ผู้จัดการออนไลน์ – คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แนะทางออกยุติความรุนแรงระหว่างม็อบหนุน-ม็อบต้านโรงเหล็กสหวิริยา รอให้รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ผ่านการเห็นชอบจากสผ.ก่อนลงมือขุดคลอง-ถมดิน ด้านตร.ตั้งศูนย์เฉพาะกิจฯ คุมเข้ม แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ฯ กังขาสถานการณ์รุนแรงถูกออกแบบไว้ให้ชาวบ้านสองกลุ่มเดินเข้าไปติดกับดัก
นางสุนีย์ ไชยรส กรรมการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งศึกษาติดตามตรวจสอบโครงการก่อสร้างโรงถลุงเหล็กของสหวิริยา เปิดเผยว่า ในช่วงวันสองวันก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 ม.ค. ที่ผ่านมา ตนได้โทรศัพท์ไปหารือกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์และนายอำเภอบางสะพาน เพื่อขอให้ไปเจรจากับทางฝ่ายบริษัทฯ ที่เตรียมขุดคลองระบายน้ำในพื้นที่โครงการฯ ให้ยุติการดำเนินการไปก่อน เพราะวันนั้นมีเหตุการณ์ประจันหน้ากันระหว่างชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึงกับทางฝ่ายพนักงานบริษัทผู้รับเหมาและกลุ่มชายฉกรรจ์และวัยรุ่นที่มีคุ้มกันรถขุดดินของบริษัท ซึ่งอาจจะเกิดความรุนแรงขึ้นมาได้หากยังลงมือขุดคลอง ถมดิน และเหตุการณ์เผชิญหน้าระหว่างม็อบหนุนกับม็อบต้านจนบานปลายมีผู้เสียชีวิตจะไม่เกิดขึ้น หากเจ้าหน้าที่เข้มงวดตรวจตราอาวุธให้ดี
นางสุนีย์ กล่าวต่อว่า โครงการก่อสร้างโรงถลุงเหล็กดังกล่าว มีปัญหาที่ต้องตรวจสอบหลายประเด็น ซึ่งในส่วนที่มาของเอกสารสิทธิ์ที่ดินก็พบว่ามีการออกเอกสารสิทธิ์โดยไม่ชอบหลายแปลงกระทั่งนำไปสู่การเพิกถอนแล้วจำนวน 1 แปลงจากทั้งหมด 17 แปลง ส่วนที่เหลือกำลังรอให้กรมที่ดินนำภาพถ่ายทางอากาศมาเปรียบเทียบและลงพื้นที่สำรวจข้อเท็จจริง ซึ่งเรื่องนี้คณะกรรมการสิทธิฯ เสนอไปยังกรมที่ดินตั้งแต่เดือนพ.ย. 2550 แล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้า
นางสุนีย์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ครั้งแรกที่ผ่านการพิจารณาไปแล้วก็มีความบกพร่องที่ไม่ได้พิจารณาสภาพพื้นที่ที่ตั้งโครงการที่เป็นป่าพรุ กระทั่งสุดท้ายสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ส.ผ.) มีมติให้ทบทวนใหม่
ปัญหาข้างต้นทำให้บริษัทฯ ได้ปรับเปลี่ยนผังที่ตั้งโครงการใหม่เพื่อเลี่ยงพื้นที่ที่มีปัญหา และต้องทำอีไอเอใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม ผังโครงการที่ปรับใหม่ได้ไปทับเส้นทางสาธารณะ ทำให้เป็นปัญหาค้างคาอยู่เช่นกัน
“จุดที่เป็นข้อขัดแย้งคือ ระหว่างที่อีไอเอฉบับใหม่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งต้องพิจารณาผลกระทบของโครงการต่อพื้นที่ป่าพรุซึ่งได้รับการเสนอขึ้นทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งชาติและวนอุทยานด้วย ทางบริษัทผู้รับเหมาถมดินก็ลงมือทำงานโดยไม่รออีไอเอผ่านก่อน” กรรมการคณะกรรมการสิทธิฯ กล่าว
นางสุนีย์ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ต้องยุติความรุนแรงโดยการดำเนินการใดๆ ขอให้รอให้อีไอเอผ่านการเห็นชอบก่อน บริษัทจะอ้างว่าขุดคลองและถมดินในพื้นที่ของตนเองไม่ได้ เพราะการทำอีไอเอของบริษัทพลาดไปแล้วครั้งหนึ่ง การขุดคลอง ถมดินที่กำลังดำเนินการอยู่นั้นเป็นประเด็นสำคัญที่อยู่ในอีไอเอที่คณะผู้ชำนาญการฯ ต้องพิจารณาเนื่องจากคลองระบายน้ำของโครงการจะระบายน้ำไปลงในวนอุทยาน และป่าพรุด้วย
“ทางจังหวัดต้องหาทางยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง ถ้าไม่เช่นนั้นจังหวัดก็ตอบคำถามกับสังคมไม่ได้ว่าเป็นพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึก แต่กลับควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ได้อย่างไร” นางสุนีย์ กล่าว
ทางด้านนางจินตนา แก้วขาว แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูดและกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง เปิดเผยว่า สถานการณ์ในพื้นที่ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ามาตรวจตราดูแล ขณะที่ทางกลุ่มอนุรักษ์ฯ ยังรวมตัวกันบริเวณจุดนัดประชุมประจำของกลุ่ม ทั้งนี้ทางกลุ่มฯ ไม่ต้องการให้เกิดเหตุขัดแย้งรุนแรง และปรับเปลี่ยนกระบวนการโดยการให้ข้อมูลเหตุผล ที่มาที่ไป ที่กลุ่มชาวบ้านต้องลุกขึ้นมาปกป้องทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของชุมชนต่อสาธารณะมากขึ้น ซึ่งขณะที่ชาวบ้านอยู่ในที่ตั้งนี้ ทางผู้รับเหมาได้ลงมือขุดคลอง ชาวบ้านบางส่วนยังต้องการออกไปค้านแต่ตนเห็นว่าจะมีปัญหาขึ้นอีก
“ช่วงนี้เป็นช่วงสูญญากาศ ไม่มีหน่วยงานไหนออกมาตัดสินว่าต้องทำอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น บริษัทก็ถมดินไปโดยไม่ฟังเสียงชาวบ้านที่ต้องการให้มีการพิจารณาอีไอเอก่อน ดูเหมือนอำนาจรัฐทุกส่วนอุ้มบริษัทเอกชน ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นถูกออกแบบไว้ให้เป็นอย่างนั้นใช่หรือไม่” นางจินตนา กล่าว
ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทาง พล.ต.ต.โสภณ พิสุทธิ์วงษ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค7 ได้มาควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่โดยตั้งกองอำนวยการร่วม ที่โรงเรียนบ้านดอนสำราญ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมเรียกประชุมตำรวจที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และได้สรุปสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดจนวิเคราะห์สถานการณ์ในระยะต่อไป โดยที่เน้นดูแลความปลอดภัยให้กับทั้งสองกลุ่ม และวางมาตรการณ์ต่าง ๆ ทั้งปรับการทำงานในด้านการข่าวการสืบสวนสอบสวน รวมไปถึงการจัดชุดออกลาดตระเวนตั้งจุดตรวจค้นทั้งกลางวัน และกลางคืน
ในขณะเดียวกันด้านการหาพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ซึ่งพบมีผู้เสียชีวิต 1 ราย และพบปลอกกระสุนขนาด .38 จำนวน 5 ปลอกในบริเวณป่ามะพร้าวนั้น ให้ทางตำรวจพิสูจน์หลักฐานบันทึกไว้เป็นข้อมูล โดยให้ทาง พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุขแสวง ผกก.สภ.บางสะพาน ดำเนินการให้พนักงานสอบสวน สอบสวนพยานต่างๆอย่างละเอียด และเน้นย้ำว่า หากมีหลักฐานเกี่ยวโยงถึงผู้ใด ที่เป็นผู้ลงมือใช้อาวุธปืนยิงในบริเวณจุดที่มีการปะทะจนทำให้มีผู้เสียชีวิต ก็จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา
ด้านพล.ต.ต.วิรัช วัชรขจร ผู้บังคับการตำรวจภูธร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ประสานขอกำลังตำรวจจังหวัดเพชรบุรีไว้จำนวน 1 กองร้อยประมาณ 150 นาย โดยเตรียมพร้อมไว้ในที่ตั้ง หากมีการข่าวว่า จะมีการปะทะกันอีกในระลอก 2 ก็จะสั่งการขอสนับสนุนจากกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี เข้ามาสนับสนุนได้ทันที
ขณะเดียวกัน กำลังตำรวจ กระจายอยู่ในพื้นที่ เพื่อดูแลสถานการณ์ในพื้นที่ อ.บางสะพาน 150 นาย และยังมีกำลังเสริมอยู่ในที่ตั้งอีก 150 นาย ทั้งนี้ จากการประสานขอความร่วมมือไปยังกลุ่มสนับสนุนและกลุ่มคัดค้านฯ ให้มาพูดคุย แต่ก็ไม่ได้รับการสนองตอบ ทำให้ทางตำรวจต้องปรับยุทธวิธีในการเตรียมความพร้อม และตรวจสอบด้านการข่าวทุกระยะ ซึ่งหากมีการปะทะเกิดขึ้นอีก ก็จะใช้มาตรการเด็ดขาด ทางกฎหมายดำเนินการทันที เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมเหมือนเมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยขณะนี้ได้มอบหมายให้ทาง พ.ต.อ.วรภัทร์ วัฒนวิศาล รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดูแลงานด้านการสอบสวนและคลี่ลายคดีดังกล่าว