“งานรื่นเริง” จัดตามความเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องมีแค่ “ถวายอาลัย” เหล่าผู้จัดเตรียมปรับรูปแบบงาน ผลักให้เป็น Soft Power ชวนวิเคราะห์คำว่า “ดุลยพินิจ” กับการเทิดทูนพระเกียรติอย่างเหมาะสม
** แรงผลัก “ไว้อาลัย” ผันเป็น “Soft Power” **
กลายเป็นภาพแห่งความประทับใจ ที่แสดงถึง “ความจงรักภักดี”ของ “คนไทย”เมื่อผู้คนนับหมื่นภายในงานคอนเสิร์ตระดับโลกอย่าง “BLACKPINK WORLD TOUR IN BANGKOK” ของวง “BLACKPINK”ที่จัดขึ้นในราชมังคลากีฬาสถาน ที่ผ่านมา
พร้อมใจกัน “ยืนสงบนิ่ง” ถวายความอาลัย แด่ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง”ซึ่งเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา
และไม่ได้มีแค่คนไทย ที่ประทับใจกับภาพการพร้อมใจถวายความอาลัยนี้ “ชาวต่างชาติ” ที่ได้พบเห็น ต่างก็ชื่นชมในความจงรักภักดี ที่คนไทยร่วมกันแสดงออกต่อสมเด็จพระพันปีหลวงเหมือนกัน
ท่ามกลางคำว่า “ดุลยพินิจ” ที่ฟากรัฐบาลเปิดช่องไว้ให้ สามารถจัด “งานรื่นเริง” ได้ ผลักให้หลายฝ่ายลุกขึ้นมาช่วยกันวิเคราะห์ ถึงกรอบของ “ความเหมาะสม” ที่ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ออกมาแถลงการณ์เอาไว้
“ผมก็ขอขอบพระคุณในความร่วมมือ และผมก็มั่นใจว่าพี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการทั้งหลาย สามารถใช้ดุลยพินิจในทางที่เหมาะที่ควรได้”
และหนึ่งในงานอีเวนต์ที่ได้รับคำชมเชย จากการปรับเปลี่ยนรูปแบบของงานได้อย่างเหมาะสม เป็นตัวอย่างของการใช้ “ดุลยพินิจ” ได้อย่างดีงาม จนกลายเป็น Soft Power ส่งเสริมพระราชกรณียกิจของ “สมเด็จพระพันปีหลวง” ไปในตัว นั่นก็คือ “เทศกาลพลุนานาชาติเมืองพัทยา 2568”
งานใหญ่ประจำท้องถิ่น ที่ล่าสุดมีการเปลี่ยนชื่องานเป็น “แสงแห่งความจงรักภักดี สถิตในใจนิรันดร์ The Light of Eternal Royalty”
นอกจากมีการเพิ่ม “การยืนไว้อาลัย” ในช่วงต้นของงานแล้ว ยังเพิ่มการแสดง “โขน” ซึ่งเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูง ที่พระองค์ทรงช่วยอนุรักษ์ จนถือเป็นอีกหนึ่งพระราชกรณียกิจเข้าไปด้วย
โดยพ่องานของเทศกาลนี้ อย่าง “นายกเบียร์” (ปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์) นายกเมืองพัทยา บอกกับเราว่า การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ นอกจากตั้งใจให้เป็นการ “ไว้อาลัย” อีกแนวคิดที่สำคัญก็คือ “การรำลึกถึง”
ด้วยเบื้องหลังความคิดที่ว่า “พัทยา” คือ “เมืองท่องเที่ยว” มีชาวต่างชาติมากมาย ดังนั้น การไว้อาลัยโดยสอดแทรกพระราชกรณีกิจเข้าไป จึงจะกลายเป็น Soft Power
ผลักให้นานาชาติได้รับรู้ ถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ซึ่งถือเป็น “ผลดี”มากกว่า “การงดจัดงาน” ไปเลยอย่างแน่นอน
“คือเราไม่จำเป็นต้องงดทุกอย่าง แล้วยังไงต่อ คือความเศร้า เรามีในใจ เราแสดงความเศร้าออกมา ในการเทิดทูน ในสิ่งที่ท่านทำให้เรา ให้คนต่างชาติมาเห็น”
“ก็เป็นสิ่งที่คิดว่า น่าจะผสมกันได้อย่างลงตัว 1.รำลึกถึงท่าน 2.ยังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปได้ด้วย คิดว่ารัฐบาลก็คงมองจุดนี้เหมือนกัน จึงให้กรอบว่า จัดได้ ให้มีความเหมาะสม”
{“นายกเบียร์” นายกเมืองพัทยา}
** “ดุลยพินิจ” ของเรา ไม่เท่ากัน **
ถ้าให้วิเคราะห์จากมุมมองของผู้จัดคอนเสิร์ตแล้ว “ปูม-ปิยสุ โกมารทัต” ผู้จัดงานคอนเสิร์ต Seen Scene Space และ Maho Rasop Festival คิดว่า โมเดล “เทศกาลพลุนานาชาติเมืองพัทยา”สามารถเป็นตัวอย่างดีๆ เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้จัดอีเวนต์อื่นๆ ต่อจากนี้ได้
“เชื่อว่าตอนนี้ มีหลายงานที่เอาไอเดีย ไปปรับใช้กับงานตัวเองFestival อะไรต่างๆ”
“ปรับตามที่รัฐบาลเขาต้องการ เขาเสนอมา ซึ่งจริงๆ มันไม่จำเป็นต้องยกเลิก หรืออะไรก็ได้เนอะ เช่น เรามี Photo Backdrop และอาจจะมีพื้นที่ที่เกี่ยวกับการไว้อาลัย”
ย้ำชัดว่า งานรื่นเริง หรืองานเทศกาลทุกงานจัดได้ และไม่ควรมีงานไหนถูกยกเลิก เพราะงานเหล่านี้สามารถปรับรูปแบบ ให้เหมาะสมกับบรรยากาศแห่งการไว้อาลัยได้
“มีงานนึงที่ไม่ควรยกเลิก คืองานลอยกระทง เสียดาย เพราะว่าเวลาเราลอยกระทง มันเหมือนเราส่งเรื่องต่างๆ ที่อยู่ในจิตใจเรา มอบให้สมเด็จพระพันปีหลวงได้ ซึ่งมันสามารถเอาไปปรับ คล้ายๆ งานพลุพัทยาได้เลย”
{“ปูม-ปิยสุ” ผู้จัดงานคอนเสิร์ต}
ปัญหาหลักตอนนี้ สำหรับการ “จัด” หรือ “ไม่จัด” งานต่างๆ โดยเฉพาะในส่วนของ “ภาครัฐ-หน่วยงานราชการ”นั่นก็คือคำอนุญาตปลายเปิด จากคำว่า “ดุลยพินิจ”
ตัวอย่างการตัดสินใจ ที่ส่งให้กลายเป็นดรามาในสังคมไปหมาดๆ คือ ความเคลื่อนไหวของ “กระทรวงศึกษาธิการ” จากแรกเริ่มสั่งให้สถานศึกษาทุกแห่ง งดจัด “งานรื่นเริง” ทุกประเภทเป็นเวลา 1 ปี
ผลักให้หลายฝ่ายต้องออกมาต้าน เพราะมองว่าอาจกระทบต่อเด็กๆ โดยเฉพาะชั้น ป.5 และ ป.6 ที่ต้องเข้าร่วมกิจกรรม เพื่อเก็บผลงาน (Portfolio) ยื่นเข้ามหาวิทยาลัยในอนาคต
ภายหลังจึงออกมาประกาศเปลี่ยนแปลงว่า กิจกรรมที่อยู่ในหลักสูตรการสอน อย่างกีฬาสี, กิจกรรมเสริมทักษะทางวิชาการของนักเรียน หรือกิจกรรมลูกเสือ สามารถ “ทำได้ตามปกติ” แต่ขอให้ใช้ “ดุลยพินิจ”จัดอย่างเหมาะสม
รวมถึงอีกเคสที่ถูกวิจารณ์ในวงกว้างว่า ผู้อนุมัติโครงการ “ขาดวิสัยทัศน์”ก็คือ “งานประเพณีเดือนยี่เป็งเชียงใหม่” ที่ “เทศบาลนครเชียงใหม่”ตัดสินใจเปลี่ยนภูมิทัศน์ เอาสเปรย์สีดำมาพ่นทับดอกไม้หลากสี ที่ประดับตามจุดต่าง ๆ จนอึมครึมไปทั่วบริเวณ
{ปรับภูมิทัศน์ เพื่อไว้อาลัย ถูกวิจารณ์หนัก “ไร้วิสัยทัศน์”}
ลองให้ผู้จัดคอนเสิร์ตรายเดิม ช่วยวิเคราะห์ถึงคำว่า “ดุลยพินิจ” ที่เป็นปัญหา ว่าเกี่ยวข้องกับความแตกต่าง ระหว่างหัวคิดแบบ “เอกชน” กับ “ราชการ” หรือเปล่า เจ้าตัวมองว่า...
“ถ้ามองเรื่องนี้ แต่ละคนก็มีวิจารณญาณต่างกันนะครับ อย่างที่รัฐบาลเขาก็บอกว่า ตามความเหมาะสม จริงๆ ก็ตามนั้นแหล่ะ ที่หลายคนชอบพูดว่า ความเหมาะสมแต่ละคน มันไม่เท่ากัน”
“มันก็ไม่ได้มีความชัดเจนที่จะลงล็อกว่า ต้องทำแบบนั้น ต้องทำแบบนี้ บางคนเขาก็มองความเหมาะสมต่างกันจริงๆ นั่นแหละครับ”
ส่วน “นายกเบียร์” นายกเมืองพัทยา ที่ถึงแม้จะเป็นหน่วยงานราชการเหมือนกัน แต่ก็เลือกใช้ “ดุลยพินิจ” ได้อย่างน่าสนใจ ด้วยความคิดเบื้องหลังที่มองว่า...
“ถ้าเราไปงด งด งด เนี่ย ผมก็ไม่แน่ใจว่า มันคือการเทิดทูนสถาบันที่เคร่งครัดเกินไป จนภาพรวมความรู้สึกของคนในชาติ เขาจะรู้สึกทำให้ลดถอนความเทิดทูนลงไปหรือเปล่า ผมมองอย่างนี้”
“แล้วก็ประเด็นที่สำคัญเนี่ย เมื่อเราเนี่ยเทิดทูนสถาบันเนี่ย ต้องอย่าทำให้ประชาชนทั่วไปรู้สึกว่า ความเคร่งครัด ของการดำเนินการต่างๆ จะทำให้มองสถาบันไม่ดี ซึ่งอันนี้ ท่านไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นเลย”
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : Facebook “ชีวิตติดรีวิว”, “มาลองดู Thailand”, ”Thai Enquirer”, “TRAP Music World”, “สหภาพแรงงานวิงสแปนสัมพันธ์” และ “Drama-addict”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **


