ศูนย์ข่าวศรีราชา - “ปิ่นทองกรุ๊ป” เร่งขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง ในเฟสที่ 3 อีก 400 ไร่ เพื่อรองรับการย้ายฐานผลิตและโรงงานขนาดกลางและย่อม รวมทั้งผู้ผลิตรถยนต์อีโคคาร์ของกลุ่มทุนจากญี่ปุ่น ที่มีแนวโน้มหันมาเช่าพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าในไทยมากขึ้น และมองหาพื้นที่นิคมฯ ที่อยู่ไม่ไกลท่าเรือน้ำลึก เพื่อสะดวกต่อการขนย้ายและประหยัดต้นทุนขนส่ง คาดพื้นที่เฟส 3 จะเปิดให้บริการได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า
นางสมศรี ดวงประทีป กรรมการบริหาร นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลสุรศักดิ์ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีเผยว่า การเติบโตของธุรกิจให้เช่าคลังสินค้าและโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชลบุรีนับจากนี้จะขยายตัวอีกมาก หลังสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศซบเซา ซึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนการขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้น จากราคาน้ำมันที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดปรับราคา ส่งผลให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่กล้าลงทุนด้วยการก่อสร้างโรงงานหรือคลังสินค้าที่ต้องใช้งบประมาณในการดำเนินงานค่อนข้างสูง แต่จะหันมาเช่าคลังสินค้าหรือโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อประหยัดต้นทุนดำเนินการแทน
โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME จากประเทศญี่ปุ่นและกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์อีโค คาร์ ที่มีแนวโน้มย้ายฐานผลิตเข้ามาในประเทศไทย มากกว่ากลุ่มนักลงทุนขนาดใหญ่
ทั้งนี้ นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองค่อนข้างได้เปรียบในเรื่องของทำเลที่ตั้งที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองศรีราชา ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจและอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือแหลมฉบัง จนเป็นเหตุให้ในช่วงการพัฒนานิคมฯ เฟส 1 และ 2 เรามีกลุ่มลูกค้า SME ญี่ปุ่น ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และอะไหล่รถยนต์ ย้ายเข้ามาเช่าโรงงานกับเรามากถึง 80% ของผู้เช่าทั้งหมด
“เมื่อปี 2550 ปิ่นทองกรุ๊ปได้ซื้อที่ดินในส่วนที่ติดกับการพัฒนาในเฟสแรกอีกกว่า 400 ไร่ เพื่อรองรับกลุ่มผู้ประ กอบการ ที่จะเข้ามาเช่าพื้นที่โรงงานกับเราอีกจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้การดำเนินการในเฟส 3 ได้ผ่านขั้นตอนการประกาศพื้นที่แล้ว เหลือเพียงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและก่อสร้างโรงงาน ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า” นางสมศรีกล่าว
นางสมศรี ยังเผยอีกว่า การเติบโตของธุรกิจให้เช่าคลังสินค้าและโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชลบุรีในปี 2551 จะเติบโตอีกไม่น้อยกว่า 20% แม้จะมีการคาดการณ์ว่าในปี 2551 ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะชะลอตัวกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งนี้เป็นเพราะความต้องการย้ายฐานผลิตของกลุ่ม SME ญี่ปุ่นยังมีอย่างต่อเนื่องรวมทั้งกลุ่มอีโคคาร์ที่เตรียมย้ายฐานผลิตมาไทย และจะมองหาพื้นที่ที่มีทำเลไม่ไกลท่าเรือเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ในส่วนการสร้างผลกำไรของการพัฒนาที่ดินสำหรับนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองพบว่ามีอัตราเติบโตเฉลี่ย 15-20% ต่อปี
“นิคมฯ ปิ่นทอง นอกจากจะมีข้อได้เปรียบเรื่องทำเลที่ตั้งแล้ว ในส่วนของราคาที่ถูกกว่าผู้พัฒนานิคมฯรายใหญ่ ยังจูงใจให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมให้ความสำคัญกับนิคมฯแห่งนี้ และในแต่ละปียังมีการเชิญตัวแทนหอการค้า และนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นเข้าชมพื้นที่โครงการ ซึ่งลูกค้าของเราส่วนใหญ่เกิดจากการบอกต่อแบบปากต่อปาก เพราะเราดูแลลูกค้าแบบญาติและให้บริการเรื่องคำปรึกษาและงานเอกสารทางราชการ ทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกมากขึ้น”
นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง มีพื้นที่รวมทั้งสิ้นกว่า 2 ,000 ไร่ โดยการลงทุนเบื้องต้นใช้ทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท แบ่งการพัฒนาเป็น 3 เฟส คือ เฟสแรก 204 ไร่ และก่อสร้างโรงงานให้เช่าจำนวน 80 โรงงาน ส่วนในเฟสที่ 2 ได้พัฒนาพื้นที่อีกจำนวนหนึ่ง เพื่อก่อตั้งโรงงานให้เช่าอีก 20 โรงและในส่วนของพื้นที่เฟส 3 จะแบ่งพื้นที่ให้เช่าเป็น 80% ของพื้นที่ทั้งหมด ที่เหลือ 20% เป็นพื้นที่สำหรับขาย
สำหรับแนวทางการพัฒนาธุรกิจจะดำเนินแบบค่อยเป็นค่อยไปและตัดสินใจลงทุน เมื่อมองเห็นแนวโน้มความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป็นสำคัญ ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง เป็นบริษัทลูกของปิ่นทองกรุ๊ป ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเหล็ก และการขนส่งมานานกว่า 30 ปี