แพร่ – ผู้สมัคร ส.ว.เมืองแพร่ ตบเท้าขึ้นเวทีปราศรัยที่ กกต.จัดขึ้นพร้อมหน้า ทายาท “เอื้ออภิญญกุล” ประกาศชัดลงสมัครเพื่อหนุนรัฐบาลบริหารงานได้คล่องตัวขึ้น หลัง “น้องชาย-น้องสาว” พาเหรดยึดเก้าอี้ ส.ส.เมืองแพร่ สังกัดพรรค พปช.ไปก่อน ขณะที่ผู้สมัครจากตระกูล “พนมขวัญ” ประกาศเจตนารมณ์ตรวจสอบรัฐบาล เช่นเดียวกับ “ครูเกษียณ-ทนายชื่อดัง” ย้ำชัดไม่อิงพรรคการเมือง
รายงานข่าวจากจังหวัดแพร่ แจ้งว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดแพร่ เปิดเวทีให้ผู้สมัคร ส.ว.ในจังหวัดแพร่ปราศรัยหาเสียงพร้อมกันที่สนามสวนสุขภาพเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ข้างศาลากลางจังหวัดแพร่ โดยมีการถ่ายทอดเสียงไปยังสถานีวิทยุต่างๆ ทุกสถานีในจังหวัดแพร่ เป็นการกระจายเสียงของผู้สมัครไปถึงทุกหลังคาเรือน เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนมาลงคะแนนกันมากขึ้น หลังจากที่ กกต.ถูกต่อว่า ไม่ประชาสัมพันธ์ โดยมีประชาชนจำนวน 50 คนเข้าร่วมเวที และมี นายเจริญสุข ชุมศรี-นายสุรีย์ กฤษตาคม คณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดแพร่ ร่วมเวทีด้วยนั้น
การปราศรัยดังกล่าวมีผู้สมัคร ส.ว.แพร่ทั้ง 3 คน คือ หมายเลข 1 นายองอาจ เอื้ออภิญญกุล หมายเลข 2 นายขวัญชัย พนมขวัญ และหมายเลข 3 นายไพบูลย์ สุกใส เข้าร่วมเวทีทั้ง 3 คน ตอบคำถามของประชาชนที่สนใจถามส่วนใหญ่เป็นคำถามที่เน้นให้ ส.ว.จะมีแนวทางช่วยชาวแพร่อย่างไร เช่นการทำอย่างไรให้มีงานทำ ซึ่งผู้สมัคร ส.ว.ทั้ง 3 คนเน้นไปที่การนำโรงงานมาตั้งใน จ.แพร่ และต้องเลิกต่อต้านเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยจะต้องมีการผลิตประชาชนออกมารองรับโรงงานด้วย เช่น การศึกษาเฉพาะทาง เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่ ส.ว.หาเสียงจะไม่เข้าประเด็นสำหรับการไปทำหน้าที่ ส.ว.แต่อย่างใด
นายองอาจ เอื้ออภิญญกุล เน้นว่าการที่ตนมาลงสมัครเพราะการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านมาพรรคพลังประชาชน สามารถชนะการเลือกตั้งได้ทั้งหมดในจังหวัดแพร่ และน้องสาว–น้องชาย ของตนได้รับเลือกเป็น ส.ส.แพร่ ประชาชนให้ความไว้วางใจการทำงานของตระกูลเอื้ออภิญญกุล อย่างท่วมท้น และสถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่ปกติเป็นรอยต่อของเผด็จการ อำนาจทหาร ทำให้ตนต้องเข้ามาสมัครเพื่อให้ประชาชนเลือกเข้าไปช่วยให้รัฐบาลบริหารประเทศได้อย่างราบรื่นและในที่สุดงบประมาณก็จะตกมาพัฒนาในจังหวัดแพร่ได้มากขึ้น และมีอำนาจที่จะประสาน ส.ส.ในพรรคพลังประชาชนได้ทำให้การพัฒนาจังหวัดแพร่จะรวดเร็วมากขึ้น
ส่วน นายขวัญชัย พนมขวัญ ยังคงยืนยันการทำงานที่ผ่านมาต้องแต่สมัยบิดา คือ นายรัตน์ พนมขวัญ ที่ทำความดีคุณประโยชน์ให้กับจังหวัดแพร่มาอย่างต่อเนื่อง แต่การมาสมัครครั้งนี้ได้รับการแนะนำจากนายอนุวัธ วงศ์วรรณ และ นายแพทย์ชาญชัย ศิลปะอวยชัย ซึ่งเป็นนักการเมืองในซีกของพรรคพลังประชาชนเช่นกัน
นายขวัญชัย ยืนยันการไม่ซื้อเสียงและที่มีการซื้อเสียงในจังหวัดแพร่ 2,000-5,000 บาทที่ประชาชนได้รับอย่าไปเลือกให้เลือก พร้อมประกาศว่า ตนกล้าถอดถอนถ้ารัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่mujมีปัญหาต่อบ้านเมือง รวมทั้งพร้อมที่จะไปออกกฎหมายและแก้กฎหมายให้กับประชาชน
สำหรับ นายไพบูลย์ สุกใส เน้นย้ำไปที่ตนเองปลอดจากการเมือง พ่อแม่เป็นลูกชาวนา แต่ตนเองได้ไปเป็นนักวิชาการศึกษา เป็นครูมาจนเกษียณอายุ ไปเป็นทนายความต่อ ซึ่งมีความรู้ในด้านกฎหมายเป็นอย่างดี พร้อมที่จะไปออกกฎหมายให้ประโยชน์ต่อประชาชนและประกาศเป็นทางเลือกใหม่ ส.ว.ที่ดีคือ ไม่มีพรรคการเมืองใดสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปราศรัยจบลงในเวลา 21.30 น.วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ที่ผ่านมา ถึงแม้ผู้สมัครทั้ง 3 จะมองว่าตนเองปราศรัยได้อย่างเป็นที่พอใจของประชาชน แต่มีหลายฝ่ายกำลังตรวจสอบสำหรับการที่ผู้สมัครที่มีพรรคการเมืองหนุนหลังอยู่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง ส.ว.หรือไม่
รวมทั้งกระแสการซื้อเสียงที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่หลังการเลือกตั้ง ส.ส.มาจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ยังมีกระแสการซื้อเสียงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการใช้สื่อท้องถิ่นชี้นำการเลือกตั้งในครั้งนี้ โดยเฉพาะหมายเลข 1 มีการออกข่าวในหนังสือท้องถิ่นว่า ชาวแพร่เทคะแนนให้ อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ทางการเมืองในสนาม ส.ว.แพร่เริ่มดุเดือดแล้ว เนื่องจากมีประเด็นของพรรคการเมืองเข้ามาหนุนช่วย