xs
xsm
sm
md
lg

แฉเพิ่มไม่หยุด!! “ครูทำร้ายเด็ก” ย้ำโดนมาหลายรุ่น เพราะช่องโหว่ “ไร้ใบประกอบวิชาชีพ” [มีคลิป]

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แฉต่อเนื่องพฤติกรรมรุนแรง “ครูใจโหด” สังคมตั้งคำถามทำมาแล้วหลายรุ่น ยิ่งขุดยิ่งเจอ ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก สะท้อน ครูไม่มีใบประกอบวิชาชีพ กับมาตรการคัดกรองครูของแต่ละโรงเรียน อาจเกิดขึ้นกับโรงเรียนอื่นได้



แฉวีรกรรมฉาว “ครูใจโหด”

กำลังเป็นประเด็นร้อนกรณี ครูจุ๋ม-อรอุมา ปลอดโปร่ง ครูพี่เลี้ยงทำร้ายเด็กนักเรียนอนุบาล 1 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ จ.นนทบุรี ทั้งผลักเด็ก จับหัวดึงผม ใช้ไม้กวาดตีเด็ก โขกหัวเด็ก

โดยคุณครูคนอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่มีใครห้าม ทำให้ผู้ปกครองหลายท่านรับไม่ได้ หลังเห็นคลิปลูกของตัวเองถูกทำร้าย ยืนยันเอาเรื่องให้ถึงที่สุด หมดความไว้ใจให้แก่โรงเรียน พร้อมย้ายลูกออกจากโรงเรียน

ขณะเดียวกัน หลังเกิดเรื่องราวใหญ่โต ผู้ปกครองอีกหลายท่านก็เดินทางไปโรงเรียน พร้อมขอดูกล้องวงจรปิด เพราะกลัวว่าลูกหลานของตัวเองถูกทำร้ายอีกเช่นเดียวกัน

ด้านครูจุ๋ม ยอมรับว่า ลงมือก่อเหตุจริง ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ยอมรับผิด อยากจะขอโทษผู้ปกครองจากใจจริง ที่ทำไปเพราะเครียดปัญหาหลายอย่าง ทั้งปัญหาครอบครัว แม่ป่วย และบางเรื่องไม่สามารถพูดหรือบอกให้ใครฟังได้

ขณะที่เพจเฟซบุ๊ก “ลิมิเต็ด เกิร์ล” ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ปกครองของเด็กผู้เสียหาย ได้โพสต์ข้อความ ว่า เรื่องนี้ต้องไม่เงียบ มันมีอะไรมากกว่าในคลิป และอีกอย่างมันกระทำต่อเด็กกันมาหลายปีหลายรุ่นแล้ว ขังเด็กในห้องน้ำเป็นชั่วโมง บังคับให้กินอ้วกตัวเอง 

ซึ่งผู้ปกครองของเด็กผู้เสียหายยังระบุอีกว่า ตอนนี้ได้ข้อมูลมาเยอะมาก นอกเหนือกว่านี้นอกจากเด็กๆ ในห้องที่โดนทารุณ ทำร้ายร่างกาย ยังมีเด็กชั้นเรียนอื่น เด็กๆ ก่อนหน้านี้ ที่โดนครูที่โรงเรียนนี้กระทำถึงขั้นรุนแรง แล้วเรื่องเงียบ

อีกหนึ่งเสียงบอกเล่าจากคุณพ่อท่านหนึ่ง ยังบอกอีกว่า บางครั้งลูกกลับบ้านด้วยความหิว จนมาเห็นจากในคลิปว่าครูจุ๋มให้เวลาเด็กทานข้าวแค่ 10 นาที และเก็บจานข้าวทั้งที่เด็กกำลังอ้าปากจะกิน แล้วครูยังไม่อนุญาตให้เด็กดื่มน้ำ ทำให้น้ำในกระติกของเด็กเหลือกลับบ้านทุกวัน

และยังไม่ยอมให้เด็กเข้าห้องน้ำ ถ้าเด็กคนไหนขอเข้าห้องน้ำจะโดนทำโทษบ้าง ตามไปทำร้ายในห้องน้ำบ้าง ทำให้เด็กไม่กล้าเข้าห้องน้ำอีก เด็กจึงอั้นปัสสาวะไว้ทั้งวัน ลูกขอแวะฉี่ในห้องน้ำปั๊มหลังเลิกเรียนทุกวัน และฉี่ทีเป็นก๊อก

ผู้ปกครองบางคนยังพบว่า ลูกของตนมีรอยช้ำตามหลังใบหู บางคนมีรอยช้ำที่เอว ที่หลัง เด็กบางคนเคยบอกพ่อแม่ว่าถูกครูตี แต่พ่อแม่เข้าใจว่าลูกซนและคิดว่าเป็นการทำโทษธรรมดา จนเมื่อได้มาดูคลิปจึงเห็นว่าลูกถูกครูทำร้ายทั้งที่นั่งเฉยๆ


ล่าสุด ยังมีคลิปถูกแฉอีก เป็นภาพครูผู้ชายชาวฟิลิปปินส์ เดินชี้หน้าด่าเด็ก กระชากแขนเด็ก ดึงตัวเด็กไล่ให้ไปนอกห้อง ซึ่งเป็นห้องเดียวกันกับครูจุ๋ม โดยที่ครูอีก 2 คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเฉยเหมือนเป็นเรื่องปกติ

ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว คุณพ่อท่านหนึ่ง ออกมาแฉต่อเนื่องอีกว่า ลูกสาวถูกครูพี่เลี้ยงทำร้ายในห้องน้ำตอนเรียนเตรียมอนุบาลที่โรงเรียนแห่งนี้ มีรอยหยิก บิดที่ใต้ต้นแขน รักแร้ เป็นรอยช้ำเลือด ตอนนอนกลางคืนต้องนอนผวาตื่นตอนกลางคืนทั้งคืน ไม่ยอมให้ปิดไฟนอน ไม่ยอมอยู่ในห้องแคบๆ จนผิดสังเกต

ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ปกครองรายหนึ่งบอกว่า ตัวเองทำงานหนักเพื่อจ่ายค่าเทอมปีละเป็นแสนให้ลูก หวังให้ลูกได้เรียนในสภาพแวดล้อมที่ดี ได้รับการดูแลที่ดี แต่กลับต้องมาเห็นลูกถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ

ส่วนเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทางโรงเรียนสารสาสน์ราชพฤกษ์ ก็ได้ออกประกาศชี้แจงกรณีการลงโทษนักเรียนไม่เหมาะสมของครูพี่เลี้ยงคนที่เป็นข่าวโดยทางโรงเรียนได้ตัดสินว่าให้ครูคนดังกล่าวพ้นสภาพของการเป็นบุคลากรของโรงเรียนโดยทันที และจะลงโทษตามวินัยแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องในลำดับต่อไป


มาตรการคัดครู กับใบวิชาชีพที่ถูกละเลย

นอกจากนี้ ยังพบว่าครูจุ๋ม ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครู จบเพียง ม.6 แต่มาเป็นครูพี่เลี้ยง โดยทำงานมา 8 ปีแล้ว ทำให้สังคมส่วนใหญ่มองว่า โรงเรียนละเลยในการคัดกรองครู และละเลยถึงเรื่องที่ครูพึงมี นั่นคือใบประกอบวิชาชีพ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สังคมให้ความสนใจเป็นอย่างมาก พร้อมตั้งคำถามยิ่งครูไม่มีใบประกอบวิชาชีพ ยิ่งทำให้ไม่มีความยับยั้งชั่งใจในการทำร้ายเด็ก

อย่างไรก็ตาม ทีมข่าว MGR Live ได้ติดต่อไปยัง ครูก้า-กรองทอง บุญประคอง ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก ให้ช่วยสะท้อนถึงมาตรการตรวจสอบบุคคลก่อนที่จะเข้ามาเป็นครู และใบประกอบวิชาชีพที่ถูกละเลย

ด้านครูก้า ให้คำตอบถึงเรื่องนี้ว่า ตามหลักการเดิมของกระทรวงศึกษาธิการ ยอมให้มีคนเข้ามาทำหน้าที่ครูผู้ช่วย หรือครูพี่เลี้ยง ด้วยวุฒิเพียง ม.6 ได้ แต่ทำหน้าที่เพียงแค่ดูแลเด็กเท่านั้น ไม่สามารถลุกขึ้นมาเป็นผู้นำชั้นเรียนแทนครูประจำชั้นได้

[ครูก้า-กรองทอง บุญประคอง ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก]
“ถ้าโดยทั่วไปการที่รับครูพี่เลี้ยงเข้ามาโดยที่วุฒิแค่ ม.6 เป็นไปได้ แต่บทบาทที่จะมอบให้เขา คำว่าครูพี่เลี้ยง หรือผู้ช่วยครูคุณจะทำหน้าที่อะไร คือเริ่มตั้งแต่ที่เป็นครูจริงๆ ของห้องก่อน คนที่เป็นคนนำห้อง คุณจะต้องดูแลครูผู้ช่วย เพื่อจะให้เป็นผู้ช่วยในการเรียนการสอน หรือการสร้างประสบการณ์ให้แก่เด็กให้มีผลดีที่สุด การทำงานก็สะดวกสบายที่สุด

แต่คุณไม่ใช่เป็นผู้ช่วย เช่น ฉันกำลังสอนอยู่หน้าชั้นเรียน เธอช่วยจัดการเด็กที อันนี้ไม่ใช่บทบาทของผู้ช่วยครู สำหรับเด็กอนุบาลมันจะมีเรื่องเข้าห้องน้ำ ทานข้าวเดี๋ยวหกเลอะเทอะ อาจจะปัสสาวะราด หรืออะไรก็แล้วแต่ ครูคนเดียวไม่ไหว จะต้องมีผู้ช่วย เขาก็เลยมองว่า ผู้ช่วยครูเอาระดับแค่ ม.6 ก็ได้ ไม่ต้องมีวุฒิทางการศึกษาก็ได้

แต่ว่าตอนนี้เราอาจจะต้องหันกลับมาคิดใหม่ว่าจริงหรือเปล่า หรือคุณมีวุฒิ ม.6 แล้วคุณต้องไปเรียนอะไรเพิ่มเติม เพื่อที่จะเข้าใจว่าคุณกำลังจะเป็นทีมเวิร์กเดียวกันกับครูประจำชั้น ซึ่งจะเป็นคนที่มีหน้าที่สร้างประสบการณ์ที่มีคุณภาพให้แก่เด็ก

อันนี้สำคัญมากนะคะ ครูประจำชั้น คือครูที่จะต้องสร้างประสบการณ์ที่มีคุณภาพสำหรับเด็ก ประสบการณ์ที่เขาจะมีคุณค่า มีความหมายของการเติบโตของเด็ก”

ทั้งนี้ ครูก้า ยังมองอีกว่า ในวิชาชีพครู ความเข้มงวดในการคัดกรองครูก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ และที่สำคัญว่าว่าจะอาชีพไหนก็ไม่ควรทำพฤติกรรมเช่นนี้

“ความเข้มงวดก็เป็นเรื่องหนึ่ง จริงๆ ไม่ว่าจะวิชาชีพครูหรือไม่ ก็ไม่ควรทำ ว่าง่ายๆ คือเราไม่มีสิทธิไปทำร้ายใคร แต่พอมันหนักขึ้นตรงที่เราเป็นครู อันนี้ยิ่งหนักขึ้น จรรยาบรรณของครูคือเราต้องรู้ว่าจิตวิญญาณครูว่าเรากำลังจะทำอะไร เรียกว่าเป็นช่วงวัยที่เรากำลังหล่อหลอม เขาจะเป็นคนอย่างไร อยู่ในสภาพแวดล้อที่เราจัดขึ้นมาให้เขา โอกาสที่เราจัดให้เขา หรือสิ่งที่เรากระทำกับเขากำลังจะบอกว่าโลกใบนี้เป็นยังไง เขาจะต้องเป็นเด็กยังไง แบบไหน

จริงๆ พอเป็นครูยิ่งหนัก ต่อให้ไม่ใช่ครู เราก็ไม่ควรกระทำอยู่แล้ว เพราฉะนั้นในวิชาชีพครู เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เพราะว่าเรากำลังจะต้องรับผิดชอบกับความเป็นตัวเขา”

นอกจากจะมีคนออกมาแฉพฤติกรรมของครูจุ๋ม ที่ทำร้ายเด็กแล้วนั้น ยังมีพฤติกรรมของครูใจโหดคนอื่น ถูกปล่อยออกมาอีกหลายคลิป

“ตอนนี้เราพูดเท่าที่ตาเราเห็นนะคะ มันเหมือนกลายเป็นวัฒนธรรมของห้องนี้ ว่าเขาดูแลเด็กกันแบบนี้ หรือแม้กระทั่งครูผู้ชายที่เป็นชาวฟิลิปปินส์เขาก็อาจจะมารับวัฒนธรรม คิดว่าโรงเรียนไทยเขาดูแลเด็กแบบนี้ เขาก็ทำแบบนี้ นี่คือเป็นการถ่ายทอดเป็นวัฒนธรรมกันไปเลยว่า เราจะดูแลเด็กแบบนี้ ด้วยวิธีนี้

สำคัญมากที่โรงเรียนจะต้องหล่อหลอมครูว่า ที่นี่เราดูแลเด็กยังไง ที่นี่เรามองเด็กแบบไหน เราเคารพในความรู้สึกนึกคิดของทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่หรือไม่ ทุกคนคือมนุษย์เหมือนกัน มีหัวจิตหัวใจเหมือนกัน ถ้าหมั่นดูแลเรื่องนี้มันก็จะค่อยๆ ลดน้อยลง จนกระทั่งไม่มี

ถามว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งแรกหรือเปล่า มันคงไม่ใช่ครั้งแรก แล้วก็คงไม่ใช่ที่เดียว บังเอิญว่ามาสู่ยุคเทคโนโลยีที่เรามีภาพที่เราจะมาฉายให้เห็นกันได้ เราควรจะใช้เหตุการณ์นี้เป็นกรณีศึกษาที่จะกลับมาพูดกันให้ชัดๆ อีกทีว่าทำไมจึงไม่ควร มีผลกระทบยังไง”


ส่วนเรื่องผลกระทบต่อตัวเด็ก ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กมองว่า เรื่องนี้ เป็นผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรงที่คนเป็นครูต้องเข้าใจ สำคัญคือเด็กวัยนี้มีทัศนคติต่อการเรียนรู้ หากเด็กมาโรงเรียนด้วยความเครียด ก็จะส่งผลต่อพัฒนาการด้านสมอง

“ตรงนี้มีผลกระทบที่ร้ายแรงมากๆ กับเด็ก มีผลทางจิตใจ ซึ่งเด็กจะรู้สึกทั้งกลัว และหวาดผวา มันยังเป็นเหมือนแผลในใจ และจะเกิดพฤติกรรมเลียบแบบ

ถึงแม้ว่าเด็กบางคนไม่ได้ถูกกระทำ แต่เห็นการกระทำ ฉะนั้นจริงๆ แล้ว ก็จะมีผลกระทบต่อเด็กๆ อย่างมาก ยิ่งถ้าคนไหนยิ่งเป็นผู้ถูกกระทำโดยตรง คือมันเป็นช่วงของวัยที่เขากำลังมองโลกใบนี้ว่าน่าไว้วางใจเพียงไหน พอที่จะทำให้เขารู้สึกว่า อบอุ่นมั่นคงปลอดภัยไหม

จากบ้านเขามา นี่คือบ้านหลังที่สองที่เขารู้จัก แล้วพอมาเจอแบบนี้มันคือประสบการณ์ที่ไม่ดี ค่อนข้างจะถอนออกยากนิดหนึ่งในความรู้สึกของเด็ก แต่ว่าต้องช่วยกัน ต้องอาศัยนักจิตวิทยาเข้าไปช่วยเหลือ โดยที่ต้องทำงานกับคุณพ่อคุณแม่ ถ้าไม่ได้รับการแก้ไข เด็กก็จะกลายเป็นคนที่ไปบูลลี่เพื่อน บูลลี่คนที่เด็กกว่าหรืออะไรแบบนี้ ผลกระทบต่อเด็กมีเยอะมาก

สำหรับครูเอง โดยจิตวิญญาณของความเป็นครู จริงๆ เรา ถ้ามีคงทำแบบนี้ไมได้ ยิ่งเขาเล็กมาก อยู่ในวัยกำลังโต ยิ่งไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะว่าคนที่เป็นครู เราจะต้องรับผิดชอบการเติบโตของเขาว่าโตขึ้นเขาจะเป็นคนอย่างไร

เรื่องของความปลอดภัยของเด็กเรายิ่งต้องดูแล ความมีตัวตนของเขา เราต้องคารพเขา ถ้าไม่เคารพเขา เขาก็ไม่ไปเคารพคนอื่นเช่นเดียวกัน”

ท้ายนี้ครูก้า อยากให้เหตุการณ์นี้เป็นกรณีศึกษา ครูต้องมีความรับผิดชอบต่อวิชาชีพค่อนข้างสูง และไม่ควรทำร้ายกันทั้งร่างกาย และจิตใจ

“ครูก็คิดว่า เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว อยากให้เป็นเคสกรณีศึกษาว่า ในฐานะที่เราเป็นผู้มองเหตุการณ์นี้ เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง กลับมามองที่ตัวเรา ควรจะทำอย่างไรบ้าง ถึงคนที่ไม่มีลูกก็ตาม เราก็มองนะว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่ควรกระทำกับคนอื่น ไม่ควรทำร้ายร่างกาย จิตใจใครทั้งสิ้น

ถ้าเราเป็นผู้ที่ถูกกระทำบ้าง เรารู้สึกอย่างไร แล้วยิ่งเป็นเด็กเล็กๆ เรายิ่งต้องคิดให้มากขึ้น ต้องมีความรับผิดชอบต่อความเป็นครู เพราะเป็นผู้ที่จะสร้างโอกาสให้เขาเติบโต แล้วกลายเป็นคนอย่างไรต้องรับผิดชอบต่ออาชีพนี้ค่อนข้างสูงมากค่ะ เพราะเรากำลังรับผิดชอบชีวิตลูกศิษย์เราทุกคนเลยจริงๆ”





ข่าว : MGR Live
คลิป : อิสสริยา อาชวานันทกุล



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **





กำลังโหลดความคิดเห็น