ผู้จัดการรายวัน- บีโอไอเผยยอดขอลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหรือ FDI ปี 2550 มูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 63% หรือมีมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท ส่งผลให้ยอดลงทุนรวมทั้งปีทะลุเป้า 6.55 แสนล้านบาท
นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ ( FDI) ปี 2550 มีจำนวน 846 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 502,737 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63% เมื่อเทียบกับมูลค่าเงินลงทุนทางตรงจากต่างประเทศในปี 2549 ที่มูลค่า 307,668 ล้านบาท ส่งผลให้การลงทุนรวมตลอดปี 2550 ทั้งไทยและต่างประเทศมีทั้งสิ้น 1,318 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 655,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าปี 2549 ถึง 32% ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 494,200 ล้านบาท
ทั้งนี้ญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศลำดับแรกที่ยื่นขอรับส่งเสริมมากสุดด้วยจำนวน 330 โครงการ มูลค่า 149,071 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับมูลค่าในปี 2549 ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 110,476 ล้านบาท รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา มีมูลค่าเงินลงทุน 85,752 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 131% เมื่อเทียบกับปี 2549 ซึ่งมีมูลค่า 37,059 ล้านบาท ตามด้วยกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป 74,145 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 142 %เมื่อเทียบกับปี 2549 ซึ่งมีมูลค่า 30,532 ล้านบาท
“ อุตสาหกรรมที่ต่างชาติขอรับการส่งเสริมมากสุดคือ ยานยนต์และชิ้นส่วน 153,531 ล้านบาท รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค 124,805 ล้านบาท อันดับ 3 อุตสาหกรรมปิโตรเคมี 100,010ล้านบาท “นายสาธิตกล่าว
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมที่นักลงทุนยื่นขอรับส่งเสริมมากที่สุดคือ อุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค จำนวน 341 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 172,700 ล้านบาท รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วน และเครื่องจักร จำนวน 273 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 171,200 ล้านบาท อันดับ 3 คือ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี กระดาษและพลาสติก จำนวน 173 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 151,800 ล้านบาท ตามด้วยอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า จำนวน 231 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 81,200 ล้านบาท
นายสาธิตกล่าวว่า การลงทุนในปี 2551 คาดว่าจะยังมีการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวเนื่องหรือเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ ลงทุนเพิ่มขึ้นอีกมาก เพื่อรองรับโครงการผลิตรถยนต์ที่ได้รับส่งเสริมการลงทุน นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณแสดงความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการลงทุนจากกลุ่มผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมที่เตรียมขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเพื่อรองรับการลงทุนกลุ่มใหม่ๆ ถึง 9 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 8,000 ล้านบาท
นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ ( FDI) ปี 2550 มีจำนวน 846 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 502,737 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63% เมื่อเทียบกับมูลค่าเงินลงทุนทางตรงจากต่างประเทศในปี 2549 ที่มูลค่า 307,668 ล้านบาท ส่งผลให้การลงทุนรวมตลอดปี 2550 ทั้งไทยและต่างประเทศมีทั้งสิ้น 1,318 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 655,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าปี 2549 ถึง 32% ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 494,200 ล้านบาท
ทั้งนี้ญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศลำดับแรกที่ยื่นขอรับส่งเสริมมากสุดด้วยจำนวน 330 โครงการ มูลค่า 149,071 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับมูลค่าในปี 2549 ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 110,476 ล้านบาท รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา มีมูลค่าเงินลงทุน 85,752 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 131% เมื่อเทียบกับปี 2549 ซึ่งมีมูลค่า 37,059 ล้านบาท ตามด้วยกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป 74,145 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 142 %เมื่อเทียบกับปี 2549 ซึ่งมีมูลค่า 30,532 ล้านบาท
“ อุตสาหกรรมที่ต่างชาติขอรับการส่งเสริมมากสุดคือ ยานยนต์และชิ้นส่วน 153,531 ล้านบาท รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค 124,805 ล้านบาท อันดับ 3 อุตสาหกรรมปิโตรเคมี 100,010ล้านบาท “นายสาธิตกล่าว
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมที่นักลงทุนยื่นขอรับส่งเสริมมากที่สุดคือ อุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค จำนวน 341 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 172,700 ล้านบาท รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วน และเครื่องจักร จำนวน 273 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 171,200 ล้านบาท อันดับ 3 คือ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี กระดาษและพลาสติก จำนวน 173 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 151,800 ล้านบาท ตามด้วยอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า จำนวน 231 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 81,200 ล้านบาท
นายสาธิตกล่าวว่า การลงทุนในปี 2551 คาดว่าจะยังมีการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวเนื่องหรือเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ ลงทุนเพิ่มขึ้นอีกมาก เพื่อรองรับโครงการผลิตรถยนต์ที่ได้รับส่งเสริมการลงทุน นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณแสดงความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการลงทุนจากกลุ่มผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมที่เตรียมขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเพื่อรองรับการลงทุนกลุ่มใหม่ๆ ถึง 9 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 8,000 ล้านบาท