ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ – นักวิชาการชี้สร้างประตูระบายน้ำพร้อมรื้อฝายในแม่น้ำปิงไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ แถมจะส่งผลกระทบทำให้น้ำท่วมลำพูนและพื้นที่ทางตอนใต้หนักขึ้น แนะสร้างแก้มลิงหรือเขื่อนในลำน้ำแม่แตงเพื่อลดอัตราการไหลสูงสุดของน้ำก่อนถึงตัวเมือง ขณะที่เครือข่ายแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ ทั้งระบบภาคประชาชนจี้กรมชลประทานล้มเลิกโครงการฯ แล้วให้เร่งจัดการแก้ไขปัญหาการรุกล้ำพื้นที่ริมตลิ่งที่เป็นสาเหตุสำคัญอันดับ 1 โดยเร็ว ระบุที่ผ่านมาการจัดการปัญหาเหมือนเป็นแค่ “ปาหี่” พร้อมย้ำฝายไม่ได้เป็นต้นเหตุน้ำท่วมเชียงใหม่
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ยงยุทธ สุขวนาชัยกุล อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แสดงความเห็นเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำในแม่น้ำปิง พร้อมรื้อฝายเก่า 3 แห่ง เพื่อป้องกันน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ ของกรมชลประทานว่า โดยส่วนตัวมองว่าการสร้างประตูระบายน้ำตามโครงการดังกล่าวโดยอ้างว่าเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมนั้น ไม่น่าจะเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่ถูกวิธี ทั้งนี้ตามหลักวิชาการแล้วการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่จะต้องทำโดยการมีมาตรการชะลออัตราการไหลสูงสุดของน้ำที่จะเข้ามาถึงตัวเมืองเชียงใหม่ให้เหลือน้อยที่สุดในช่วงน้ำหลาก ซึ่งสามารถทำได้โดยการสร้างเขื่อนหรือทำแก้มลิงในพื้นที่ต้นน้ำ เพื่อดักชะลอน้ำจากลำน้ำสาขาใหญ่ๆ ที่จะไหลลงสู่แม่น้ำปิง
ปัจจุบันทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำปิงมีเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชลที่ช่วยชะลอน้ำอยู่แล้ว แต่ทางฝั่งขวายังไม่มีโครงสร้างใดๆ ที่ช่วยชะลอน้ำจากลำน้ำแม่แตงหรือลำน้ำแม่ริม ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการเกิดน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ เห็นได้ชัดจากกรณีเกิดน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ในปี 2548 ที่อัตราการไหลสูงสุดของน้ำในแม่น้ำปิง 800 ลูกบาศก์เมตร/วินาทีนั้น เป็นน้ำที่มาจากลำน้ำแม่แตงถึงกว่า 300 ลูกบาศก์เมตร/วินาที
ดังนั้นเห็นว่าการก่อสร้างเขื่อนบนลำน้ำแม่แตง น่าจะเป็นวิธีการที่ดีกว่าในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเชื่อว่าทางกรมชลประทานก็น่าจะได้มีการศึกษาเรื่องนี้ไว้พอสมควร อย่างไรก็ตามยอมรับการสร้างเขื่อนนั้น มีทั้งผลดีและผลเสีย กล่าวคือแม้จะช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ แต่จะมีผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมตามมา ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจว่าจะเลือกอย่างไหน หรืออาจจะเลือกที่จะยอมรับสภาพโดยไม่ต้องสร้างเขื่อนก็ได้ เพราะโอกาสที่ปริมาณน้ำในแม่น้ำปิงจะมากถึง 800 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ในแต่ละปีมีเพียง 2% เท่านั้น
นอกจากนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ยงยุทธ กล่าวว่า การสร้างประตูระบายน้ำอาจจะมีประโยชน์อยู่บ้างในแง่ของการช่วยให้น้ำสามารถไหลระบายได้เร็วยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามการสร้างโครงสร้างดังกล่าวในพื้นที่ท้ายน้ำย่อมไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์หรือช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่เลย เพราะกว่าที่น้ำจะไหลมาถึงประตูระบายน้ำ ในเขตตัวเมืองก็ถูกน้ำท่วมหมดแล้ว
นอกจากนี้ การสร้างประตูระบายน้ำและรื้อฝายเก่า 3 แห่งในแม่น้ำปิงออกไปนั้น จะส่งผลเสียอย่างยิ่งต่อพื้นที่รับน้ำที่อยู่ทางใต้ของตัวเมืองเชียงใหม่ ทั้งอำเภอสารภีและจังหวัดลำพูน เพราะจะไม่มีฝายที่ช่วยชะลอน้ำอีกต่อไป และมีการระบายน้ำออกจากพื้นที่เชียงใหม่เร็วยิ่งขึ้นด้วย ทำให้พื้นที่ดังกล่าวจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาน้ำท่วมอย่างหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ยงยุทธ แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า ปัญหาสำคัญของแม่น้ำปิงในเวลานี้คือปัญหาลำน้ำคับแคบที่เกิดจากการรุกล้ำ ทำให้สามารถรองรับปริมาณน้ำได้น้อย ทั้งนี้แม้ว่าทางภาครัฐจะมีโครงการขุดขยายความกว้างของลำน้ำแม่ปิงช่วงผ่านตัวเมืองเชียงใหม่ให้ได้ 90 เมตรตลอดแนวก็ตาม แต่โดยส่วนตัวเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทำให้เป็นไปได้ยาก และการที่สามารถทำการขุดขยายความกว้างของลำน้ำได้เพียงบางจุดเท่านั้นก็ไม่ได้เกิดผลลัพธ์ที่คุ้มค่าในแง่ของการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำแต่อย่างใด เพราะจะทำให้ลำน้ำเกิดลักษณะที่เป็นคอขวด
ด้าน ดร.ดวงจันทร์ อาภาวัชรุตม์ เจริญเมือง ตัวแทนเครือข่ายแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ทั้งระบบภาคประชาชน เปิดเผยว่า ทางเครือข่ายฯ อยากเรียกร้องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ล้มเลิกโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำในแม่น้ำปิงไปอย่างถาวร ด้วยเหตุผลที่การก่อสร้างประตูระบายน้ำดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ เพราะสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมมาจากการรุกล้ำพื้นที่ริมตลิ่ง ซึ่งหากไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจังและเกิดผลเป็นรูปธรรมแล้ว การสร้างประตูน้ำก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น
ดร.ดวงจันทร์ ระบุอีกว่า ว่าฝายทั้ง 3 แห่งที่จะถูกรื้อตามโครงการนี้มีบทบาทสำคัญในการช่วยชะลอน้ำหลากและกักเก็บน้ำ เพื่อใช้ในการเกษตรช่วงฤดูแล้ง ซึ่งไม่ได้เป็นต้นเหตุของการเกิดน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่อย่างที่บางฝ่ายกล่าวอ้าง ทั้งนี้จะเห็นได้จากการที่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาและก่อนหน้าปี 2548 ไม่เกิดน้ำท่วมเลย ซึ่งหากมีการฝายทิ้งเพื่อสร้างประตูระบายน้ำ หวั่นเกรงว่าอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนที่อยู่ในเมืองกับคนที่อยู่นอกเมืองตามมาได้ เพราะระบบการจัดการน้ำจะไม่เหมือนเดิมและจะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำเพื่อการเกษตร
สำหรับการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ริมตลิ่งแม่น้ำปิง ดร.ดวงจันทร์ กล่าวว่า เป็นปัญหาสำคัญลำดับต้นๆ ที่ควรจะต้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ได้ก่อนที่จะไปทำอย่างอื่นเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาทุกฝ่ายต่างทราบกันดีว่าเป็นปัญหาสำคัญที่สุด แต่กลับไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจังเท่าที่ควร โดยการดำเนินการที่ผ่านๆ มาเหมือนกับเป็นการแสดง “ปาหี่” เท่านั้น เพราะจะมีการตั้งท่าเหมือนเอาจริงเอาจังเฉพาะในช่วงที่ผู้หลักผู้ใหญ่ เช่น นายกรัฐมนตรี ลงมาติดตามความคืบหน้าการดำเนินการเท่านั้น
ทั้งนี้จากการเคยสำรวจความเห็นของประชาชนเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างผนังกั้นสองฝั่งแม่น้ำปิงเพื่อป้องกันน้ำท่วม พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าสาเหตุอันดับ 1 ของน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่มาจากการบุกรุกพื้นที่ริมตลิ่ง ดังนั้น หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ก็ไม่ควรมากล่าวโทษว่าปัญหาน้ำท่วมมาจากฝายและจะสร้างประตูระบายน้ำ
นอกจากนี้ ตัวแทนเครือข่ายแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ทั้งระบบภาคประชาชน บอกว่า ขณะนี้เครือข่ายฯ กำลังทำการสำรวจความคิดเห็นประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำในแม่น้ำปิง พร้อมรื้อฝายเก่า 3 แห่ง โดยใช้งบประมาณที่ได้จากการระดมทุนของสมาชิกเครือข่าย หลังจากก่อนหน้านี้ทางกรมชลประทานเจ้าของโครงการฯ ได้ว่าจ้างให้สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งทำการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ที่ถูกน้ำท่วมไปแล้วครั้งหนึ่งจำนวน 2,500 ชุด แต่ในส่วนของเครือข่ายฯ เห็นว่าควรจะต้องสอบถามความคิดเห็น จากผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างผู้ใช้ประโยชน์จากระบบเหมืองฝายด้วย
ในการสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้จะทำแบบสอบถาม 5,000 ชุด ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่เชียงใหม่ไปถึงลำพูน โดยจะมีการเก็บข้อมูลอย่างละเอียด เช่น ผู้ตอบแบบสอบถามอาศัยอยู่ในย่านใด ทราบข้อมูลเกี่ยวกับโครงการฯ หรือไม่ สาเหตุของน้ำท่วม การรื้อฝายส่งกระทบหรือไม่ อย่างไร และเห็นด้วยกับโครงการฯ หรือไม่ เป็นต้น คาดว่าจะน่าทราบผลการสำรวจได้ในเร็วๆ นี้
อนึ่ง โครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำในแม่น้ำปิงพร้อมรื้อย้ายฝายเก่า 3 แห่งของกรมชลประทานนั้น มีมูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท โดยการดำเนินการตามโครงการจะประกอบด้วย 1.การสร้างประตูระบายน้ำชนิดบานเหล็กโค้ง ขนาดบานระบายน้ำกว้าง 12.50 เมตร สูง 6.50 เมตร จำนวน 6 บาน พร้อมระบบควบคุมน้ำอัตโนมัติ 2.บันไดปลาโจน ขนาดกว้าง 3 เมตร ยาวประมาณ 270 เมตร 3.อาคารท่อส่งน้ำปากคลองขนาด 2 คูณ 2 เมตร จำนวน 3 แห่ง เพื่อส่งน้ำให้กับพื้นที่ฝายทั้ง 3 แห่งและ 4.การรื้อฝายท่าศาลา(ฝายพญาคำ) ฝายหนองผึ้ง และฝายท่าวังตาล
ตามรายละเอียดโครงการที่มีการนำเสนอชี้แจง ระบุว่า ประตูระบายน้ำดังกล่าวนี้จะสามารถบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงใหม่ได้เป็นอย่างดี และยังสามารถใช้ประโยชน์ในการส่งน้ำให้กับพื้นที่การเกษตรของท่าศาลา(ฝายพญาคำ) ฝายหนองผึ้ง และฝายท่าวังตาล จำนวน 10,000 ไร่ 5,200 ไร่ และ 8,100 ไร่ ตามลำดับด้วย