช่วงฝนตกชุก และเข้าทำลายส่วนยอดหรือกิ่งอ่อนที่เป็นสีเขียว
จากการไปสำรวจสวนยางพาราทุกสวนพบว่ามีสวนยางที่เป็นโรคราแป้งทำลายมีลักษณะเดียวกันนี้มากกว่า 70% ของสวนยางทั้งหมดของอำเภอน้ำโสม และขณะนี้โรคราแป้งนี้ได้ระบาดไปยังสวนยางของ อ.นายูง อ.หนองวัวซอ และ อ.บ้านดุง ด้วยแล้ว ส่วนวิธีการป้องกันกับต้นอ่อนนั้น ก็ให้ใช้สารเคมีไซเนต ฉีดพ่น 5-6 ครั้งในช่วงระยะใบอ่อนขยายตัวจนโตเต็มที่แล้ว ส่วนผลกระทบนั้นพบว่าจะมีผลกับต้นที่อายุต่ำกว่า 2 ปีลงมา จะทำให้ตายได้
แต่ถ้าเป็นต้นที่สามารถกรีดน้ำยางได้แล้วจะไม่เป็นผลแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าตอนนี้ต้องรอให้ต้นยางผลัดใบให้หมดก่อน จนโรคราแป้งหมดไป แล้วผลัดใบใหม่ จนใบแข็งแรงเขียวชะอุ่มแล้ว จึงจะกรีดยางได้ จะมีผลในช่วงนี้ที่ทำให้ชาวสวนยางเดือดร้อนที่ไม่สามารถกรีดยางได้ ต้องรอไปอีกหลายเดือน ทำให้ไม่มีเงินทองใช้สอย โดยเฉพาะเกษตรกรบางคนที่ไปดาวรถยนต์เพื่อใช้ในการขนยางไปขาย ต้องถูกยึดรถดังกล่าว
ในขณะเดียวกันก็ให้ชาวสวนยางได้ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านแก้ไขโรคนี้ โดยการกวาดใบมาสุมแล้วเผาใช้ผงกำมะถันโรยลงไป ซึ่งจะทำให้ได้ผลเร็วขึ้น และชาวสวนสามารถกรีดยางได้เร็วขึ้น
ขณะที่ว่าที่ ร.ท.มิตรชัย ดุลยลา ผู้ช่วยผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขา อ.น้ำโสม (ธกส.สาขาน้ำโสม) เปิดเผยว่า สำหรับ ธกส.สาขาน้ำโสมนี้รับผิดชอบชาวเกษตรกร 2 อำเภอ คือ อ.นายูงกับ อ.น้ำโสม ตามธรรมดา ก็มีเกษตรกรมาใช้บริการเกี่ยวกับเรื่องของสวนยางพาราของเกษตรกรที่เกิดโรคในครั้งนี้ก็ได้ลงไปสอบถามดูแล้ว ก็ไม่มีเกษตรกรคนใดมาแจ้งในเรื่องนี้ เพราะส่วนมากเกษตรกรที่กู้ไปทำสวนยางพารานั้นยางยังไม่ได้ผล และเกษตรเหล่านี้จะปลูกมันสำปะหลังเป็นหลักมากกว่า
แต่ถ้าหากมีปัญหาเราก็จะเข้าไปดูว่ามากน้อยเพียงใดก็จะลงไปช่วยเหลือ คิดว่าในไตรมาศนี้คงไม่มีปัญหา แต่ในอนาคตยังไม่แน่ถ้าเกษตรกรชาวสวนยางยังมีปัญหาอยู่ แต่ก็ยินดีลงไปช่วยเหลือเต็มที่ ทั้งเกษตรกรที่ปลูกยางตามโครงการของรัฐและที่ปลูกเอง



