นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์ท่อก๊าซระเบิด บริเวณตรงข้ามวัดเปร็งราษฎร์บำรุง ถนนเทพราช-ลาดกระบัง ต.คลองสวน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ และอยู่ใกล้โรงเรียนเปร็งวิสุทธาธิบดี เป็นเหตุให้เกิดเปลวไฟขนาดใหญ่ เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง มีบ้านเรือนกว่า 34 หลัง และรถยนต์ 62 คัน รถจักรยานยนต์ 59 คันร้านค้า 7 ร้าน รวมทั้งสถานีตำรวจภูธรเปร็งที่อยู่ใกล้ๆ ก็ได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด ผู้คนบาดเจ็บไปกว่า 52 รายและเสียชีวิตไปแล้ว 3 รายนั้น
หลังเกิดเหตุดังกล่าวพนักงานเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยของบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) หรือ PTT ได้เข้าไปเผชิญเหตุ เพื่อตัดแยกระบบการเดินท่อเพื่อควบคุมก๊าซฯ และสอบสวนหาเหตุของการระเบิด พร้อมเร่งแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยทาง ปตท.ยืนยันว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดบริษัทจะรับผิดชอบอย่างเต็มที่ เพราะได้ทำประกันไว้กับบริษัทประกันไว้แล้ว
ในความรับผิดชอบต่อความเสียหายทางแพ่งนั้น เป็นหน้าที่ของบริษัทมหาชนของรัฐอย่าง ปตท.จะปฏิเสธความรับผิดชอบไปไม่ได้ แต่ทว่าในความรับผิดชอบทางอาญานั้น ดูเหมือนหน่วยงานรัฐต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งทางฝ่ายปกครองของจังหวัดสมุทรปราการ กรมธุรกิจพลังงาน ยันกรมควบคุมมลพิษ มิได้กล่าวถึงหรือมีความพยายามที่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายแต่อย่างใด โดยเฉพาะการปล่อยให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของ ปตท.เข้าไปสอบสวนหาเหตุที่เกิดขึ้นพร้อมเจ้าหน้าที่ กองพิสูจน์หลักฐาน พร้อมหน่วยกู้ภัยต่างๆ และกองทัพสื่อมวลชน ซึ่งกว่าจะกันพื้นที่ให้เป็นเขตหวงห้าม ทำให้หลักฐานบางอย่างหมดไปได้ เพราะอย่าลืมว่าเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตด้วย ซึ่งเป็นเหตุทางอาญา ตาม ปอ.291 ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องเก็บรวมรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุมาประกอบสำนวนในการเอาผิดผู้บริหารหน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ด้วย
กรณีที่เกิดขึ้นเป็นผลพิสูจน์โดยประจักษ์ที่ภาคประชาชนและเอ็นจีโอ เคยชุมนุมประท้วงการวางท่อก๊าซของ ปตท.ในหลายๆ เส้นทางที่รอนสิทธิ์ประชาชนมาโดยตลอดว่า อาจสร้างความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่อยู่ตามแนวท่อก๊าซได้ แต่ ปตท.ปฏิเสธมาโดยตลอดว่า ตั้งแต่เริ่มมีการวางท่อก๊าซมาตั้งแต่ปี 2524 จนถึงปัจจุบันเกือบ 40 ปีมานี้ไม่เคยเกิดเหตุถึงขั้นทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ แต่ครั้งนี้ถือเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดว่า ข้อกังวลที่ชาวบ้านและเอ็นจีโอท้วงติงจนนำไปสู่การฟ้องร้องเป็นคดีต่อศาลมากมายมาโดยตลอดนั้นเกิดขึ้นจริงได้ และที่สำคัญหน่วยงานและคณะกรรมการ คชก. และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่เห็นชอบ EIA โครงการท่อก๊าซที่ส่วนใหญ่อยู่ใต้โครงข่ายสายไฟฟ้าแรงสูงของ กฟผ.นั้นถือเป็นความเสี่ยงที่อันตรายยิ่งทั่วประเทศ แต่ผู้ที่เห็นชอบ EIA จะสำนึกผิดและจะไถ่บาปกับสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้อย่างไร และหน่วยงานรัฐจะใช้ ม.96-97 แห่ง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม 2535 ฟ้อง ปตท.เป็นคดีสิ่งแวดล้อมหรือไม่ อย่างไรต้องติดตามกันต่อไป