เธอคือคนไทยหนึ่งเดียวในบริษัทบันเทิงชั้นนำเกาหลีใต้ ที่พาแบรนด์ไทย เข้าสู่อุตสาหกรรมให้ปังปุริเย คือ หนึ่งเบื้องหลังในตัวแปรสำคัญในอนาคต ที่ทำให้ “ความเป็นไทย” ปรากฏชัดขึ้นในทั่วมุมโลก และนี่คือบทสัมภาษณ์ ที่ผ่านประสบการณ์ ของ “ฝน-คนึงชนก” ที่ใช้ความชื่นชอบเป็นเครื่องผลักดันตัวเอง ที่รอการพิสูจน์ พาแบรนด์โกอินเตอร์!!?
แปลงโอกาส จากความชอบ สู่เส้นทาง “เกาหลี”
“ฝนรู้สึกภูมิใจนะคะ คือ เราได้ทำงานกับบริษัทที่ใหญ่มากบริษัทหนึ่งของเกาหลี ซึ่งจริงๆ แล้ว เขาเองก็สามารถที่จะเลือกทำงานกับใครก็ได้ เราก็เป็นคนไทยคนเดียว เราเลยรู้สึกว่าเป็นความภาคภูมิใจ และเป็นเกียรติที่ได้ร่วมงานกับบริษัท CJ ENM ในฐานะตัวแทนประเทศไทยค่ะ”
นั่นคือ ความรู้สึกของ “ฝน-คนึงชนก รุ่งวาว” สาวไทย วัย 33 ปี หนึ่งเดียวที่ได้รับตำแหน่ง “Manager, Sales and Partnership” ใน “CJ ENM” บริษัทบันเทิงชั้นนำของเกาหลีใต้ ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ “Parisite” ที่สร้างประวัติศาสตร์อันงดงามในเวทีออสการ์ กับการเป็นภาพยนตร์สัญชาติเกาหลีใต้เรื่องแรกที่ชนะในเวทีนี้ และเป็นภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่องแรกที่ชนะรางวัลใหญ่สุดอย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในเวทีออสการ์
ไม่เพียงแค่นั้น ยังผลิตทีวีซีรีส์ชื่อดังอย่าง Clash Landing on You, Vincenzo, Hometown Cha Cha Chaและล่าสุด Twenty Five Twenty One
อีกทั้งมีผลงานด้านดนตรี มีช่องเพลง K-Pop ชื่อดังอย่าง MNET ที่เป็นผู้จัดงาน “MNET Asian Music Awards (MAMA)” งานประกาศรางวัลดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และยังเป็นผู้ที่จัดงาน KCON/ KCON:TACT งาน Korean Convention ที่จัดขึ้นในเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก รวมทั้งในกรุงเทพฯ อีกด้วย
เรียกว่า การนำพาความฝัน ให้เข้าถึงโอกาสได้มากกว่าที่เป็นอยู่สำหรับฝนนั้น เริ่มออกเดินไปหาโอกาส พิสูจน์ตัวตนได้รับโอกาสเข้าไป ทำงานใน บริษัท CJ ENM ดูแลการทำงานในประเทศไทย ที่มีอยู่คนเดียวเท่านั้นในตอนนี้ พร้อมทั้งยังช่วยผลักให้ “สินค้าไทย” ก้าวสู่ระดับโลก
“ตำแหน่งนี้ยังไม่มีเกิดขึ้น ส่วนผู้ที่ดูแลในตลาดไทย ก่อนหน้านี้ จะเป็นทีมเกาหลีทั้งหมด บริษัท CJ ENM ฝ่าย Global business เราก็จะมีผู้ดูแลของแต่ละประเทศ อยู่ในประเทศต่างๆ ซึ่งตอนนี้เพิ่งจะเริ่มมีคนแรกในประเทศไทย
ตำแหน่งของฝน คือ ตำแหน่ง Manager, Sales and Partnership ประจำประเทศไทย หน้าที่หลักของเรา คือ เราเป็นผู้มองหาโอกาสทางธุรกิจให้กับแบรนด์สินค้าไทย ที่มีความสนใจจะร่วมงาน มาร่วมมือกัน โดยการใช้สื่อบันเทิงของประเทศเกาหลี
ในการทำกิจกรรมตลาด เพื่อประโยชน์ของแบรนด์นั้นๆ ซึ่งมองแล้วสื่อของทางเกาหลี มัน Impact ไม่ใช่แค่เกาหลี และไม่ใช่แค่เอเชีย แต่ว่าในระดับโลกด้วย
ดังนั้น ฝนว่า มันเป็นโอกาสที่ดี สำหรับแบรนด์สินค้าไทยที่สนใจ ที่อยากจะเติบโต และขยายตลาด สามารถที่จะติดต่อเข้ามาพูดคุยกันได้ค่ะ เพราะว่าโอกาสการทำธุรกิจมีหลากหลายรูปแบบมาก อย่างเช่น เราสามารถที่จะติดต่อศิลปิน ดาราเกาหลี ที่ได้รับความนิยม ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศด้วย มาร่วมงาน มาเป็น Presenter ทำกิจกรรมทางการตลาด Fan meeting ก็สามารถที่จะจัดให้เกิดขึ้นได้
หรืออย่างเช่น ซีรีส์เกาหลีที่เราดูอยู่ในปัจจุบัน เราก็สามารถที่จะทำสิ่งที่เรียกว่า Product Placement หรือในไทยก็จะชินหูกันว่าการ Tie in เป็นการที่เราสามารถนำเอาสินค้าเข้าไปมีส่วนร่วมในเนื้อเรื่องของซีรีส์ได้ด้วย
ซึ่งจริงๆ ในการทำงานของเกาหลี ฝนชื่นชม เพราะว่าการทำ Product Placement ของเขา จะค่อนข้างมีความลึก ในแง่ของการดัดแปลงจุดขายของ Product เข้าไปในบทเลย เพื่อที่จะสามารถสื่อสารจุดขายของสินค้า โดยที่ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา
คนดูก็จะรู้สึก อ๋อ มันเกิดขึ้น ทำไมต้องใช้สิ่งนี้ เพื่อเหตุผลอะไร โดยที่ไม่รู้สึกว่ามันยัดเยียด หรือว่ามันปลอมเกินไป”
ล้วงความพอดี “Tie-in” สุดปัง
“กฎหลักของทางเกาหลี คือ การวางสินค้านั้นต้องอยู่ในสภาพปกติธรรมชาติ เขาไม่ได้ตั้ง หรือมีการซูม มันต้องอยู่ใน setting ที่ดูเหมือนการใช้ชีวิตปกติ ฝนรู้สึกว่าอันนี้เขาทำได้ดี ไม่ยัดเยียดจนเกินไป”
ระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่การปรับบท ตลอดจนการถ่ายทำ กว่าจะออกมาเป็นผลงานเบื้องหน้า ได้อย่างที่เห็นนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่าง ที่เป็นกฎเหล็ก ที่ผ่านการกลั่นกรองจนสร้างความสำเร็จให้กับสินค้าทั่วทุกมุมโลก จึงถือเป็นอีกหนึ่งงานที่ท้าทายชีวิตการเป็น Manager, Sales and Partnership ของเธอคนนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ถ้าเราทราบว่า จะมีซีรีส์เรื่องไหนที่กำลังจะมีการถ่ายทำ อย่างแรกเราอาจจะมองภาพรวมก่อน ว่า ซีรีส์เป็นเรื่องราวประมาณไหน และสินค้าประเภทไหนน่าจะมีความเหมาะสมได้ที่จะไปอยู่ซีรีส์เรื่องนั้น แล้วดูไม่แปลก
ไม่โดดออกมา ซึ่งก็สามารถเริ่มจากการวิเคราะห์ก่อนก็ได้ ว่า ซีรีส์เรื่องนี้มีเนื้อหาประมาณนี้ ดังนั้นสินค้าประเภทนี้ สามารถเข้าไปได้
หลังจากที่ทีมเกาหลีเขาโอเคแล้ว ว่า มันเหมาะสมกับซีรีส์เรื่องนี้ เราถึงจะมีการปรับแก้บทเพื่อที่จะพูดถึงจุดขายของสินค้าต่างๆ ค่ะ
หมายความว่า บทที่เขียนมานั้นใกล้เคียงกับ finish product แล้ว แต่ก่อนเขาจะถ่ายทำจะเป็นช่วงที่ Product Placement สามารถที่จะเข้ามาได้ เพราะว่าในกรณีที่เรายังไม่ถ่ายทำ ยังมีเวลาที่สามารถแก้ไขบทได้อยู่”
ประสบการณ์จากคนไทยในหนึ่งเดียว ในบริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่แห่งนี้ บอกเล่าให้ฟังว่าสินค้าอีกมากมาย ที่ถูกเรียงร้อยไปในเนื้อเรื่องของซีรีส์เกาหลี เพื่อปรากฏอยู่ในชีวิตประจำวันของเหล่าตัวละคร แบบที่รู้ตัวอีกที คนดูแบบเราๆ ก็จดจำแบรนด์เหล่านั้นไว้ในใจ และรู้สึกอยากลองซื้อใช้ขึ้นมา
สิ่งเหล่านี้ คือ โฆษณาแฝง หรือที่เราเรียกกันว่า “Tie-in” ที่ถูกสอดแทรกอยู่ในสื่อหลากหลายประเภท โดยการ Tie-in สินค้านั้น เป็นการทำให้สินค้าปรากฏอยู่ในเรื่อง โดยการวางในฉาก ให้ตัวละครใช้งาน และดูไม่เยอะจนเกินไป เพราะหากเป็นการยัดเยียดจนเกินพอดี อาจจะทำให้เกิดแง่ลบต่อสินค้า และผลงานซีรีส์ไปเลย
“มันมีลิมิต ไม่ต้องเป็นห่วงการยัดเยียดเลยค่ะ เพราะว่าในการทำ Tie- in ครั้งหนึ่งมันมีระเบียบข้อบังคับกำกับอยู่แล้ว ว่าเราจะโผล่ขึ้นได้แค่กี่ครั้งเท่านั้น
มันจะไม่เจอตลอด อย่างนี้เราไม่ทำแน่นอนค่ะ เพราะว่ามันเป็นการไม่เคารพผู้ชมเราด้วย เราก็อยากให้ผู้ชมเขาชมรู้สึกสนุกสนาน หรือรู้สึกอินไปกับเรื่อง ไม่ใช่ว่า product เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้น การเล่าเรื่องเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า”
แน่นอนว่า การเปิดพื้นที่ให้สินค้าเข้ามา Tie-in นี้ สร้างมูลค่ารายได้ให้กับซีรีส์เป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับสินค้า ห้าม Tie-in ของทางเกาหลีนั้น จะเป็นสินค้าที่ก่อให้เกิดความรุนแรง โดยจะมองภาพรวมเป็นหลัก
“ฝนต้องทราบทั้งหมด ต้องทราบทั้งเส้นเรื่อง นักแสดง ผู้กำกับทั้งหมดก่อนว่า ซีรีส์ที่เราถ่ายจะเป็นลักษณะนี้ หลังจากนั้น ฝนถึงต้องไปคุยกับลูกค้า ว่า ลูกค้ามีจุดขายอะไร อะไรคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการนำเสนอ แล้วก็กลับไปคุยกับทีมที่เป็นผู้ผลิต เราก็ต้องปรึกษากัน ตกลงกัน เพื่อที่จะแก้บทให้เหมาะสมที่สุดค่ะ
จริงๆ แล้วสินค้าที่ไม่อาจจะเข้ามาร่วม Tie-in ได้ คือ เป็นสินค้าทั่วไปที่มีความรุนแรง แต่สินค้าที่ต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ก็จะเป็นเรื่องของแอลกอฮอล์ บุหรี่ ซึ่งทางเกาหลีก็จะมีกฎหมายอยู่ว่า จะต้องออกอากาศฉายหลัง 5 ทุ่ม ก็สามารถออกได้ แต่ว่าจะต้องมีกฎระเบียบที่ต้องตามค่ะ”
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การมองหาโอกาสทางธุรกิจให้กับแบรนด์สินค้าไทยของสาวไทยผู้นี้ เพื่อชูจุดขายสินค้า โดยมีความหวังในอนาคต ยังได้ช่วยถ่ายทอดคุณค่าทางวัฒนธรรม และความงดงามที่สะท้อนกลิ่นอายความเป็นไทยให้ทั่วโลกได้มากเลยทีเดียว
“จริงๆ ฝนมองว่าแบรนด์ไทยหลากหลายแบรนด์ ก็เป็นบริษัท หรือเป็นแบรนด์ที่จัดจำหน่ายไปทั่วโลกอยู่แล้ว อย่างแบรนด์กึ่งบะหมี่สำเร็จรูป หรือว่าจะเป็นน้ำมัน กะทิ เครื่องปรุงทั้งหลาย ซึ่งจริงๆ สินค้าของไทยของเราเองก็เป็นสินค้าที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกด้วย
ดังนั้น ฝนว่าในส่วนของการ Tie-in มันเป็นเรื่องของการเปิดโอกาสให้กับคนที่ไม่เคยได้เห็นสินค้าของเรา หรืออาจจะไม่ได้เป็นสินค้าที่เขาจะใช้ แต่พอมันไปอยู่ที่จุดที่มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาสนใจ มันเหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้เขาได้มีประสบการณ์ไปร่วมกับตัวละครในบทนั้นด้วย
มันอาจจะไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่า ใครจะเป็นคนดูบ้าง แต่อย่างน้อยมันก็เป็นการสื่อสารออกไป ดังนั้น ฝนว่ามันเป็นโอกาสที่ดี แล้วด้วยนิยมของซีรีส์เกาหลีเองในปัจจุบัน ก็ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย หรือแค่เอเชีย แต่ไปถึงระดับโลกแล้ว กับค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้สูงเลย อันนี้ฝันว่าเป็นโอกาสที่ดีมากๆ เลยค่ะ ที่น่าจะทดลองดู”
โดยในอนาคตนี้ เธอบอกว่า น่าจะมองเรื่องศักยภาพการร่วมมือกันระหว่าง CJ ENM กับบริษัทในไทย ให้แบรนด์ไทย ได้มีโอกาสไปเฉิดฉายในซีรีส์เกาหลี และสามารถให้การต่อยอดไปได้เรื่อยๆ เป็นการเรียนรู้จากเกาหลีที่เขาสร้างกระแสวัฒนธรรม K-Wave (ใช้สื่อถึงความคลั่งไคล้ในวัฒนธรรมเกาหลีที่เพิ่มสูงขึ้น) ไปทั่วโลก
“จากการที่ได้เห็นความสำเร็จของซีรีส์เกาหลีในระดับโลก ถ้าเป็นไปได้ฝนก็อยากมองเห็นว่าสักวันนึงละครที่เราดูกันอยู่เป็นเรื่องธรรมดา จะได้ไปถึงจุดนั้น และได้รับความนิยมในระดับโลกเช่นกัน ก็หวังว่าจะได้เห็นในอนาคต
ฝนว่าอย่างน้อยการที่เราได้มีการทำ Tie-in หรือ Product placement ในซีรีส์เกาหลี มันเหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้กับคนจำนวนมาก ได้มีการเข้าถึงสินค้า ได้มีประสบการณ์ให้กับผู้ชมด้วยกัน
นอกเหนือจากนั้น ผู้ชมไทยเองก็มีฐานผู้ชมจำนวนมากอยู่แล้ว ในส่วนของตลาดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นตลาดเอเชีย ตลาดยุโรป ตลาดอเมริกา ก็ถือเป็นผลประโยชน์ที่ผลักดันขึ้นมา ว่า ทำให้เขาสนใจ ก็มียี่ห้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือมีน้ำปลา เครื่องปรุงต่างๆ ดังนั้น ก็มองได้เป็นการเปิดโอกาสให้กว้างขึ้น ในงบประมาณที่ไม่สูงเลย
สำหรับคนที่ดูแลตลาดต่างๆ ก็จะมีเพื่อนร่วมงานของฝนที่ดูแลอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และ ไทย ซึ่งทีมของเราจะดูแลในส่วนของ Southeast Asia จริงๆ แล้วฝนว่าเหตุผลหลัก ที่ทำให้เขามองว่าไทยเป็นประเทศที่มีโอกาสทำธุรกิจ คือ เราเองมีฐานแฟนคลับที่ค่อนข้างหนาแน่น
ไม่ว่าจะเป็นส่วนของ K-POP หรือว่าจะเป็นซีรีส์เกาหลี ก็มีฐานผู้ชมที่ได้รับความนิยมสูงค่ะ ดังนั้น ก็เลยมองว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพค่ะ”
ไม่ง่าย! ปลุกฝัน “แบรนด์ไทย” ให้โกอินเตอร์!!
มาถึงการเจาะลึกเบื้องหลังกันบ้าง ฝน เล่าว่า ก่อนที่ได้รับโอกาสเข้ามาทำงาน เป็นหนึ่งเดียวในไทย ที่ได้รับตำแหน่งสำคัญนั้น เคยมีประสบการณ์ทำงานในวงการสื่อบันเทิงไทย
ก่อนได้รับการติดต่อจาก Head Hunter ผู้เชี่ยวชาญการจัดหาจากบริษัทประเทศเกาหลี โดยระยะเวลากว่า 3 เดือน เธอต้องผ่านการทำการบ้านอย่างหนักหน่วง และฝ่าบทพิสูจน์ความสามารถ
“ตอนนี้ทุกอย่างเป็นการทำงานออนไลน์หมดเลย เสียดายเหมือนกันค่ะ ถ้าเป็นในกรณีปกติฝนคงได้มีโอกาสบินไปที่เกาหลีด้วย ตอนนี้กลายเป็นว่าทุกอย่างทำงานออนไลน์ ทั้งในส่วนการประชุม ประสานกับทางเกาหลี และการพูดคุยกับลูกค้าในประเทศไทยเอง เนื่องจากโควิด-19 ดังนั้น ทุกคนต้องติดต่อสื่อสารออนไลน์เป็นหลัก
ตอนนั้นเป็นการสัมภาษณ์ออนไลน์ มีทีมเกาหลีล้วน 5 คน ฝนรู้สึกตื่นเต้น แต่ว่าจริงๆ เขาก็อยากจะรู้ว่าเราเป็นยังไง เรามีประสบการณ์อะไรบ้าง เรามีความรู้ในธุรกิจบันเทิงในแง่ไหนบ้าง
โดยบริษัทก็ควบคุมหลายๆ ด้าน ทั้งเพลง ทั้งทีวี ทั้งภาพยนตร์ ซึ่งก็โชคดีที่ประสบการณ์ที่ได้ทำงานมาตลอดเวลา ก็ค่อนข้างตรงกับที่เขามองหา เพราะเขาอยากได้คนที่มีความคิดริเริ่ม และสามารถบูรณาการธุรกิจบันเทิงหลากหลายในประเทศไทยได้ค่ะ
ฝนรู้สึกว่าตอนที่สัมภาษณ์ มันไม่ได้เกร็ง แต่เหมือนเขาน่าจะชอบในความที่เราคิดยังไง เราก็พูดออกมา เรามีความคิด เรามีทัศนคติยังไง เราก็แสดงออกมาให้เขาเห็น
ตัวฝนเอง ฝนมองว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดเลย กับการที่จะร่วมงานกับใคร คือ การมีทัศนคติที่ตรงกัน ดังนั้น ฝนก็เลยรู้สึกว่าทัศนคติที่เข้ากันได้มีผลมาก เพราะว่าเรามีประสบการณ์ที่ดี Back up แล้ว เรามีใจพร้อมที่จะสู้ กับสิ่งที่จะเข้ามา สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นเหตุผลค่ะ
สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการเป็นคนที่ up-to-date ติดตามข่าวสาร และ สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน
คือ ตัวฝนเองก็ชอบซีรีส์เกาหลีในส่วนตัวอยู่แล้ว ดังนั้น การที่เราติดตามข้อมูลข่าวสารของเขา เข้าใจผลงาน ผลผลิตของเขา ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ เพลง รายการต่างๆ มันสนุกไปด้วย ดังนั้น ฝนรู้สึกว่า ถ้าเกิดเราได้ทำงานอะไรที่เราสนุกกับมัน ฝนเชื่อว่าก็จะทำได้ดีค่ะ”
เธอพร้อมพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้รับโอกาส ก็พร้อมจะทำให้ดีกว่าเดิม เพราะยังมีความท้าทายอยู่ตลอดเวลาในงานที่ทำเสมอ
“ฝนเป็นตัวแทนของประเทศไทยคนเดียวในตอนนี้ ดังนั้น มันอาจจะมีบางช่วงบางตอนที่เราจะต้องบิ้วตัวเองมากๆ เลย เพื่อที่จะคิดโปรโจกต์ใหม่ๆ ติดต่อลูกค้าใหม่ๆ มันก็จะมีเหนื่อยบ้างเหมือนกัน แต่มีความตั้งใจ ว่า เรามายืนจุดนี้แล้ว เรามีความรับผิดชอบ เรามีความสามารถที่จะทำได้ ดังนั้น ทำไมเราไม่ทำให้ดีที่สุดล่ะ
ดังนั้น ฝนก็เลยรู้สึกว่า ถ้าเหนื่อย ถ้าท้อก็พักค่ะ แต่พอพักเสร็จแล้ว กลับมาก็ฟาดเต็มที่ ทำให้ดีที่สุด เพราะฝนก็ไม่อยากให้ใครเข้ามามองว่า คนไทย หรือว่าเราทำได้ไม่ดี ดังนั้น ตอนนี้ก็เต็มที่กับงานมากๆ เลยค่ะ
ฝนโชคดีที่ได้มีโอกาสทำงาน กับผู้คนหลากหลายประเทศมาก่อน เพราะว่าก่อนหน้านี้ ฝนดูแลส่วนของการตลาดต่างประเทศอยู่แล้ว แต่ว่าพอมาทำงานกับเกาหลีโดยเฉพาะ มันก็ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง วัฒนธรรมของเขา วิธีการทำงานของเขาว่าเป็นยังไง ทำไมเขาถึงเป๊ะ ปังเวอร์ขนาดนี้
คือ เขาค่อนข้างที่จะสื่อสารออกมาตรงๆ ค่ะ แต่จริงๆ แล้วก็มีความยากนิดนึง เพราะว่าวัฒนธรรมไทยเราอาจจะต้องมีการประนีประนอมกันมากหน่อย
ฝนก็จะรับฟัง และฝนจะพยายามที่จะปรับการสื่อสารให้มันเหมาะกับคนไทยมากขึ้น แต่การทำงานสไตล์เกาหลีที่มีความตรงไปตรงมาชัดเจน มีประสิทธิภาพดีค่ะ เพราะว่าเราตกลงกันไว้ชัดเจน ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดังนั้นงานมันจะค่อนข้างเป๊ะค่ะ”
ท้ายที่สุดแล้ว เชื่อว่า เมื่อได้อยู่ในเส้นทางที่เป็นเป้าหมายในสิ่งที่ตัวเองรัก ก็อาจนำพาความฝัน ให้เข้าถึงโอกาสได้มากกว่าที่เป็นอยู่ และเลือกแพ็กกระเป๋าออกเดินทางไปตามล่าความฝันในต่างแดน เช่นเดียวกับเธอ ที่อยู่เบื้องหน้าผู้สัมภาษณ์รายนี้ ที่เปรยคำตอบผ่านรอยยิ้มเสมอ
“เวลาที่ต้องเจอกับบททดสอบยากๆ หมายถึงว่า การสัมภาษณ์บริษัทชั้นนำ เขาก็มีระบบระเบียบมีขั้นตอนอะไรค่อนข้างเยอะ ดังนั้น แน่นอนมันต้องมีความกังวลเกิดขึ้น ความกลัว ความไม่แน่ใจในตัวเอง แต่พอมันถึงจุดๆ นั้น มันก็ถึงเวลาที่เราต้องออกไปสู้แล้ว
ถ้าเราไม่สลัดความกลัวออกไป เราก็จะไม่สามารถที่จะเป็นตัวเราที่ดีที่สุดได้ค่ะ เพราะว่าเราจะมีความลังเล หรือความไม่แน่ใจบางอย่างอยู่ ดังนั้น พอมันถึงจุดนั้นแล้ว คือ The show must go on ค่ะ
เราได้โอกาสตรงนี้มาแล้ว เราสู้ เราทำตรงนี้ให้ดีสุด ซึ่งถ้าสมมติว่าเราทำดีที่สุดแล้ว แต่ไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร เราก็ไปเริ่มใหม่ เราก็เลือกที่ใหม่
ถ้าเกิดเราได้ลองทำไปแล้ว แล้วผลจะออกมาเป็นยังไง มันก็คือสุดๆ ของเราแล้วค่ะ อยากให้คิดอย่างนี้มากกว่า
เพราะมันกลัวไป กังวลไป ไม่ได้ทำให้เกิดอะไรดีขึ้นมาเลย
สำหรับเวลาที่ท้อ ฝนจะเริ่มที่ตัวเองก่อน จะแก้ไขอะไรได้บ้าง ถ้าสมมติในเวลาในสถานการณ์นั้น ถ้าฝนรู้สึกว่าเหนื่อยมาก ฝนจะต้องการอาหารดีๆ หาร้านกินข้าวที่ฝนรู้สึกว่ากินแล้วมีความสุข หรือว่าจริงๆ บางทีการที่เราเสพสื่อ หรือเสพสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่า Positive ก็สามารถช่วยได้ ฝนเองก็ Follow หลายเพจเหมือนกันค่ะ ที่เป็นพวก inspiration quote เพราะอ่านแล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่เราแค่คนเดียว
มันก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับทุกคน ทุกคนต้องผ่านสิ่งที่เหนื่อยยากมาเหมือนกัน คำพูดเหล่านี้ก็จะช่วยเตือนสติเรา ว่าให้หายใจลึกๆ แล้วไปต่อ
และอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญกับฝนมากเลย คือ ครอบครัวค่ะ เวลาที่ท้อ ก็อยากจะกลับไปหาคุณพ่อคุณแม่ที่บ้าน แล้วเผอิญพี่สาวมีหลาน ก็รู้สึกว่าเวลาที่ได้ใช้กับคุณพ่อคุณแม่ หรือใช้เวลากับเด็ก ก็จะรู้สึกเขาใสมากเลย มันคือพลังงาน มันคือความคิดบวกที่เกิดขึ้น ก็จะไปใช้เวลากับหลาน ใช้เวลากับพ่อแม่
เรารู้สึกว่าการแค่ได้ทานข้าว การใช้เวลาด้วยกัน มันก็เป็นสิ่งเติมเต็มให้เรารู้สึกว่า เรามีคนรักเราอยู่ข้างหลัง เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีต่อไป”
เติมความครีเอทีฟ สร้างแรงบันดาลใจ “ดูซีรีส์-เสพงานศิลป์” “สำหรับการเติมไฟ หรือการเติม inspiration ให้กับการทำงาน ฝนรู้สึกว่า เวลาที่เริ่มไอเดียหมด เราจะทำอะไร เราก็เริ่มจากการเอาตัวเองออกจากการจุดนั้นก่อน สมมติว่า ถ้านั่งทำงานอยู่ ก็อาจจะเดินออกมา ถ้าเราคิดจะเริ่มต้องหาแรงบันดาลใจต่างๆ เราจะเริ่มจากสิ่งที่เราชอบ เราอาจจะอยากลองดูซีรีส์เรื่องใหม่ หรือว่าเราอาจจะอยากออกไปเสพงานศิลป์บ้าง ไปเดินเยี่ยมชมนิทรรศการ เหมือนเอาตัวเราไปอยู่ในความสร้างสรรค์ แล้วมันจะทำให้เรารู้สึกว่า มันก็มีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ และอีกอย่างที่สำคัญมากเลย การพูดคุยกับเพื่อน เพราะการที่เราได้แชร์ไอเดีย กับสิ่งที่เราคิดอยู่ กับคนที่เรามีความสัมพันธ์ที่ดีด้วย เพื่อนๆ ของเรา ก็มักจะเป็นผู้ให้คำแนะนำทีดีเสมอเลยว่า แกคิดอย่างนี้แล้ว แกลองคิดอีกแง่บ้างไหม ซึ่งทำให้เราเพิ่มความคิดของเราต่อขึ้นไปเรื่อยๆ ค่ะ ทำให้เกิดการพูดคุย การสื่อสารเกิดขึ้น ดังนั้น ถ้าคิดอะไรไม่ออก อยากให้อย่าขลุกตัวคนเดียว ให้ลองพูดคุยกับเพื่อน คนรู้จัก หรือออกไปมองหาแรงบันดาลใหม่ๆ ออกไปดูหนัง ออกไปเดินห้าง จริงๆ แค่การเดินห้าง ก็ทำให้เราเห็นแล้วว่า สินค้าต่างๆ เขาทำอะไรกันเกิดขึ้นบ้าง หรือว่าการไปดูภาพยนตร์ ก็ทำให้เห็นว่าเขามีการนำเสนอในรูปแบบใหม่ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันอยู่รอบตัวเรา มันสามารถที่จะทำให้เราเกิดไอเดียใหม่ๆ ได้เสมอ ดังนั้น ถ้าเรารู้สึกว่าหมดไฟ อย่าอยู่คนเดียว อย่าเก็บตัว ให้ออกไปเจอผู้คนเยอะๆ ออกไปพูดคนใหม่ๆ เราก็จะได้ไอเดียเพิ่มขึ้น” |
...เจาะวิถีกระบี่มือหนึ่ง “คนไทยคนแรก” ผู้ดูแลแบรนด์ Tie-in ในซีรีส์เกาหลีแบบเนียนๆ...
>>> https://t.co/4gFFq7Loj0
.#ซีรีส์เกาหลี #TheQueensUmbrella #UnderTheQueensUmbrella #ใต้ร่มราชินี #ClashLandingOnYou #Vincenzo pic.twitter.com/keRw9sfoRh— livestyle.official (@livestyletweet) January 6, 2023
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
คลิป : อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ : ปัญญพัฒน์ เข็มราช
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **