กลายเป็นเรื่องความบาดหมาง ระหว่างสองทนาย ที่อีกคนเข้าข้างครูจุ๋ม สั่งดำเนินคดีคนที่ทำร้าย อีกคนให้สังคมแบนทนาย ชี้ สนับสนุนการทารุณกรรมเด็ก ส่วนคนตรงกลาง ออกโรงเตือนไม่ควรเข้าข้างคนผิด “ต้องใช้สมองนิดนึงว่า คุณจะแก้ปัญหายังไง ให้มันจบด้วยดี”
ทัวร์ลง เพราะเอาผิดคน “ตบหน้า-ถีบ” ครูจุ๋ม!!
“กราบเรียน FC ทนายคลายทุกข์ ผมประกอบวิชาชีพทนายความมา 35 ปี ไม่เคยทำผิดกฎหมาย หรือศีลธรรม ขอให้มั่นใจได้ ขอบคุณครับ”
เดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายเดชา ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ โพสต์ชี้แจงผ่านเพจ “ทนายคลายทุกข์” ถึงกระแสดรามาของการเป็นทนายของโรงเรียนในเครือสารสาสน์ และออกมาแจ้งความ ดำเนินคดีกับผู้ปกครองที่ทำร้ายครูจุ๋ม ขณะแถลงข่าวกรณีครูพี่เลี้ยงทำร้ายร่างกายเด็ก ส่งให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ถึงการไม่กระทำนี้
“บางคนบอกทัวร์ลง ตามสบายครับ ดูทีวีทุกช่อง ผู้สื่อข่าวโทร. มา บอกอาจารย์ทัวร์ลง… ตามสบาย”
ในภายหลังทนายเดชา ได้ออกมาเปิดใจผ่านรายการเป็นเรื่องเป็นข่าว ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เขาได้ให้คำตอบไว้ว่า การตัดสินใจรับเป็นที่ปรึกษากฎหมาย เป็นเรื่องปกติของผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ
“ไปตบหน้าเขาแรงจนเขาได้รับบาดเจ็บ เขาก็ต้องแจ้งความ ผู้ปกครองบางคนบอกว่าไม่ต้องการความรุนแรงไม่ใช่หรือ ฉะนั้น การที่เขาไปแจ้งความผิดตรงไหน ก็เป็นสิทธิ์ของเขา เพราะเขาบาดเจ็บ”
แน่นอนว่า การตัดสินใจของเขา ต้องโดนกระแสสังคม ที่มองว่าเอียงเอนไปทางโรงเรียน ที่กำลังเป็นที่จับตามองของสังคมตอนนี้ โดยยังคงยืนยันว่า เป็นการประกอบวิชาชีพเป็นปกติ โดยส่วนตัวไม่ได้เอาเรื่องกระแสโจมตีเหล่านี้มาคิด
“เป็นเรื่องปกติของผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ ก็มีสิทธิ์จะว่าความ ไม่ว่าจะเป็นผู้เสียหาย ผู้ต้องหา ทุกคนที่ประกอบวิชาชีพก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นที่ปรึกษากฎหมาย …ไม่เห็นมีอะไรแปลกเลย เพียงแต่มันดรามาเรื่องพี่เลี้ยงตีเด็กนักเรียนอนุบาลเท่านั้นเอง
ผมไม่ได้เอาเรื่องนั้นเก็บมาคิด ทนายคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นทนายคู่กรณีของผมทั้งนั้นที่ออกสื่อ เพราะฉะนั้นการที่ไม่ชอบผมก็เป็นเรื่องปกติ”
ขณะที่ รณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กชักชวนชาวโซเชียลฯ เลิกติดตาม เพจทนายความที่สนับสนุนการทารุณกรรมเด็ก หลังยื่นมือเข้าช่วยครูจุ๋ม
“เชิญชวนประชาชน เลิกติดตาม เลิกกด like เพจทนายความที่สนับสนุนการทารุณกรรมเด็ก #แบนธุรกิจที่สนับสนุนการทารุณกรรมเด็กที่ไม่มีทางสู้ บอกเพื่อนและคนรู้จักให้ช่วยกัน”
ทั้งนี้ เพื่อความชัดเจนถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องทางข้อกฎหมาย ทางทีมข่าวจึงได้ขอความรู้จาก “ทนายรัชพล ศิริสาคร” ทนายความชื่อดังแห่งเพจ “สายตรงกฎหมาย” โดยในฐานะที่ทำงานด้านนี้ มองว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม
“ผมว่ามันไม่เหมาะสม เพราะว่าดูแล้วมันก็เห็นชัดว่าครูเขาผิดเต็มๆ แล้วยังจะพาครูไปแจ้งความกับผู้ปกครอง อันนี้ผมว่าทุกคนดูรู้ว่ามันไม่เหมาะสม มันไม่ควรทำ”
ทนายแนะ “อย่าเปิดศึก 2 ด้าน”
“จริงๆ ทนายเขาสามารถที่จะเลือกว่าความให้ใครก็ได้ หรือว่าจะปฏิเสธไม่รับก็ได้ ถ้าสมมติเราเห็นว่าลูกความของเรา ทำผิดมา หรือทำไม่ดีมา เราสามารถที่จะเลือกที่จะไม่รับได้ ซึ่งการแก้ปัญหาของทนาย ก็ต้องใช้สมองนิดนึงว่า คุณจะแก้ปัญหายังไง ให้มันจบด้วยดี
การที่เราพาคู่กรณีไปแจ้งความต่อ มันเท่ากับเปิดศึก 2 ด้านนะครับ การเปิดศึก 2 ด้าน ผมยังมองว่าไม่เป็นการแก้ปัญหาที่ดี”
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ได้กล่าวต่อไป ถึงกรณีการเลือกรับว่าความ ของอาชีพทนาย มีสิทธิ์เลือกรับ หรือปฏิเสธรับว่าความก็ได้แต่ถ้าหากลูกความมีความผิด ควรรีบแก้ปัญหา ให้จบด้วยดี
“มันอยู่ที่ตัวเราว่าจะพิจารณายังไง คือ จริงๆ แล้ว อยู่ที่ความพอใจของทนายความ ว่าเราจะเลือกรับยังไงก็ได้ ก็แล้วแต่ ไม่มีกฎเกณฑ์
สิทธิ์ก็อยู่ที่เรา แต่ก็จะมีอย่างที่ชาวบ้านเรียกว่า ทนายโจร คือ รับเงินจำนวนมาก แล้วช่วยให้คนผิด ใช้ความรู้หรือช่องว่างทางกฎหมาย ช่วยให้คนผิดเป็นถูกได้”
ส่วนเรื่อง การวางตัว และกระทำเช่นนี้จนทัวร์ลง สังคมมองเป็นการเรียกกระแสให้ตัวเองนั้น เขายังบอกอีกว่า ทนายที่มีจริยธรรม เขาจะเลือกว่าความที่เหมาะสม และใช้ความรู้ของตนให้เกิดธรรม และประโยชน์
“คือ ทนายรับงานได้ ส่วนหนึ่งของทนายอาจจะมีการได้รับค่าตอบแทนมา ซึ่งบางคนเลือกรับงาน เพราะว่าค่าตอบแทนสูง ก็เป็นไปได้ ก็อยู่ที่ความพอใจของทนาย แต่อย่างคนที่เป็นทนายจริงๆ เขาจะมีคุณธรรม ก็เลือกรับงานที่มันเหมาะสม หรือว่ามันเป็นธรรมกับหน้าที่การงานมากกว่า”
สำหรับทนายแล้ว ไม่เคยรับทำคดีเช่นนี้ จนทัวร์ลง เกิดกระแสพิพาทตัวเอง เพราะมองถึงวิชาชีพ ที่กระทำอยู่
“ผมไม่เคยเลยครับ ส่วนใหญ่เราจะเลือกรับคดี แต่ว่าถ้าในกรณีที่เขาผิดจริง เราก็ให้เขาขอโทษ มันน่าจะจบด้วยสวยกว่า ที่จะไปแจ้งความกลับ”
นอกจากนี้ ในฐานะที่เป็นทนาย ทำงานด้านกฎหมาย ยังให้คำแนะนำอีกว่า ควรจะหาข้อสรุปที่ชัดเจนร่วมกันมากกว่าการวางตัวออกมาดำเนินคดีให้กับทางด้านครูพี่เลี้ยงคนนี้
“คือ การเป็นทนายน่าจะหาข้อสรุปร่วมกัน ทำให้เรื่องจบอย่างดีที่สุด ไม่ใช่ว่าพอเขาเปิดศึกมา แล้วเราเปิดศึกกลับอย่างนี้ สุดท้ายแล้วมันจบไม่สวย ถ้าจะจบด้วยดีมันน่าจะจบด้วยการไกล่เกลี่ยกันจะดีกว่า ที่จะมาฟ้องร้องขึ้นศาลสู้รบปรบมือกัน”
ดูโพสต์นี้บน Instagram
ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : ทนายคลายทุกข์
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **