“สิ่งเดียวคือเราจะต้องตั้งสติให้ได้” เปิดใจคุณครูฮีโร่ คว้าธงชาติโบกนำทางนักเรียน เหตุท่อส่งแก๊สระเบิด เผยนาทีหนีตาย “ยิ่งวิ่งยิ่งร้อน เหมือนลูกไฟมันตามมา” พร้อมฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาวางท่อแก๊สผ่านชุมชน!
ความปลอดภัยนักเรียนต้องมาก่อน!
กลายเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจแก่คนในสังคมตอนนี้ กับกรณีท่อแก๊สระเบิดในพื้นที่ ต.เปร็ง อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมา แรงระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก ตลอดจนบ้านเรือนประชาชนและสถานที่ต่างๆ ในบริเวณใกล้เคียงก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักไปด้วย
แต่ในความสูญเสียก็ยังมีเรื่องราวที่น่ายกย่อง เมื่อโลกออนไลน์ได้มีการส่งต่อคลิปกล้องวงจรปิดของโรงเรียนวัดเปร็งราษฎร์บำรุง เผยถึงนาทีชีวิตของครูและนักเรียนพากันอพยพไปยังที่ปลอดภัย ในคลิปวิดีโอนั้น ปรากฏภาพของครูสวมชุดลูกเสือ ถือธงชาติให้เป็นสัญลักษณ์ที่มองเห็นได้ง่าย พร้อมกับกวาดต้อนเด็กนักเรียนให้วิ่งไปยังจุดที่ปลอดภัย ซึ่งผู้ที่ได้รับชมคลิปแล้วต่างยกให้ครูท่านนั้นเป็นฮีโร่ของเหตุการณ์นี้กันเลยทีเดียว
เพื่อเจาะลึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นครินทร์ เอกนิกร ครูพลศึกษา ฮีโร่ผู้ถือธงชาตินำนักเรียนตามที่ปรากฏในคลิป เล่าย้อนถึงนาทีชีวิตว่า ยังคงรู้สึกช็อกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ราวกับมันเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ตอนนั้นคิดเพียงแค่ให้ทุกคนปลอดภัย โดยไม่กลัวว่าตนเองจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่
“ตอนนั้นประมาณ 12.50 น. ผมกับเด็กๆ กำลังจะซ้อมการแสดงกิจกรรมภายในโรงเรียน เกิดได้ยินเสียงคล้ายเครื่องบินตก พอเราได้สติแหงนมองท้องฟ้าเห็นแต่ไฟสูงขึ้นไป ความรู้สึกตอนนั้นคือกลัว ไม่ได้กลัวว่าผมจะต้องตายนะ ส่วนตัวผมจะเป็นยังไงก็ไม่เป็นไร ขอให้เด็กทุกคนปลอดภัย ยังไงผมจะต้องเอาเด็กๆ ออกมาจากตึกให้หมด ทั้งเด็กอนุบาล ป.1-6 ผมไล่ไปจนหมด ได้ไปคุมสถานการณ์ตรงจุดปลอดภัย ครูทุกท่านช่วยกันอพยพเด็กๆ ไม่ใช่ผมคนเดียว
ก็เรียกเด็กๆ ให้วิ่งอย่างเดียว ไม่ต้องมองข้างหลัง ผมก็ใช้วิธีการตะโกนใส่ตึกทุกตึกให้ลงมา คุณครูส่วนมากพาเด็กวิ่งนำหน้าส่งกันไปเป็นชุดๆ แต่ผมปักหลักอยู่โรงเรียน เพื่อกวาดต้อนให้ครูรับช่วงต่อไปที่ปลอดภัยครับ ช่วงนั้นผมอยากให้เขาเห็นจุดสังเกต ใช้ธงชาติเป็นจุดนำไป ให้มารวมเป็นจุดเดียวกัน ไม่ต้องแตกไปทางไหน บางคนตกใจ ระหว่างวิ่งผมก็บอกว่าให้ดูธงครูนะ วิ่งตามครูไป ผมก็ไปส่งตรงก่อนข้ามคลอง ส่งเสร็จมีครูรับช่วงต่อผมก็กลับมารับต่อ
เรื่องนี้ไม่มีใครคิดว่ามันจะเกิดขึ้น แต่ถ้ามันเกิดขึ้น สิ่งเดียวคือเราจะต้องตั้งสติให้ได้ และขอชี้แจงว่า ครูทุกท่านไม่ได้ทิ้งเด็ก ไม่ได้วิ่งนำ ถ้าอยู่โรงเรียนหมด แล้วใครจะไปดูปลายทาง ถ้าไม่มีครูอยู่ปลายทาง เด็กๆ จะยิ่งหนักกว่าเดิม ไม่รู้จะไปรวมกันตรงไหน อยากฝากว่าครูที่ไปก่อน ท่านก็ไปหาจุดปลอดภัยให้เด็กๆ นี่แหละครับ ไม่ได้ทิ้ง ต่างคนต่างทำงานเป็นอัตโนมัติ ด้วยความที่เราอยู่กับเด็กในเหตุการณ์ มันเกิดจากจิตใต้สำนึกของครู”
วอนทบทวน “วางท่อแก๊สผ่านชุมชน”
เป็นโชคดีของการอพยพครั้งนี้ ที่กว่า 380 ชีวิต ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหนัก โดยครูนครินทร์ได้กล่าวต่อว่า เบื้องต้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาดูแล และพร้อมเยียวยาความเสียหายของสถานที่ ตลอดเยียวยาด้านจิตใจเด็กนักเรียนด้วย
“ทั้งครูทั้งนักเรียน 380 กว่าคนครับ ให้ความร่วมมือดีมาก เด็กๆ ทุกคนมีสติไม่ต่างจากครู ก็วิ่งตามธงไปได้ จุดแรกที่เราไปพักพิง คือ โรงเรียนเตรียมอุดมเปร็ง เรายังเห็นเปลวไฟมันลุกโชนมาก เลยรู้สึกว่าไม่ได้แล้ว ทั้งพี่มัธยมและเด็กประถม ต่างช่วยกันพาไปจุดปลอดภัยที่คลังเก็บสินค้าบิ๊กซี จากโรงเรียนก็ร่วม 10 กิโลฯ ครับ มีทั้งเด็กเล็ก ทั้งคนแก่ คนท้อง
เราได้รับคลื่นความร้อนที่อยู่นอกร่มผ้า แขน ขา ใบหน้าโดนหมด ยิ่งวิ่งยิ่งร้อน เหมือนลูกไฟมันตามมาให้วิ่งอย่างเดียว ห้ามหันหลัง ผมกลัวเด็กๆ จะช็อก ถ้าเขาหันมาเจอลูกไฟ เด็กบางคนมีล้มบาดเจ็บเล็กน้อย หัวเข่า ข้อศอก ผมไม่บาดเจ็บ พอผมส่งเด็กเสร็จก็ตั้งสติ ถ่ายคลิปวิดีโอ ไม่กล้าเข้าใกล้กลัวโทรศัพท์ระเบิดเพราะมันร้อนมาก
ส่วนการเรียนการสอนอาทิตย์นี้ก็หยุดเรียนก่อน เพราะทางหน่วยงานต่างๆ เข้ามาใช้สถานที่เพื่อเป็นศูนย์อำนวยความสะดวก จะทำการเรียนการสอนอีกทีในวันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายนครับ ผมนัดหมายเด็กๆ มาเอาอุปกรณ์คืน ที่นอน กระเป๋า รองเท้า
ตอนนี้ทาง ปตท.เขาส่งทีมวิศวกรด้านโครงสร้าง แล้วก็ไฟฟ้าเข้ามาตรวจสอบความเรียบร้อย ตรงไหนที่เสียหายเขาก็เปลี่ยนให้ แล้วจะมีทีมนักจิตวิทยาเด็กจาก ปตท.เข้ามาทำกิจกรรมผ่อนคลายให้กับเด็กครับ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ผมไม่อยากให้มีท่อส่งแก๊สพาดผ่านในชุมชนเลยครับ”
นอกจากนี้ จุฑารัตน์ เอี่ยมเดช ครูภาษาไทย โรงเรียนเปร็งวิสุทธาธิบดี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโรงเรียนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์นี้เช่นเดียวกัน ก็เล่าเสริมถึงวินาทีเอาชีวิตรอด ที่เธอและนักเรียนก็ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ และทำให้ทางโรงเรียนหยุดการเรียนการสอน และจะเปิดทำการอีกครั้งในวันที่ 1 ธันวาคม
“ได้ยินเสียงระเบิด หันไปดูเห็นไฟลุกขึ้นมาไม่ใช่แค่ประกายไฟ ดูแล้วมันแรงมาก ได้ยินเสียงดังมาก ครูกับเพื่อนครูและนักเรียนพากันหนีออกไปทางด้านหลัง ส่วนครูชั้นบนก็ค่อยๆ ไล่เด็กลงมา แล้วให้วิ่งออกหลังโรงเรียน มีครูคอยไล่เด็กให้วิ่งออกไปให้ไกลจากพื้นที่โรงเรียนมากที่สุด มุ่งหน้าไปทาง อบต.เปร็ง รถกระบะส่งของก็ช่วยรับเด็ก รับครู ไปรวมกันที่ อบต.เปร็ง ห่างจากโรงเรียนประมาณ 5-7 กิโล ความร้อนมันไปไกลมาก วิ่งไปถึงถนนใหญ่แล้วไอร้อนยังตามไปมาก
[ ครูจุฑารัตน์ได้รับบาดเจ็บจากการวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ]
ของครูกับเด็กส่วนใหญ่เท้าจะพอง เพราะไม่มีใครใส่รองเท้าเลย อย่างครูใส่รองเท้าแตะ ตอนที่วิ่งไม่รู้มันหลุดไปตอนไหน ส่วนเด็กตอนที่ให้วิ่งออกมาก็คว้ารองเท้ากันไม่ทัน มีเจ็บเท้าแล้วก็ข้อเท้าพลิก บางคนเขากระโดดออกมา กระดูกแตก อันนี้หนักสุดค่ะ”
พร้อมกันนี้ เธอยังได้ฝากถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ระมัดระวังถึงความปลอดภัยในการวางแนวท่อแก๊ส ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ห่างออกไปจากชุมชน เพื่อที่จะไม่เกิดโศกนาฏกรรมลักษณะนี้ขึ้นอีกซ้ำสอง
“เหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่จะเกิดได้โดยปกติทั่วไป มันค่อนข้างร้ายแรง ถึงเราจะซ้อมหนีไฟหรือไม่ได้ซ้อม สิ่งที่สำคัญที่สุดครูอยากให้ทุกคนมีสติ ถ้ามีสติเราสามารถช่วยเหลือทุกคนหรือช่วยเหลือตัวเองให้ออกมาจากพื้นที่ด้วยความปลอดภัยได้
ครูก็ไม่อยากให้มันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ แต่พอมันเกิดแล้วก็อยากให้หาแนวทางในการที่จะป้องกันสิ่งนี้ ว่ามันไม่ควรจะมีอีกแล้ว เพราะครูไม่ทราบว่าในเรื่องแบบนี้ ไม่ใช่แค่พอตรงนี้มันเกิดแล้วป้องกันตรงนี้ ในส่วนต่างๆ ด้วย ในแนวท่อแก๊สต่างๆ ในแต่ละจุดที่อยู่ใกล้ชุมชน ครูมองว่ามันใกล้เกินไปหรือเปล่า
ให้แจ้งในทุกภาคส่วนในการวางแนวท่อแก๊ส ถ้าสมมติเกิดการวางอีก อันนี้มันมีป้ายแจ้งว่าแนวท่อแก๊ส แต่เราไม่รู้ว่ามันเดินทางไหน ป้ายอยู่ริมถนนตรงสายไฟฟ้าแรงสูง แต่เหตุที่มันเกิดมันอยู่เข้ามาด้านในอีก ห่างจากป้ายประมาณ 20 เมตร ครูเลยมองว่ามันใกล้เกินไปรึเปล่า อยากให้สำรวจตรงนี้ เพราะถ้ามันเกิดขึ้น ความเสียหายมันเยอะค่ะ การสูญเสียชีวิตมันก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้น”
ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพบางส่วน : เฟซบุ๊ก “Nakarin Aeknigorn” และ “Oo Chutarat”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **