เปิดใจ “พลอย ชิดจันทร์” ในฐานะผู้ถูกฟ้องร้อง 50 ล้าน!! จาก "การสะท้อนปัญหาบ้านหรู" บทเรียนครั้งใหญ่ที่หลายคนยังร่วมลุ้นจุดจบ แม้อาจถูกมองว่าคือ ผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จในชีวิตสูงสุดแล้วคนนึง จนเกิดแฮชแท็กอยากมี #อาชีพพลอยชิดจันทร์ แต่ใครจะรู้ว่า ชีวิตจริงของเธอคนนี้ ไม่ได้ง่ายและสบายอย่างที่หลายคนคิด
ฟ้องค่าเสียหาย วิบากกรรมคนพูดความจริง!!?
“เราก็มองว่าจริงๆ ในมุมผู้บริโภค อย่างเราเป็นคนที่ซื้อแล้วมันเป็นบ้านของเรา เราก็รู้สึกว่ามันก็เป็นความจริงในสิ่งที่เราพูดออกไป หรือเป็นสิ่งที่เจอจริงๆ เห็นจริงๆ อย่างที่เห็น ถ้าใครที่ดูในคลิป มันก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมด
จริงๆ ผู้บริโภคก็น่าจะมีสิทธิในการที่จะพูด ในสิ่งที่เราเจอ อะไรดีก็ว่าดี อะไรที่เจอแล้วมันเป็นปัญหา มันต้องแก้ไข มันก็ต้องเจอ มันก็คือความจริงที่เราเจอ”
“พลอย - ชิดจันทร์ ห่ง” นักแสดงมากฝีมือ วัย 32 ปี เปิดใจกับ ทีมข่าว MGR Live ถึงชีวิตอีกด้าน หลังจากห่างหายจากงานวงการบันเทิงมาสักพัก หันสู่การเป็นนักธุรกิจ และการเป็น Influencer ทางช่องยูทูป MommeChidjun ซึ่งถูกพูดถึงมากที่สุดในช่วงนี้
เพราะเธอได้เล่าประสบการณ์ซื้อบ้านหรู 4 หลัง จากโครงการบ้านที่เชียงใหม่ ราคาหลายสิบล้าน แต่กลับมีปัญหาสารพัด เจอปัญหาจากการก่อสร้าง ต้องซ่อมแซมตลอด 7 ปี ทำให้ถูกฟ้องหมิ่นประมาทจากเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรเรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท เรียกได้ว่าคนในสังคมให้ความสนอกสนใจเป็นอย่างมาก ว่าจุดจบของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร
“คือ ตอนนี้พอเป็นคดีความอย่างนี้ พลอยอาจจะพูดอะไรไม่ได้เยอะค่ะ เพราะเราไม่รู้ว่าในรูปคดีมันจะเป็นยังไงรึเปล่า ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนที่ให้ทางทนายรวบรวมข้อมูลค่ะ
เราก็มีเจตนาที่บริสุทธิ์ของเรา สุจริตใจ แล้วเราก็พูดในความจริง ในมุมของผู้บริโภค ในมุมของเรา ที่เราซื้อบ้านมาแล้วเราเจอเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริงๆ ก็เป็นแบบนั้นมากกว่า คือ ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ขึ้นมา
บ้านมีปัญหาทั้ง 4 เลยค่ะ แล้วตอนนี้ก็ตรวจ มาตรวจก็ยิ่งเจอ มันก็เป็นปัญหาเหมือนๆ กัน คล้ายๆ กัน คือ จริงๆ มันก็เจอตั้งแต่ปีแรก อย่างเรื่องผนังที่มีเชื้อรา หรืออย่างสีรอบบ้านมันลอก จริงๆ ก็เจอตั้งแต่ปีแรกแล้ว หรือน้ำรั่วตรงชั้น 2 ลงมาที่อาคารจอดรถ อันนี้คือเจอตั้งแต่แรกๆ แล้วเราก็คิดว่ามันซ่อมแล้วจะหาย
ทางโครงการเขาก็ซ่อมให้ ในช่วงระยะเวลาที่มีประกันอยู่ ตอนนั้นเราอาจจะยังไม่ได้เข้าอยู่ด้วย เขาก็ดูแล เขาก็ซ่อมให้ในตอนแรก ซึ่งมันก็ยังไม่จบ พอเราซ่อมมันไม่หาย คือ เหมือนซ่อมไป แต่ว่าปัญหาต้นเหตุมันก็คงยังไม่ได้แก้ ต้นเหตุมันก็ยังมีปัญหาอยู่เรื่อยๆ น้ำก็ยังรั่วอยู่บริเวณเดิมตลอด”
ท่ามกลางกระแสดรามาที่เกิดขึ้น ในฐานะผู้บริโภค เธอเพียงมีเจตนารมณ์แชร์ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับบ้านตัวของเอง โดยยอมรับว่ารู้สึกตกใจ เพราะถูกส่งหมายศาลเรียกค่าเสียหาย และต่อมาก็ถูกหมายจับด้วย
“อย่างในกรณีที่เราโดนฟ้อง รู้สึกตกใจ เป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์ว่าโดนทั้งๆ ที่เราก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ ไม่คาดคิด ก็ค่อนข้างตกใจอยู่ และเหมือนจำนวนที่โดนฟ้องมา มูลค่ามันค่อนข้างเยอะ
เราคิดว่าเราถ่ายทอดไป หรือคลิปที่เรานำเสนอไปมันเป็นคลิปในช่องเราอยู่แล้ว คือ ไม่ได้เจตนาจะทำให้มันเป็นแบบนี้ ให้มีปัญหา แต่กลับว่าโดนฟ้อง
เราก็ทำตามที่ศาลออกหมายที่เราระงับคลิปชั่วคราว เราก็เคารพคำสั่งของศาล แล้วเราก็ระงับไปเรียบร้อยแล้ว แต่ปกติในรายการ Youtube ของพลอย ก็จะมีรายการที่เราถ่ายรีวิวเกี่ยวกับบ้าน หรือว่าอย่างเรารีโนเวตคอนโดฯ ที่นี่ เราก็ถ่ายตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนเสร็จเลย
คือ จะถ่ายทำรายการที่เกี่ยวกับบ้าน เกี่ยวกับอะไรอย่างนี้อยู่แล้ว มันก็เป็นอะไรที่เป็นไลฟ์สไตล์เราด้วย เป็นรายการของเรา แล้วก็ถ่ายอะไรที่เราเจอในชีวิต อย่างเราทำคอนโดฯ เราก็ถ่าย คลิปตัวนั้นเราก็ถ่ายบ้านของเราที่เราซื้อไว้ ตอนนี้มันมีปัญหาตรงนี้ๆ ต้องซ่อมตรงนั้น คือ มีปัญหาอะไรบ้าง เราก็ถ่ายเก็บเอาไว้ค่ะ
เราถ่ายเก็บด้วย และถ่ายเพื่อแชร์ประสบการณ์ เหมือนเราเจออะไรเราก็ถ่าย แชร์บอกคนดู เพื่อที่ว่าเขาจะประโยชน์ ที่ว่าพอเขาจะซื้อบ้าน จะตรวจบ้าน จะได้รู้ว่าจะต้องดูอะไรบ้าง และต้องดูให้ละเอียดจากประสบการณ์ของเราที่เราเจอมา เราก็เหมือนแบ่งปัน ก็แชร์ให้กับทุกคนได้รู้ประมาณอย่างนั้นมากกว่า คือไม่ได้มีเจตนา หรือมีอะไรที่จะทำให้มันต้องมีปัญหา ให้มีคดีความเกิดขึ้น”
กลับกันในมุมที่เป็นผู้บริโภค และเป็นบุคคลมีชื่อเสียง ก็ทำให้เสียงของเธอดังชัดเจนยิ่งขึ้น แต่บางครั้งอาจจะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
“เรารู้สึกว่าเราซื้อสินค้ามาราคาแบบนี้ เราก็คาดหวังกับคุณภาพที่จะได้ด้วย แต่ว่าเราก็เข้าใจในมุมของโครงการ เรื่องของการรับประกันเขาก็ต้องมีระยะเวลา แต่ถ้าปัญหาเกิดจากที่แก้ไม่จบแบบนี้ เราก็ไม่รู้ว่ามันจะยังไง
คือ ในมุมที่เราแชร์ไป พอมันมีปัญหามันก็แก้อยู่เรื่อยๆ ปัญหามีอยู่ตรงนั้นตรงนี้ ปัญหาเกี่ยวกับบ้าน พลอยว่าคือคนที่อยู่บ้านเขาจะเข้าใจ ว่าเวลาสร้างบ้าน แล้วเกิดมันทำตรงไหน มันทำออกมาแล้วมันมีปัญหาอย่างนี้ มันแก้ครั้งหนึ่งมันก็วุ่นวาย”
ผ่านสายตาของเธอ ในการเผชิญกับปัญหาที่ไม่ได้ตั้งรับ ทำให้พลอย ได้มองถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และการจัดการที่สุด คือ เลือกที่จะ move on ให้เร็ว
“มันก็ทำให้เรายุ่งมากขึ้น เราก็วุ่นวาย อาจจะตั้งคำถามหรือว่าต้องคิด ต้องดำเนินการ ต้องวางแผนว่าเราจะต้องทำยังไง มันก็เป็นบทเรียนอย่างหนึ่ง ว่าทางกฎหมายเราก็ไม่ได้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ก็มีข้อกฎหมายหลายๆ ข้อ จากเรื่องนี้ที่ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ มากขึ้น
เรื่องนี้ก็ส่วนหนึ่ง แต่เราก็ยังต้องดูแลลูก ดูแลครอบครัว ทำงาน หรือหน้าที่ของเราในส่วนอื่นๆ ส่วนปัญหาเกิดขึ้นแบบนี้ เราก็ต้องจัดการกับมันหรือเราต้องหาวิธีการแก้ไขปัญหาไป แต่สิ่งที่เรายังต้องดำเนินชีวิตต่อไป เราก็ยังต้อง move on go on ในส่วนชีวิตของเรา”
อย่ากลัว!! เอาใจช่วย “ผู้บริโภค” แชร์ความจริง
“ในมุมผู้บริโภค พลอยก็คาดหวังว่าพลอยอยากจะได้สินค้าที่ดี หรือได้งาน ได้บ้านที่เราพึงพอใจ ซึ่งถ้าอย่างตัวโครงการเขาทำดี เราก็ยังซื้ออีก ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เอาอีกแล้ว หรือไม่ซื้ออีกแล้ว พลอยก็ยังมองว่า อย่างเราเองเราคอมเมนต์หรือผู้บริโภคทุกคนที่พูดว่าเขา happy ไม่ happy หรือว่ารู้สึกยังไง จริงๆ ก็อยากจะให้ปรับ อยากจะให้ทุกอย่างมันดีขึ้น
ถ้ามันดีขึ้นแล้วเราก็ซื้ออีก เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราจะต้องไม่โอเค จะไม่ซื้ออีกแล้ว เราก็ยังรู้สึกว่า ถ้ามันดี หรือเราตรวจสอบแล้วมันเป็นที่พึงพอใจ เราก็ยังจะซื้อ ยังจะอุดหนุนเขาอีก”
ในฐานะเจ้าของบ้าน คงไม่มีใครวาดฝัน มองเห็นบ้านพักอาศัยของตนเองมีปัญหาไม่จบไม่สิ้น จนกลายเป็นอีกหนึ่งบทเรียน ในชีวิตที่เธอปฏิเสธไม่ได้ พร้อมย้ำทุกคนที่เป็นผู้บริโภคมีสิทธิพูดความจริง เพื่อเป็นประโยชน์ให้แก่คนส่วมรวม
“ในมุมของเราที่เป็นผู้บริโภค บางคนเขาก็เก็บเงินมาทั้งชีวิตใช่ไหม อย่างแต่ละคนที่จะซื้อบ้านหรือหาที่อยู่อาศัย ก็อยากได้ที่ที่เราอยู่แล้วมีความสุข อยู่แล้วปลอดภัย จริงๆ เราเองก็อยากได้บ้านแบบนั้น หรือว่าตอนนี้ คือ พอมีเคสมีอะไรกันขึ้นมาแล้วแบบนี้ หลายคนก็บอกว่า เราจะต้องสู้คดีไหม จะต้องอะไรไหม
พลอยรู้สึกว่า เราเป็นฝ่ายที่โดนฟ้องมา แต่ในความเสียหายที่เราเจอมันก็มี แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราอยากให้มุมของผู้บริโภคมากกว่า ที่อยากให้ทุกคนหรือว่าสังคมได้อยู่กันดีขึ้น
คือ อย่างเราซื้อบ้านกับโครงการ แล้วเขาทำมาตรฐานที่ดีหรือว่าทำอะไรให้มันโอเคกับผู้บริโภค มันก็จะเป็นบรรทัดฐานที่ดีสำหรับทุกคนในสังคม
พลอยคิดว่าถึงพลอยจะสู้ต่อ ก็ไม่ใช่เพื่อตัวพลอยเองเลย อย่างที่พลอยแชร์คลิปไป มันก็ไม่ใช่เพื่อตัวเราเองทั้งหมด คือ เหมือนเราก็แชร์เพื่อส่วนรวมด้วย เพื่อเป็นประโยชน์กับทุกคนที่เขาจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของเรา
แล้วอย่างเคสเราถ้าเกิดจะเป็นประสบการณ์ หรือว่าเป็นอะไรที่ให้ทุกคนได้เรียนรู้ มันก็น่าจะดี …ถ้าในมุมผู้บริโภค แล้วเราก็มีสิทธิพูดความจริง
พลอยคิดว่าอย่างนั้นนะคะ แล้วก็คิดว่าอย่างคอมเมนต์ของเรา เสียงของเรามันอาจจะทำให้อะไรมันดีขึ้น บรรทัดฐานหรือว่ามาตรฐานอะไรต่างๆ มันก็น่าจะดีขึ้น ถ้ามันดีขึ้นก็ดี เหมือนเราก็ได้ช่วยทำให้สังคมมันดีขึ้น หรือว่าทำให้ทุกคนที่เป็นผู้บริโภคต่อไป เขาจะได้สิ่งที่ดีๆ มากขึ้น ก็จะได้ไม่เจอปัญหาแบบเรา”
จากผู้ที่มีประสบการณ์ซื้อบ้าน คอนโดฯ บ่อย ส่งให้มีรายการชื่อ “หลังบ้านพลอย” ในช่อง Youtube ของตัวเองจนหลายคนยกเป็นผู้เชี่ยวชาญไปแล้ว แต่เธอกลับมองว่า ประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ ยังไม่เพียงพอ
“เหมือนเราเรียนรู้ไปเรื่อยๆ อย่างพลอยเองรู้สึกว่าพลอยเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ประสบการณ์ก็สอนเรามาเรื่อยๆ จากตั้งแต่เราสร้างบ้าน ดีลกับผู้รับเหมา เราก็เริ่มเลือกเจ้าที่รู้สึกว่าได้มาตรฐานมากขึ้น ความมั่นใจมากขึ้น คุณภาพงานดีขึ้น ถึงแม้ราคาจะแพงกว่า คือ มันก็เป็นประสบการณ์ที่สอนเรา อย่างตอนที่เราสร้างแรกๆ เราก็อาจจะเอาราคาถูกไว้
แต่พอทำงานจริงๆ บางทีมันก็มีปัญหาเกิดขึ้น มันเหมือนเราเรียนรู้ไปเรื่อยๆ จากประสบการณ์
อย่างตอนที่ทำคอนโดฯ รู้สึกว่าก็พอใจนะ กับงานของผู้รับเหมา เขาก็ทำออกมาได้ดี และเร็ว ตรงเวลา คือ มันก็เหมือนเป็นประสบการณ์ที่เราเจอมา และเราก็แก้ไขมา แล้วมันดีขึ้นเรื่อยๆ
อย่างเรื่องบ้าน คือ ซื้อบ้านกับโครงการ เราก็ดูและไว้วางใจในโครงการอยู่แล้ว ตอนนั้นไม่ได้จ้างทีมหรือจ้างบริษัทอะไรมาตรวจสอบ แต่ตอนนี้ก็เป็นประสบการณ์ว่า ถ้าจะซื้ออะไรก็ตาม จริงๆ แล้วถ้าจ้างผู้เชี่ยวชาญมาให้เขามาช่วยดูเลย มันก็จะดี”
ถามผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างหน้าผู้สัมภาษณ์ ที่มักจะสะท้อนมุมบวกๆ มาให้เห็นเสมอว่า ประสบการณ์การซื้อบ้านและคอนโด มีวิธีการตรวจหรือดูแตกต่างกันไหม เธอบอกเล่าสิ่งที่ได้เรียนรู้ให้ฟังว่า สิ่งสำคัญจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญมาตรวจดูให้ละเอียด เพื่อไม่ให้มีปัญหาภายหลัง
“ต่างนะ เพราะถ้าเราดูเอง บางทีเราดูแค่ภายนอก เราเองก็ไม่ได้เก่งเรื่องแบบ เราจะไม่ได้ดูหรอกว่าโครงสร้างตามแบบนี้ๆ มันถูกต้องรึเปล่า หรือว่าเขาทำตรงตามแบบรึเปล่า
แต่ถ้าจ้างบริษัทหรือทีมมา คือ เขาจะตรวจละเอียดแบบนั้นเลย รวมถึงเรื่องความปลอดภัยด้วย เขาก็จะดูระบบไฟ ระบบการเดินไฟต่างๆ มันก็สำคัญ บางทีถ้ามันไม่ปลอดภัย เราอยู่เกิดมีปัญหาไฟรั่ว มีอะไรขึ้นมามันก็อันตราย”
เปิดมุมมอง ด้วยการเป็น "Youtuber"
“ตอนนั้น คือ เราก็รู้สึกว่า ใจก็อยากถ่ายเด็กๆ เก็บ memory ไว้ด้วย เวลาเราไปเที่ยวกัน ไปไหนปกติคือพอเป็นแม่ ก็ชอบถ่ายรูปลูก คือ ตอนลูกเล็กๆ ก็ชอบถ่ายอยู่แล้ว แต่ตอนนั้น ลูก 4 คน เราไปไหนทำอะไรก็อยากถ่ายเก็บไว้ด้วย
ตอนแรกๆ คิดว่าถ้าไม่มีคนดู เราก็ถ่ายเก็บไว้ดูเอง โพสต์ไว้อย่างนั้น ถ้าไม่มีคนติดตามดูเยอะ เราก็เหมือนโพสต์แปะๆ ไว้ เก็บไว้เป็นความทรงจำ เป็น memory ของเราด้วย เราถ่ายกันเองแบบว่าพ่อแม่ถ่ายกันเอง
ใช้มือถือ แล้วมีซื้อกล้องตัวเล็กๆ มาถ่ายบ้าง พอเราได้ไปงานอยู่งานหนึ่ง มันจะเป็นงานที่เป็นเหมือน social media เหมือนรวม Influencer ในหมวดต่างๆ มันก็เหมือนเป็นการเปิดโลก ว่าเดี๋ยวนี้โลกออนไลน์เขามีคนทำเป็น Youtuber เยอะแยะ มีหลาย channel แต่ละคนก็จะเป็นสายบิวตี้ คนนี้สายออกกำลังกาย
แต่ละคนก็จะมีสายของตัวเอง แต่ว่าตอนนั้นเราก็ได้ไปร่วมงานในสายครอบครัว แล้วเราเหมือนได้เห็นว่าเขาทำเป็นจริงเป็นจัง และแต่ละคนก็ happy และ enjoy กับที่ตัวเองทำ
แล้วพอไปงานนั้น โอ้โห…เขาทำกันขนาดนี้เลย แต่ละคน แต่ละสาย เราก็รู้สึกว่าก็ลองทำดู ถ้าไม่มีคนดูเราก็เก็บ memory ของเราไว้ ก็ถ่ายลูกๆ เก็บไว้"
นี่คือจุดเริ่มต้นของการลุกขึ้นมาทำช่อง Youtube ของเจ้าของรอยยิ้มที่นั่งอยู่ข้างหน้าผู้สัมภาษณ์คนนี้ ย้อนกลับไป เกิดขึ้นหลังจากการที่เธอได้เข้าไปร่วมงานรับรางวัล Top Parenting จากงาน Influence Asia 2017 ในประเทศมาเลเซีย
“เรามองว่าจริงๆ แล้ว เราเองก็อยากให้ทุกคนสามารถพูดในสิ่งที่มันเป็นความจริงได้ โดยที่ไม่ไปทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเรา อะไรดีหรือไม่ดี สิ่งที่เราคิดว่าชอบหรือไม่ชอบ มันก็น่าจะแชร์ได้ ไม่ใช่บอกว่าชอบๆ อย่างเดียว แล้วไม่มีอะไรที่ไม่ชอบเลย
แล้วคนอื่นๆ ที่เขาฟังเราล่ะ ที่เขาเอาสารไป เขาก็จะรู้แต่อะไรที่ชอบ อะไรก็ดีๆ แล้วสิ่งที่เราไม่ชอบมันพูดไม่ได้ หรือมันแชร์ไม่ได้ มันก็ไม่น่าจะใช่ ก็อยากให้ทุกคนก็สามารถพูดได้ ในสิ่งที่เป็นความจริง”
ในฐานะที่เป็นหนึ่งผู้มีอิทธิพลบนสื่อโซเชียลมีเดีย จับอะไรเป็นอันมีกระแส และผ่านการทำรายการผ่านช่องทาง Youtube “MommeChidjun” มากว่า 3 ปี โดยมีติดตาม 4 แสนกว่าคน
ยอดวิวหลายคลิปทะลุหลักล้านวิว มีคอนเทนต์เกี่ยวกับเรื่องไลฟ์สไตล์เป็นหลัก ซึ่งเธอมองถึงการใช้โซเชียลมีเดียว่า สิ่งที่สำคัญ คือ จะต้องสื่อสาร พูดกับความจริงที่เกิดขึ้นได้ในพื้นที่โซเชียล และไม่ใช่การปรุงแต่งใดๆ
“อาจจะเป็นเพราะว่าเราก็เป็นคนตรงๆ โดยเฉพาะสามีก็จะเป็นคนตรงมากๆ คือ อย่างถ้าเขาไปทานอะไรที่อาจจะแพง หรู ดูดีมาก แต่เขาไม่ชอบ เขาก็จะบอกว่าไม่ชอบ หรือว่าไม่อร่อยเขาก็จะบอกว่าไม่อร่อย ซึ่งเขาจะเป็นแบบนั้น
เขาก็จะเป็นคนตรงๆ พูดตามจริง พูดตามความรู้สึก ถึงแม้บางทีเราจะรู้สึกว่า มันดูดีมากเลย มันแพงด้วย เราก็รู้สึกว่ามันจะต้องชอบ หรือมันจะต้องดี แต่บางทีเขาไม่ชอบ ก็คือไม่ชอบ
จริงๆ เราก็แชร์ในมุมที่เป็นไลฟ์สไตล์ของเรา จะเป็นเรื่องที่เราในชีวิตประจำวันทั่วไป หรือเราไปพาลูกไปไหน ไปทำอะไร หรือบางทีก็อยู่บ้านทำกิจกรรมกัน เป็นไลฟ์สไตล์ของเรา พลอยว่ามันก็เป็นแรงบันดาลใจ เป็นแรง support ซึ่งกันและกันของคนที่ดูเรา
เห็นเราเลี้ยงลูก 4 คน เห็นบางทีลูกงอแง มีปัญหา ร้องไห้ เราจัดการยังไง หรือในมุมที่เราแชร์ได้ อย่างเช่นเรามีเคล็ดลับอะไร เราดูแลตัวเองยังไง หรือว่าเราให้ลูกทานอะไร มันก็เป็นสิ่งที่เราแชร์กัน พลอยว่าการที่แชร์กันแบบนี้ มันเหมือนเป็นการสร้างพลังให้กันและกัน
อย่างพลอยไปอ่านคอมเมนต์ที่เขาคอมเมนต์มา บางทีพลอยก็ได้แรงจากตรงนั้น พลอยได้รับพลังจากตรงนั้น สิ่งที่พลอยแชร์ไป ถ้ามันเป็นประโยชน์ เป็นสิ่งดีๆ เป็นแรงบันดาลใจให้แก่หลายๆ คน พลอยว่ามันก็ดี เหมือนเราแลกเปลี่ยนพลังซึ่งกันและกัน เขาก็มาคอมเมนต์ให้พลอย พลอยก็อ่านแล้วพลอยก็มีพลังสู้ต่ออีกเหมือนกัน
บางครั้งเราก็เหนื่อยๆ เพลียๆ ของเรา ไปอ่านเขาชื่นชม เขาเห็นเราทำ แล้วมันโอเคมันเป็นประโยชน์กับเขา เราก็มีแรงจะทำไปอีก ก็ยังทำมาเรื่อยๆ ค่ะ”
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนในตัวตนของเธอ คือ ความชัดเจน ตรงไปตรงมา และมีทัศนคติบวกๆ เสมอ ซึ่งไม่แปลกใจว่าทำไมคนถึงติดตามเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเนื้อหาที่น่าสนใจ ก็คงเป็นตัวตนของเธอที่แสดงออกมาให้เห็นจริงๆ
“พลอยว่าก็โอเคนะคะ ก็ไม่อยากให้เรียกว่าประสบความสำเร็จเลย พลอยว่ามันก็เป็นสิ่งที่ดี ที่ให้กำลังใจและกัน แต่พอเขารู้สึกว่าเราได้ inspire เขา แม่ๆ คนอื่น หรือคนที่อาจจะกลัวการมีลูก หรือกลัวการเป็นแม่ว่าการเป็นแม่จะเป็นยังไง
แต่พอได้มาดูเรา เห็นชีวิตเราเขาอาจจะรู้สึกว่ามันง่ายขึ้น ไม่ได้ยากขนาดนั้น ตรงนี้มากกว่าที่พลอยว่าเราก็แชร์กัน พลอยยังทำได้เลย เขาก็ต้องทำได้”
ไม่ได้มีแต่แง่ลบ “โซเชียลฯ = บ่อเกิดกำลังใจ” “บางทีเรา down เราก็รู้สึกว่าเวลาเราเข้าไปอ่าน ทุกครั้งมันก็จะได้พลังกลับมา เวลาเขาบอกชื่นชอบเรานะ ชอบครอบครัว ชอบวิธีการเลี้ยงลูกของเรา หรือว่าดูตลอดเลย ดูแล้วเขาได้อะไร เวลาเขาบอกว่า ดูแล้วทำให้เขามีกำลังใจ หรือดูแล้วเขาได้อะไรจากการที่ติดตามเรา มันก็รู้สึกดี เราก็ได้พลังมากขึ้น มีกำลังใจมากขึ้นเยอะมากๆ เลยค่ะ อย่างในคอมเมนต์อย่างเรื่องเคส พอโพสต์ไปก็คอมเมนต์เป็นพันกว่าเลย แต่พลอยอ่านทุกคอมเมนต์เลยนะ อ่านทุกคอมเมนต์แต่อาจจะไม่กดหัวใจทุกคอมเมนต์ แต่ก็นั่งอ่าน จนถึงตี 2 ตี 3 ก็นั่งไล่อ่านอย่างนี้ค่ะ เราอ่านแล้วเราก็รู้สึกว่า จริงๆ ในโลกนี้มีคนที่หวังดีกับเรา คือ อาจจะไม่ได้รู้จักกัน แต่เขาก็มาแชร์ ก็มาคอมเมนต์ หรือส่งความรู้สึกดีๆ ให้กัน มันก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นพลังดีๆ ที่เราทำแล้วเราก็มีความสุข อย่างน้อยเราก็น่าจะแชร์สิ่งดีๆ แชร์ประโยชน์ แชร์ความสุขให้เขาได้ ไม่มากก็น้อย” |
นี่แหละ “อาชีพพลอยชิดจันทร์” ที่ใครๆ ก็อยากเป็น!!
“มันไม่สบายนะ ไม่สบายเลยจริงๆ ไม่สบายเลย” เธอเน้นย้ำ หลังเกิดเป็นกระแสถึงขั้น #อยากเกิดเป็นพลอยชิดจันทร์ ในโซเชียล หลังได้เห็นชีวิตสุดหรู ทั้งการซื้อรถราคาหลาบสิบล้าน ซื้อบ้านตากอากาศ และการตระเวนดูคอนโดฯ เอาไว้ให้ลูกๆ ทั้ง 4 คน ในอนาคต
“พลอยว่าไม่สบาย ยืนยัน ถามคนรอบตัวได้ ทุกคนก็ไม่ได้อยากเป็นพลอย (หัวเราะ) ถ้าคนที่ใกล้ตัวอย่างนี้ จะรู้สึกว่าโห… มันก็เหนื่อย มันก็วุ่นวาย
คือ บางคนเขาอาจจะมองไม่ได้ทุกมุม อาจจะมองแต่มุมบางมุม อาจจะรู้สึกว่าเราดูสบาย ดูไม่ได้ทำอะไรรึเปล่า อาจจะแค่ชิลชิล แต่จริงๆ มันไม่ใช่เลย จริงๆ เราทำงานก็เยอะ ทำหน้าที่หลายอย่าง
เราก็เต็มที่กับทุกอย่าง อย่างดูแลตัวเองเราก็ทำ …เคยรอว่างๆ ไปออกกำลังกาย หรือค่อยไปดูแลตัวเอง แต่ตอนนี้พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เรารู้สึกว่า เฮ้ย!! จะรอวันที่เรารู้สึกว่าว่างจริงๆ มันไม่มีวันนั้นสักที งานอันนี้มันก็ไม่เสร็จ เดี๋ยวภารกิจลูก เดี๋ยวภารกิจนั่นนี่มันก็มี ก็เลยต้องแบ่งเวลา ต้องเคลียร์เวลาอย่างน้อย วันละ 1 ชั่วโมง ออกกำลังกาย
คือ มันต้องเคลียร์ออกมา อย่าไปรอว่างก่อน แล้วค่อยทำ เพราะว่ามันจะไม่มีคำว่าว่างเลย คือ มันแน่นอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องเบียดเข้าไป เพื่อดูแลตัวเอง เพื่อออกกำลังกาย เพื่อดูแลรูปร่าง ดูแลสุขภาพ เราก็ต้องแบ่งเวลาให้เราบ้าง”
ไม่เพียงแค่นั้น ยังถูกครหาว่า ชีวิตที่สุขสบาย เป็นเพราะเธอเป็นเศรษฐินีคนหนึ่ง ที่มีชีวิตครอบครัวที่ดี และมีสามี “เคน-ฮุง” เป็นนักธุรกิจชาวฮ่องกง ที่มีฐานะรวย จากการส่งลำไยอบแห้งไปขายที่ประเทศจีน
“ถ้าบอกว่าอยากเป็นพลอย ชิดจันทร์ ในมุมที่ว่าอยากจะสบาย มันไม่ใช่เลย มันไม่ใช่ตรงนั้น แต่ถ้าอยากเป็นเราในมุมที่ว่า เราก็เป็นหนึ่งที่สู้ ก็ทำงาน ก็ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในมุมที่เราสู้กับทุกอย่าง สู้งาน สู้กับลูก กับครอบครัว
คือ มันแล้วแต่มุม เพราะไม่ได้ถามด้วยว่า เหตุผลของเขาคืออะไร แต่ถ้าบอกว่าอยากเป็นพลอย เพราะมันดูสบาย ดูไม่ต้องทำอะไร หรือว่าดูรวย มันก็ไม่ใช่ เราไม่อยากให้มองอย่างนั้น”
แน่นอนว่า หากมองภายนอก ผู้หญิงคนนี้ดูเพียบพร้อม และคงคิดว่าเกิดเป็นพลอย ชิดจันทร์มันดี แต่เมื่อเธอเอ่ยกิจวัตรประจำวันของเธอนั้น ล้วนแล้วอัดแน่นไปด้วยงานทั้งสิ้น และไม่ได้สบายอย่างที่ใครหลายคนคิด และอาจจะเปลี่ยนใจไม่อยากทำอาชีพนี้แล้วก็ได้
“ชีวิตพลอยว่า เราเป็นคนชอบทำ หาทำด้วย ก็จะไม่ค่อยอยู่เฉยๆ ก็ไม่อยากให้เวลาผ่านไปเปล่าๆ คือ แทนที่เราจะทำอะไรวันหนึ่งแค่เรื่องเดียว หรือ 2 เรื่อง เราก็จะชอบทำหลายๆ เรื่อง ในวันเดียว
คือ ใช้เวลาให้คุ้มค่า เป็นคนที่ชอบแพลนอะไร เช้าทำนี่ บ่ายทำนี่ คือ จะทำหลายๆ อย่าง อัดงานเหมือนกัน ก็ค่อนข้างจะชอบทำอะไรเยอะๆ ซึ่งบางทีก็ทำให้เราเหนื่อย บางทีก็ทำให้เราไม่ค่อยได้พัก หรือว่าไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตจริงๆ ใช้เวลาหรือ enjoy
อย่างไปกินข้าวชิลชิล บางทีก็ต้องทำงานไปด้วย กินข้าวรีบๆ แล้วก็ไปต่อ คือ เรา happy แบบนั้น เราก็สนุกที่เรายุ่งๆ หรือแพลน schedule ให้มันแน่นๆ เรารู้สึกว่าได้ทำอะไรหลายอย่างดี ใช้แต่ละวันให้มันคุ้ม พลอยก็เป็นคนที่เต็มที่กับชีวิต เต็มที่กับทุกหน้าที่ ทุกบทบาท
สมมติเราเป็นแม่ เป็นภรรยา ทำงาน หรือทำหน้าที่อะไรที่เราต้องไปทำ เราก็จะเต็มที่กับตรงนั้น ทุก moment แล้วเป็นคนชอบทำเยอะด้วย มันก็เลยหลายอย่างที่เราทำ”
เรียกได้ว่า 1 วันของคุณแม่สุดแซ่บคนนี้ ถูกจัดสรรไว้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการดูแลลูก ดูแลตัวเอง และทำงานธุรกิจของครอบครัวไปด้วย โดยเธอยอมรับว่า เป็นคนไม่ชอบปล่อยตัวเองให้ว่างจากงาน และให้เวลาที่มีอยู่ปล่อยผ่านไป
“การจัดลำดับของเวลาเป็นเรื่องสำคัญ แต่บางครั้งเราก็ลำดับผิด ลำดับถูกก็มีนะ คือ ไม่ใช่ว่าวางแผนดีตลอด บางครั้งพอมันเยอะๆ เราก็ไม่รู้จะเริ่มอะไรก่อนหลังหรอก แต่ก็เลือกเริ่มจากครอบครัวมาก่อน สิ่งที่เราให้ความสำคัญที่สุดมาก่อน
แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มไป อย่างงานมันก็ต้องทำ แต่ว่าเราจะทำงานอย่างเดียวเลยก็ไม่ได้ เราก็ต้องแบ่งเวลาดูแลตัวเองด้วย พักผ่อนด้วย ซึ่งเมี่อก่อนพลอยมีช่วงที่พลอยบ้างานมากๆ ไม่ทำอะไรเลย ทำงานอย่างเดียว
ทำแต่งาน ไม่ดูแลตัวเอง ไม่นอน คือ เช้าก็ตื่นไปดูแลลูก ทำงาน คิดงาน เป็นอย่างนั้น จนดึกดื่นก็ไม่ค่อยนอน ไม่ค่อยดูแลตัวเอง ก็ผ่านมาแล้ว
หลายๆ คนก็เตือนว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวมันจะต้องเข้าโรงพยาบาลแน่ๆ หรือว่าอาจจะดูแข็งแรงมากเลย แต่ว่าอยู่ๆ อาจจะเป็นอะไรขึ้นมา ถ้าเราใช้ร่างมันอย่างนี้
เพราะเรารู้สึกว่าเรายังไหว เหมือนเราเป็นคนเหล็กจริงๆ นะ มีช่วงหนึ่งที่พลอยเป็นคนเหล็ก พลอยรู้สึกว่าพลอยอยู่ได้ พลอยนอนแค่ 3 ชั่วโมง พลอยก็ตื่นได้ มันตื่นได้จริงๆ นะ มันตื่นแบบไม่เพลีย ไม่ง่วง ไม่ weak แล้วไปทำงานใช้ชีวิตอะไรปกติ
เมื่อถึงเวลานอนก็ไม่นอนอีก ก็ทำงานคิดงาน ซึ่งอย่างนั้นมันทรมานร่างกาย เราคิดว่าเราไหว อาจจะด้วยวัยมันยังไม่ down แต่ถ้าวันนึงที่เราอายุมากขึ้น ร่างกายมันอาจจะไม่สู้กับเธอแล้วนะ อย่างนี้ก็ได้
มันอาจจะขอบะบาย หรือขอไม่ไหว ก็เริ่มเห็นความสำคัญกับตัวเองมากขึ้น กับร่างกาย พลอยรู้สึกว่าเรามีลูก 4 คน เราก็ใช้ร่างเยอะพอสมควร กับการตั้งท้อง กับทุกย่าง มันก็ใช้ร่างเยอะ
เราก็รู้สึกว่าตอนนี้ต้องถนอมเขาบ้าง ต้องดูแลร่างกายเยอะๆ รักตัวเอง ขอบคุณตัวเองมากๆ เพราะบางทีเราคิดแต่จะไปข้างหน้า ทำงานอย่างเดียว ดูลูก แต่ก็ลืมดูแลตัวเอง”
เธอยอมรับว่า เป็นคนที่ทำงาน และมักจะไม่หยุดนิ่ง เพื่อพัฒนาศักยภาพของตัวเอง รวมทั้งเรียนรู้อยู่เสมอๆ จนบางครั้งครอบครัวก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“บางทีเราบ้างานค่ะ แต่ตอนนี้พยายาม balance ชีวิตมากขึ้น เพราะว่าเราก็คิดแล้วว่าทำงานมากประมาณวันละ 10 กว่าชั่วโมง คือแทบจะอยู่กับงานเลย อย่างวันละ 15-16 ชั่วโมง ถ้าเราทำแบบพอดี แล้วก็พักผ่อนบ้าง พรุ่งนี้มาเริ่มใหม่ มันก็ไม่ต้องไปหักโหมอะไรมาก”
และที่สำคัญคือ การเป็น พลอย ชิดจันทร์ อย่างที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากจะเป็นนั้น คือการเปิดรับโอกาสให้แก่ตัวเอง ให้เต็มที่กับชีวิตในทุกๆ วัน และการทำงานด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง
“พลอยรู้สึกว่าแต่ละปีมันต้องมีโอกาสอะไรดีๆ เข้ามา หรือมีอะไรใหม่ๆ เข้ามามากกว่าค่ะ เราก็เต็มที่กับสิ่งที่เราทำในทุกวัน แล้วพอมีโอกาสเข้ามา มีสิ่งดีๆ อะไรเข้ามา เราก็พร้อมที่จะทำ”
ความสุขในทุกวันนี้ คือ การรู้จักพอ “พลอยว่าจริงๆ แล้วความสุขมันก็ง่ายมากๆ เลยค่ะ ความสุขก็คือง่ายๆ เลยจริงๆ ถ้าเรารู้สึกจากใจ มันไม่ใช่ว่าเราได้ของมีค่า หรือได้ของแพงๆ หรือไปทำงานอะไรที่มันหรูหรา แล้วมันจะมีความสุข มันไม่ได้อยู่ตรงนั้น ทุกอย่าง ไม่อยากให้มองในมุมของวัตถุ หรือว่าของนอกกายต่างๆ จริงๆ มันไม่ได้เติมเต็มความสุขจริงๆ เลย ความสุขจริงๆ แล้วมันอยู่ที่ใจเรามากกว่า ว่าเรารู้สึกพอดี เรารู้สึกพอ เรารู้สึกว่าเรามีความสุข กับเรื่องแค่การกินข้าวง่ายๆ หรือทำอะไรง่ายๆ หรือแค่อาจจะอยู่กับลูก อยู่กับครอบครัว อยู่สามีเราก็รู้สึกมีความสุขแล้ว โดยที่ไม่ต้องไปทำอะไร อยู่บ้านเฉยๆ บางทีมันก็มีความสุข มันเหมือนความสุขจริงๆ มันต้องอยู่ที่ใจ มันไม่ใช่วัตถุสิ่งของ พลอยมองว่าจริงๆ ถ้าเราเลือกได้ เราก็อยากจะใช้ชีวิตให้มันมีความสุข แบบที่ใจ ไม่ใช่มีความสุขจากกอย่างอื่น ให้ใจเรารู้สึกว่ามันคือมีความสุข จากความสบายใจ จากเรื่องที่เราไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องกังวล อันนี้มันน่าจะเป็นคำสุขจริงๆ ถ้าเราอยู่กับตรงนั้นได้ หรือปล่อยวางความทุกข์ได้ ไม่ต้องไปคิดกังวลอะไร กับความทุกข์ เพราะว่าเป็นมนุษย์มันก็ต้องทุกข์อยู่แล้ว ทุกอย่าง…เจออะไรมันก็ทุกข์ไปหมด ก็พยายามที่จะบอกตัวเอง บางอย่างเป็นความทุกข์ เป็นเรื่องก็กังวล เราก็วางไว้บ้าง คือ ต้องพยายามปล่อยวางให้ได้บ้าง แต่มันก็ยังทำไม่ได้หรอก พลอยก็ไมได้ทำได้ขนาดนั้นค่ะ แต่ก็พยายาม เพราะไม่อยากจะให้ใจเราไปกังวล ไปคิด อยู่กับความทุกข์ มันก็จะไม่มีความสุขค่ะ” |
สอนให้รู้จักค่าของเงิน ลูกมี “เงิน 7 หลัก” ในบัญชี
“ชิโน่มีเงินฝากของเขา พอดีเขาได้งานมา เป็นงานพรีเซนเตอร์ด้วย คือ ตั้งแต่เล็กที่เขาได้งานมา เราก็ฝากเงินไว้ให้เขา และตอนเล็กเขาเคยมีโฆษณามาแล้ว ล่าสุดก็เพิ่งมีอีกชิ้นหนึ่ง มันก็เป็นเงินก้อน ที่เราฝากเก็บบัญชีให้เขาไป
ชิโน่มีเงินเก็บ 7 หลัก ตอนนี้ชิโน่มีเยอะสุด แล้วลูกคนอื่นๆ ก็จะมีเทียบกัน แต่ละคนเขาจะเริ่มรู้จักว่าเงินคืออะไร หรือบัญชีคืออะไร ฝากเงินเข้าบัญชี
เขาได้เงินมา เขาก็จะเอามาให้เรา แล้วฝากเข้าบัญชีเขา บางทีก็จะมีขอดูสมุดว่า ในสมุดเขามีเท่าไหร่แล้ว แต่เราก็ไม่เน้นว่าเขา concern ตรงนี้มาก คือเขามาขอดู เราก็ไม่ได้ให้ดูตลอด ก็ไม่ค่อยให้ดูด้วยซ้ำ
ไม่อยากให้เขาเปรียบเทียบด้วยว่า ชิโน่มีมากกว่าน้อง แต่ด้วยความที่เขาเป็นพี่ แล้วเขาได้งานที่เป็นงานของเขาจริงๆ
เพราะงานครั้งที่ 2 ที่ได้ คือ เป็นงานของเขา ไม่ใช่งานของแม่ด้วยซ้ำ เป็นงานของเขาเอง ก็ขอบคุณที่มีลูกค้าเลือกเขาให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ ให้กับงาน เขาก็ได้เรียนรู้เยอะ เวลาที่ไปทำงาน”
อีกหนึ่งบทบาทที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้วนั้น คือการสวมบทบาทของการเป็นแม่ ของลูกๆ ทั้ง 4 คน คือ “น้องชิโน่-ทาชิโน่ ห่ง” , “น้องชิลลี่-ซือหมิ่ง ห่ง” , “น้องชิตาร์-ยูงชุน-ห่ง” และ “น้องชิลีน-จินเอ๋อร์ ห่ง” ที่กำลังอยู่ในวัยน่ารักเลยทีเดียว
แน่นอนว่าทุกครอบครัวต้องมีการเตรียมความพร้อม ให้แก่บุตรหลานของตน ทางด้านครอบครัวห่งก็เช่นกัน สำหรับลูกชายคนโตในตอนนี้ มีเงินเก็บถึง 7 หลัก และสอนให้ลูกทุกคนได้เห็นคุณค่าของเงิน จากการทำงาน และซึมซับจากเธอเองด้วย
“แต่ละคนเขาก็รู้คุณค่าของเงินนะคะ เขาก็รู้ว่ากว่าจะทำงาน กว่าจะได้เงินมามันไม่ได้ง่ายๆ เพราะสำหรับเขา เด็กอายุขนาดนี้แล้วทำงานที่เขาทำ เขารู้สึกว่ามันไม่ง่ายเลย เขาก็บอกว่ามันยากในมุมของเขา คือกว่าจะทำงาน และกว่าจะได้เงินมา
มีงานถ่ายโฆษณา จะมีทั้งวิดีโอ ของชิโน่ล่าสุดไปถ่ายที่อินโดนีเซียด้วย ก็ต้องไปต่างบ้าน มีต้องไปลงน้ำ 2 ทุ่ม ลงจนมืดค่ำ คือ เขาต้องถ่ายในน้ำด้วย ต้องกระโดดน้ำ ต้องดำน้ำ และแดดร้อนๆ กลางแจ้งก็ต้องทน
ต้องถ่าย ต้องทำ สำหรับเด็กพลอยว่ามันก็ไม่ง่าย สำหรับเขา เพราะความเป็นเด็ก บางทีความอดทนของเขา หรืออะไรที่จะอยู่กลางแดดร้อนๆ เพื่อทำงาน มันก็พูดกับเขายากเหมือนกัน
บางครั้งไปจะต้องถ่ายกับลูกๆ แล้วขอกลางแจ้ง บางทีเด็กๆ เขาก็จะร้อน เหงื่อออก เขาก็จะงอแง มันก็เป็นอุปสรรคเหมือนกัน แต่พอเขาอดทนได้ เขาก้าวผ่านความอกทนตรงนั้นมาได้ หรือภาพมันไม่ผ่าน บางทีก็ต้องเล่นแล้วเล่นอีก เล่นอย่างนั้นซ้ำๆ หลายๆ เทก หลายๆ รอบ มันก็ไม่ง่ายสำหรับเขาเหมือนกัน
เขาก็จะรู้ว่าเงินไม่ได้หาง่ายๆ พลอยว่าเขาก็ไม่เห็นจะอยากใช้เลย คือเขาอยากจะเก็บมากกว่า เพราะเขารู้สึกว่าเขาได้มา มันก็ยากลำบาก มันก็เหนื่อย มันต้องใช้ความอดทนเยอะ ใช้ความพยายามเยอะเหมือนกัน
อย่างการสอนลูก พลอยว่าเขาก็ซึมซับจากเราด้วย จากการเห็นเรา จากภาพที่เขาเห็น ไม่ใช่คำพูดอย่างเดียว คือ ไม่ใช่บอก สอนพูดอย่างเดียว มันต้องคือการกระทำ ที่ทำให้เขาดูและทำให้เขาเห็นว่า เราทำแบบนี้ เราเป็นแบบนี้ น่าจะเป็นการสอนที่ดีที่สุด ที่เขาจะซึมซับแล้วก็เข้าใจโดยปริยาย
คือ อย่างเราเป็นคนทำงาน เราก็คิดว่าลูกเราก็น่าจะทำงาน ก็น่าจะรักการทำงาน เราคิดอย่างนั้น เราก็ให้ลูกทำงานด้วยตอนนี้ พอมันมีงาน ก็ช่วยแม่ขายของ ช่วยแม่รีวิว หรือถ่ายรูป เขาก็จะเข้าใจ
แต่บางมุมเขาก็จะมีบ่น ไม่ได้พักเลยเสาร์อาทิตย์ไม่ได้หยุดเลย เพราะบางทีแม่ก็จะแพลนแน่นๆ แพลนของเขา แพลนเรียนพิเศษเขา แล้วบางทีเด็กเขาก็คงอยากจะเล่นตามวัยของเขาบ้าง แต่บางทีเราก็จะวันนี้ต้องไปถ่ายงานนะลูก เขาก็จะมีบ่นๆ บ้าง แต่สุดท้ายก็ทำได้ดี ก็ทำจนเสร็จทุกอย่าง
เราก็คิดว่าการที่ลูกเห็นเราทำงานไม่หยุด ขยัน หรือทำงานตลอด เขาก็น่าจะได้ตรงนี้ไป เขาน่าจะซึมซับว่า เราต้องรู้หน้าที่ แต่สิ่งพลอยเน้นสอนลูกอย่างหนึ่ง คือ ให้เขารู้หน้าที่
รู้ว่าต้องทำอะไร หน้าที่เขาคือทำอะไร กิจวัตรประจำวันของตัวเอง และก็เรียนหนังสือ ก็ให้เขาทำหน้าที่ในส่วนของเขาให้ดีที่สุด รับผิดชอบตัวเอง รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ได้ ในตอนนี้ที่เน้นสอนเขา อื่นๆ ก็คือการอยู่ร่วมกันในสังคม ต้องมีมารยาท ต้องมีการอภัยให้กัน ช่วยเหลือกัน พี่น้องต้องรักกัน อันนี้ก็เป็นสิ่งที่พยายามปลูกฝังไปเรื่อยๆ”
เมื่อถามว่า สำหรับลูกๆ เป็นคุณแม่แบบไหน เธอตอบตรงๆ ว่า มีสิ่งที่ปรับทัศนคติตัวเองในทุกๆ วัน การเป็นแม่มีหลากหลายมุม แต่จะเลี้ยงลูกแบบเพื่อน สามารถพูดและปรึกษาได้ทุกเรื่อง
“มันก็สนุกค่ะ มันก็มีหลายอารมณ์ หลากหลายมุม บางวันที่เขาดื้อ ที่เขางอแงพูดไม่รู้เรื่อง เราก็มีเหมือนกัน ดุก็มี ใจดีก็มี บางคนก็จะเฮ้ย… เราใจดีไปรึเปล่า ดุก็มี คือ ต้องเป็นทุก mood เลย เหมือนลูกก็จะทำให้เราเป็นไปเอง คือ ตอนแรกเราก็ไม่คิดว่าเราจะดุยังไง หรือเราจะยังไง คือ ทุกอย่างถึงเวลามันเป็นไปเอง
เราก็มีความอยากจะเป็นเพื่อนกับเขามากกว่า เราก็อยากให้เขาพูดกับเราได้ทุกเรื่อง ไม่อยากจะให้เขากลัว เราดุแต่อาจจะ control ได้ แต่ว่าเขากลัว แต่เขาไม่กล้าพูดอะไรกับเราเลย
อย่างไม่กล้าแสดงความคิดเห็น หรือขออะไร เราก็รู้สึกว่าเราอยากจะใกล้ๆ กับเขา อยากจะให้เขารู้สึกว่าปรึกษาเราได้ คุยกับเราได้ ขอเราได้ อ้อนเราได้ ต่อรองกันได้ ซึ่งบางทีลูกต่อรองเราก็เหนื่อยนะ เราก็เหนื่อย เพราะเขาต้องต่อรองไง
แต่เราก็อยากฟังเขา อยากฟังความคิดเห็นเขา หรืออยากฟังว่าเขาคิดยังไง เขาอยากได้อะไร มันก็มีที่แม่ให้ทำแบบนี้ แต่พอเขาเริ่มต่อ เขาก็จะอยากวางแผนเอง สมมติเราบอกให้ไปเรียนเวลานี้ แล้วเขา enjoy อยู่กับเพื่อน เขาก็ขอไปเรียนตอนเย็นได้ไหม ทำไมไปเรียนตอนเย็นไม่ได้
เขาก็จะเริ่มมีความคิดของเขาแล้ว ว่าไปตอนเย็นก็ได้ แต่เราก็บอกไม่ได้ เพราะพรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนเช้า คือ มันต้องคุยกันด้วยเหตุและผล ว่าลูกไปตอนเย็น แล้วลูกจะกลับมากินข้าวอีก เวลาเข้านอน 2 ทุ่มมันจะทันไหม คือ ต้องคุยกันด้วยเหตุผลค่ะ”
สุดท้าย เมื่อให้นิยามถึงชีวิตที่เรียนรู้จากการเป็นแม่ น้ำเสียงที่สดใสตลอดการสัมภาษณ์ ได้เปลี่ยนไป กลายเป็นน้ำเสียงสั่นเครืออย่างเช่นเจน และยอมรับว่า เป็นความสุขที่บอกกล่าวออกมาไม่ถูก การเป็นแม่ทำให้ อยากจะเป็นแบบอย่างที่ดียิ่งขึ้นให้ลูกของเธอทั้ง 4 คน
“คือ ถ้าถามว่าในชีวิตที่เราได้เรียนรู้จากการเป็นแม่ คือ การเป็นแม่มันแปลกนะ มันเป็นความสุขที่บอกไม่ถูกค่ะ เหมือนถ้าถามพลอยว่า วันไหนที่เรารู้สึกว่าเรามีความสุขที่สุด ที่สุดในชีวิตที่เป็นวันที่เรา fulfill จริงๆ รู้สึกว่ามันมีความสุขจังเลย คือ วันที่เราคลอดลูก วันที่เราคลอดลูกวันนั้นเลย
ทุกครั้ง มันจะรู้สึกว่า มีความสุขมากๆ มันล้นๆ ทั้งที่ไม่ต้องมีอะไร ไม่ได้ของอะไร หรือไม่ได้อะไรเลย คือ มันบอกไม่ถูกนะคะ พอเราได้เป็นแม่แล้ว เหมือนได้มีอีกชีวิตหนึ่งที่อยากจะทะนุถนอมดูแลเขา เราเองก็อยากจะเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นคนดี เป็นสิ่งดีๆ เพื่อเขา มันก็เลยรู้สึกว่า ลูกทำให้เราเปลี่ยนมุมมอง
เปลี่ยนชีวิตอะไรไปหลายๆ อย่างเหมือนกัน เราว่าเราก็ดีอยู่แล้ว แต่ว่าเราอยากให้มันดีขึ้นไปอีก พอเป็นแม่มันก็รู้สึกอย่างนั้น แล้วมันก็เป็นวันที่มีความสุขมาก ทั้งๆ ที่เป็นวันที่เหนื่อย เจ็บ ทรมาน แต่แปลกมากเลย มันเป็นวันที่มีความสุขมาก”
ใช้ชีวิตทุกวันให้คุ้มค่า!! “พลอยอาจจะโชคดีที่ยังไม่ได้มีโรค หรือยังไม่รู้สึกว่าป่วย หรือว่ามีเข้าโรงพยาบาล แต่ว่าพอเราเริ่มมาดูแลตัวเอง เราก็ฟังผู้ใหญ่หลายๆ คน แล้วเขาก็แนะนำด้วย แล้วเราอาจจะไม่ได้รู้สึกว่าเราต้องแบ่งเวลาให้ตัวเองบ้าง เพราะที่ผ่านมาอย่างที่บอก เราใช้ทุกวันคุ้มค่า ใช้เวลาคุ้มค่าทุกวัน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เราทำอย่างนี้จนคุ้มทุกวัน มากี่สิบปีแล้ว อย่างตั้งแต่มีลูกมา เรารู้สึกว่าก็เป็นสิบปี ที่เราคุ้มค่ามาก เราก็ไม่หยุดเลย ทั้งมีลูก ทำงาน ทำทุกอย่าง ไม่เคยหยุด เราก็รู้สึกว่าเราแน่น เต็มที่ แล้วก็ใช้ทุกวันคุ้มมาก ใช้ทั้งเดือน ทั้งปี คุ้มสุดๆ แต่ว่าไม่ค่อยได้ดูแลตัวเอง คือ ยอมรับว่าเมื่อก่อนมีเวลาให้ตัวเอง ดูแลตัวเอง ทาครีม แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่ไม่ทำเลย ปล่อยปะละเลย หน้าไม่แต่ง แล้วก็เหมือนตื่นมาก็ต้องไปแล้ว รีบจะไปทำงาน ไปข้างหน้า รู้สึกว่ามีงานรออยู่ มีอะไรรออยู่ ก็ข้ามๆ ตัวเองไป แล้ววันนี้รู้สึกว่าไม่ได้แล้ว เราต้องดูแลตัวเอง แล้วเรื่องการพักผ่อน เราเห็นจากพ่อแม่เรา พออายุเขาเริ่มมากขึ้น พอถึงวันที่เซลล์อาจจะอ่อนล้า ร่างกายมันถึงวัยที่ภูมิต้านทานหรืออะไรต่างๆ มันไม่ได้แข็งแรง เหมือนอย่างวัยหนุ่มสาวแล้ว ทุกอย่างมันก็ต้องเสื่อมสภาพไปเองโดยอัตโนมัติ ไปในทีเดียวเลย เราก็เลยรู้สึกว่าเราไม่อยากให้ถึงวันนั้น แล้วค่อยมาดูแลตัวเอง เราก็อยากจะค่อยๆ maintain (รักษา) ค่อย maintenance เขา(การบำรุงรักษา)ค่อยๆดูแลเขาไปเรื่อยๆ มันน่าจะดีกว่า เพราะว่าบางที ไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้ทำอะไร แต่ว่าอยู่ดีๆ มันก็มาจีปาถะ พออายุเยอะขึ้น” |
ดูโพสต์นี้บน Instagram
สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
คลิป: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพเคลื่อนไหว: อิสสริยา อาชวานันทกุล, ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
ภาพ: พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @ploychidjun, แฟนเพจ “Ploy Chidjun & Family” และ channel “MomMe Chidjun”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **