ผู้บริโภคร้อง โดน “คลินิกเสริมความงาม” ขายคอร์สแบบ “ฉ้อฉล” ด้วยการพูดหว่านล้อม กดดันลูกค้าให้ “วิตก” จนต้องยอมซื้อคอร์ส แฉวิธีขายแบบฮาร์ดเซลล์อีกล้านแปด นักจิตวิทยาเตือน มีคน 2 ประเภท ที่ตกเป็นกลุ่มเป้าหมาย และเหยื่อโอชะของขบวนการนี้!!
** เปย์สุดเพดาน เพราะวิตกกังวล **
ผู้บริโภคร้องเรียน ถูกคลินิกเสริมความงาม “หว่านล้อม” ล่อให้ซื้อ “คอร์สเสริมความงาม” เกินความจำเป็น จนต้องเสียเงินไปถึง “6 ล้านบาท!!” ก่อนต้องเข้าร้องเรียนกับทางสภาผู้บริโภค
จุดเริ่มต้นของการสูญทรัพย์ทั้งหมด คือลูกค้ารายนี้เดินเล่นในห้างฯ ดัง แล้วไปเจอบูธประชาสัมพันธ์ของคลินิก จนถูกพนักงานเชิญไปตรวจสุขภาพผิวเบื้องต้น
ผลที่ออกมาคือ เจ้าหน้าที่คลินิกบอกว่า พบปัญหาด้านผิวแห้ง แต่กลับไม่ใช่เรื่องที่เหยื่อรายนี้สนใจอะไรมากนัก แต่ที่กังวลกลับคือ ปัญหาสุขภาพที่เป็นอยู่มากกว่า นั่นก็คือ “ไขมันพอกตับ”
เมื่อเจ้าหน้าที่คลินิกได้ยินแบบนั้น ก็เลยเสนอขาย “คอร์สลดน้ำหนัก-สลายไขมัน” ให้ โดยอ้างว่าจะช่วยแก้ปัญหาไขมันพอกตับได้ ผู้บริโภครายนี้เลยหลงเชื่อ ตัดสินใจซื้อคอร์สไป 10,000 บาท
ตามมาด้วยการหว่านล้อมเพิ่ม ให้ “ซื้อคอร์ส” ด้วยการหยิบปัญหาสุขภาพ ที่ผู้บริโภครายนี้กังวลมากๆ มาอ้าง ทำให้เจ้าตัวเกิดอาการ “วิตกกังวล-ตื่นตระหนก” สุดท้ายเลยยอมจ่ายเงินเพิ่มในที่สุด
และทุกครั้งที่เข้าไปใช้บริการคลินิก ก็จะถูกหว่านล้อมแบบเดิมทุกครั้ง คือ “ให้ซื้อคอร์สเพิ่ม” ทั้งที่ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ คือคอร์สละหลักล้านบาท จนสุดท้าย เหยื่อรายนี้หลงกล ตัดสินใจซื้อคอร์สเพิ่มไป 4 ครั้ง คิดเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า “6 ล้านบาท”
แต่เนื่องจากเจ้าตัวไม่ได้ใช้บริการครบทุกคอร์ส และได้รับข้อมูลคลาดเคลื่อน จนทำให้ต้องสูญเงินไปหลายล้าน เหยื่อจึง “อยากได้เงินคืน”
แต่หลังจากเจรจากับคลินิกแล้ว กลับเสนอเงินคืนได้เพียง “1 ล้านบาท” ด้วยข้ออ้างที่ว่า เป็นไปตาม “นโยบายบริษัท” ซึ่งจะไม่คืนเงินที่ผู้บริโภคชำระมาแล้ว ไม่ว่ากรณีใดๆ
จนนำไปสู่กระบวนการร้องเรียนไปยัง “สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)” และ “สภาองค์กรของผู้บริโภค” ในที่สุด
** โกยหลายล้าน เพราะ “ฉ้อฉล” **
ผลการตรวจสอบเบื้องต้นคือ การขายแบบนี้เข้าข่าย “ฉ้อฉล” และนี่คือคำอธิบายจาก “มิ้ง-ภัทรกร ทีปบุญรัตน์” รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค จากสภาองค์กรของผู้บริโภค
“อันนี้คือปัญหาสุขภาพ ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเสริมความงาม แต่การที่เขาเอาข้อมูล ซึ่งตัวเองไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ แต่ไปให้ข้อมูลทางการแพทย์ว่า การลดน้ำหนักจะมาช่วยอาการของไขมันพอกตับเนี่ย
ตัวผู้ประกอบการไม่สามารถทำได้ ในกรณีแบบนี้ ก็คือการฉ้อฉล เอาข้อมูลซึ่งมันไม่จริง ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจสาระสำคัญผิด โฆษณาเกินจริง”
ที่แย่กว่านั้นคือ ผู้เสียหายรายนี้มีโรคประจำตัว คือ “อาการวิตกกังวล” ทำให้เวลาโดนกดดัน เร่งเร้าให้ตัดสินใจ จะไม่สามารถเลือกได้อย่างมีประสิทธิภาพ 100%
ถึงขนาดที่ว่า ผู้บริโภค “รูดบัตรเครดิต”ซื้อคอร์สจนเต็มวงเงินแล้ว ทางคลินิกยังเอาโทรศัพท์ของผู้เสียหาย โทร.ไปเพิ่มวงเงินบัตรเครดิต จัดแจงให้เสร็จสรรพทุกอย่าง แล้วให้เจ้าตัวมีหน้าที่แค่ “ยืนยันตัวตน”เท่านั้น
ยิ่งแฉพฤติกรรม ภาพยิ่งชัดขึ้นอีกว่า นี่คือ “การละเมิดสิทธิผู้บริโภค” ด้วยการทำให้คนซื้อ ขาดอิสระในการตัดสินใจ
และยังน่าจะเข้าข่าย “เอาเปรียบผู้บริโภค” ด้วย จากนโยบายที่กำหนดไว้ว่า “ไม่คืนเงินทุกกรณี”ซึ่งความจริงแล้ว เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะถ้าไม่พอใจในบริการ ลูกค้ามีสิทธิ์ยกเลิก และขอเงินคืนได้
{“มิ้ง-ภัทรกร” รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองฯ สภาผู้บริโภค}
** ฮาร์ดเซลล์ VS ละเมิดสิทธิ์ **
ใครเดินห้างฯ บ่อยๆ จะรู้ว่า คลินิกต่างๆ ชอบใช้เทคนิคการขายแบบ “ยัดเยียด-จู่โจม” เริ่มตั้งแต่ดึงแขนลูกค้า ลากเข้าบูธเลยก็มี ซึ่งเป็นการกระทำที่เสี่ยงเข้าข่ายผิด “กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค”
วิธีการแยกการขายแบบ “ฮาร์ดเซลล์” ออกจากลักษณะพฤติกรรม “ละเมิดสิทธิ์” ลูกค้า อันดับแรก ต้องดูก่อนว่า ลูกค้าคนนั้นได้รับ “ข้อมูลที่ถูกต้อง” ประกอบการตัดสินใจหรือไม่
ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ ถ้าเป็นการเสริมความงาม ต้องไม่อ้างสรรพคุณเกินไป ไปถึงขึ้นบอกว่าเป็นการรักษาโรค
นอกนั้น ให้ดูว่าลูกค้ายังหลงเหลือ “สิทธิ์ในการตัดสินใจ” ของตัวเองอยู่ไหม คือยังสามารถเลือกสินค้าหรือบริการ โดยปราศจาก “การบังคับ” หรือ “ชักจูง” อย่าง “ไม่เป็นธรรม”
ถ้าเมื่อไหร่ที่ลูกค้าปฏิเสธออกมาตรงๆ แล้วว่า “ไม่เอา-ไม่ซื้อ-ไม่สนใจ” หรือแม้แต่ “ขอคิดดูก่อน” แล้วยังถูกตามตื๊อ กดดัน ให้เกิดการ “ซื้ออย่างไม่เต็มใจ” ก็จะเข้าข่าย “ละเมิดสิทธิของผู้บริโภค” และอาจถูกข้อหา “สร้างความเดือดร้อนรำคาญ” เพิ่มได้อีกกระทงด้วย
“หลักการคือ ถ้าล้อไปกับกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ท่านก็จะต้องบรรยายข้อมูล สรรพคุณอย่างตรงไปตรงมา อย่างถูกต้อง เพื่อให้ผู้บริโภคเป็นคนตัดสินใจเองนะครับ
ถ้าผู้บริโภคตัดสินใจว่าไม่ ท่านก็ไม่ควรจะไปเร่งเร้า ไปชักจูง เพื่อเร่งการตัดสินใจ อันนี้ก็จะเป็นแง่ในเชิง จริยธรรมของตัวพนักงานขายเอง”
** เหยื่อคนโปรด “2 กลุ่ม” ต้องระวัง!! **
อะไรทำให้คนคนนึงถูกเกลี้ยกล่อม จนสามารถจ่ายเงินหลายล้านออกไปได้อย่างง่ายดาย คือสิ่งที่ผู้คนต่างสงสัย และคนที่จะให้คำตอบได้ดีที่สุดก็คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาสังคม
เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ผึ้ง-กุสุมา ลีลานราธิวัฒน์” อาจารย์ประจำคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ช่วยวิเคราะห์ให้ฟังว่า มันคือเทคนิค “Foot-in-the-door” หรือ “ได้คืบจะเอาศอก” นั่นเอง
“ที่มันเรียก Foot-in-the-door เพราะว่าเมื่อไหร่ที่ก้าวเข้าไป เหยียบในบ้านคนนั้นได้แล้ว ก็มีโอกาสที่เขาจะยอมจ่ายเงิน จะยอมซื้อมากขึ้น”
เริ่มแรกอาจเสนอให้ซื้อสินค้าหรือบริการ ในที่ราคาไม่แพงมาก เป็นข้อเสนอเล็กๆ ก่อน จากนั้นถ้าตกลงซื้อแล้ว มันก็เหมือนเปิดประตูบ้าน ให้เขาเข้ามาในจิตใจ เพิ่มโอกาสเสนอขายของที่แพงขึ้นเรื่อยๆ ให้ได้
ถ้าลงลึกเข้าไปในกลไกทางจิตวิทยา เหตุผลที่ผลักให้ผู้คน “ยอมจ่ายแพงขึ้น” ได้เรื่อยๆ อย่างแรกเป็นเพราะสมองตีความว่า นี่คือ “สิ่งที่เราอยากได้” การจ่ายเงินเพิ่ม เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ เลยไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่กับคนบางกลุ่ม อาจรู้ตัวว่าเผลอไผลซื้อ แต่กลับ “ไม่อยากยอมรับความจริง” ว่าทำพลาดไป ก็เลยตัดสินใจซื้อเป็นครั้งที่ 2 อาจจะด้วยสินค้าที่แพงขึ้น เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกว่า การซื้อครั้งแรกไม่ใช่เรื่องผิดพลาดอะไร จึงเกิดกลายเป็นการซื้อครั้งที่ 2 ตามมา
และสุดท้าย ยอมซื้อเพราะมองว่า “นี่คือเรื่องปกติ” ใครๆ เขาก็ตอบตกลงซื้อเหมือนกันนั่นแหละ หลักๆ จากการฟังคำหว่านล้อมของเหล่านักขาย ที่ชักจูงให้คิดไปว่า คนนั้นก็ซื้อ คนนี้ก็เอา จนทำให้ไม่เอ๊ะ ไม่ตั้งคำถาม กับการจ่ายเงินเพิ่ม
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คนที่ถูกชักจูงทุกคนจะกลายเป็น “เหยื่อ” หรือยอมซื้อสินค้าและบริการต่างๆ ได้ง่ายๆ เพราะกลุ่มเป้าหมายหลักๆ คือ คนที่มี “บุคลิกแบบเป็นมิตร” เพราะธรรมชาติของคนแบบนี้ เป็นคน “แคร์ความสัมพันธ์” “ขี้เกรงใจ” และ “ไม่กล้าปฏิเสธ” นั่นเอง
กับคนอีกกลุ่ม คือคนที่มี “ภาวะทางจิตใจและอารมณ์ไม่มั่นคง” และอาจรวมถึงใครก็ตาม ที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจ หรือมีความเครียดสะสมยาวนาน จนส่งผลให้การตัดสินใจไม่สมบูรณ์เพียงพอ
สุดท้าย ก็จะกลายเป็น “เหยื่ออันโอชะ” ของเหล่านักขายฮาร์ดเซลล์ ดังนั้น วิธีรับมือก็คืออย่าพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยง หรือถ้าจำเป็นต้องเข้าไปพัวพัน ให้ทำใจแข็งๆ และเตรียมคำพูดปฏิเสธเอาไว้ในหัวเลย
แต่ถ้าการปฏิเสธสำหรับบางคน เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก แนะนำให้หาเพื่อนไปด้วย เวลาต้องเดินห้างฯ สถานที่เสี่ยงที่สุดที่จะได้เจอเหล่านักขายกระหายเงิน
“เรามีความเป็นมิตร หรือเป็นคนที่โอนอ่อนผ่อนตามคนอื่นง่าย อันนี้เราอาจจะไม่ควร ที่จะไปอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นคนเดียว เราเป็นปฏิเสธคนไม่ค่อยเก่ง
อันนี้เราก็ต้องระมัดระวัง คือสุขภาพจิตของเรา อาจจะส่งผลต่อการตัดสินใจของเราได้ด้วย”
{“ผึ้ง-กุสุมา” อาจารย์วิชาจิตวิทยาสังคม จุฬาฯ}
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : www.pinterest.com
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **


