“ภูมิต้านทานไม่เพียงพอที่จะสู้กับเชื้อใหม่” หมอมนูญเผย “โควิด-19” หายแล้วกลับมาเป็นได้อีก เหตุเชื้อกลายพันธุ์ตลอดเวลา ด้านสถานการณ์รอบบ้านยังวิกฤต แรงงานลักลอบเข้าช่องทางธรรมชาติ ทำหมอชายแดนไทยตกเป็นกลุ่มเสี่ยง
โควิดกลายพันธุ์ เป็นแล้วก็เป็นซ้ำได้?!
“ตอนนี้ตัวเลขชัดเจนว่าเป็นซ้ำได้อีก เพราะเป็นครั้งแรกภูมิคุ้มกันอยู่ในได้ไม่กี่เดือนก็หายไป คนที่ป่วยหนัก ภูมิต้านทานก็จะอยู่นานกว่าคนที่ป่วยน้อยหรือไม่มีอาการ พอภูมิต้านทานหมดแล้วไปรับเชื้อ เชื้อมันไม่ใช่เชื้อตัวเก่า เป็นตัวใหม่ ภูมิต้านทานที่เคยสร้างมามันก็ไม่เพียงพอที่จะสู้กับเชื้อใหม่”
นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนักและโรคผู้สูงอายุ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ และประธานชมรมเชื้อราทางการแพทย์ประเทศไทย เปิดเผยแก่ทีมข่าว MGR Live ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส-19 ในขณะนี้ ที่ดูเหมือนว่าจะกลับมารุนแรงอีกในระลอกที่ 2 ทั้งในไทยและต่างประเทศ เหตุเพราะเชื้อกลายพันธุ์!
[ นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ ]
“เชื้อโควิดคือเชื้อ RNA ที่มันกลายพันธุ์ง่ายและกลายพันธุ์ตลอด ที่น่าเป็นห่วงคือเวลามันกลายพันธุ์มันติดกันง่ายขึ้น ส่วนจะรุนแรงรึเปล่าก็มีคนถกเถียงกัน ซึ่งดูจากตัวเลขการตายอย่างประเทศอิตาลีที่กลายพันธุ์มาจากจีนก็จะตายมากกว่า อัตราการตายต่อประชากรจะสูงกว่า อย่างจีนที่เริ่มต้น อัตราการตายต่อประชากรจะต่ำกว่าเป็นร้อยเท่า
เริ่มต้นที่จีน แต่พอไปประเทศอิตาลี ก็ต่อมาที่อเมริกา ที่บราซิล ตอนนี้เชื้อจีนมันก็เกือบจะหายไปจากโลกแล้ว แต่เชื้อใหม่ที่มา อย่างของเวียดนามรอบแรกไม่มีใครตาย รอบที่ 2 ไม่ถึง 2 เดือนที่ผ่านมา ตายไป 35 คน ก็คาดว่ามาจากประเทศตะวันตก มันติดต่อกันง่ายขึ้น แต่ก่อนอาจจะติดแค่ 2 คน ถ้าเป็นเชื้อสายพันธุ์ใหม่ๆ อาจจะติดกัน 5 คน ตัวเลขมันไม่ได้คูณ 2 มันคูณ 5 อินเดียตอนนี้มีคนติดเชื้อวันนึงเกือบจะแสนคน”
และเมื่อถามถึงการใช้วัคซีนอันจะเป็นความหวังในการพิชิตวิกฤตนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางเดินหายใจกล่าว่า ถึงแม้จะมีวัคซีนออกมาในอนาคต ก็ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่าจะเอาชนะโรคนี้ได้ เนื่องจากโรคมีการกลายพันธุ์ตลอดเวลา
“เชื้อมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ผมว่ามันเปลี่ยนได้ทุกเดือน ยิ่งอยู่นานยิ่งเปลี่ยน ก็เหมือนกับไข้หวัดใหญ่ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไข้หวัดใหญ่อาจจะเปลี่ยนเร็วกว่าโควิด เราต้องมีวัคซีนใหม่ทุกปี ปีใหม่ปุ๊บ วัคซีนเก่าก็ใช้ไม่ได้ โควิดก็คงจะเป็นในรูปเดียวกัน แต่อาจจะให้ทุก 2 ปี 3 ปี หรือ 5 ปี อันนี้ยังไม่มีใครตอบได้
วัคซีนมันเป็นเรื่องที่ต้องถามกันว่าตัวที่ออกมาจะได้ผลกับทุกสายพันธุ์รึเปล่า อีกอันนึงที่กลัวคือถ้ามันไม่ได้ผล มันอาจจะทำให้คนที่ได้รับวัคซีนอาจจะป่วยหนักขึ้นได้ เพราะว่ามันไม่ตรงกับสายพันธุ์ที่รับมา แล้วหนำซ้ำทำให้ร่างกายสู้กับเชื้อจนตัวเองป่วยหนักขึ้น ตรงนี้ยังไม่มีใครรู้ ต้องรอการทดสอบ
เพราะฉะนั้น อย่าไปด่วนขอรับวัคซีนเลย รอให้ผ่านการทดลองในคนก่อน ในอาสาสมัคร ต้องมีหลายหมื่นคนเลยกว่าจะรู้ว่าคนที่ได้รับวัคซีนจริง กับคนที่ได้รับวัคซีนหลอก มันปลอดภัยรึเปล่า 1.ต้องปลอดภัย 2.ป้องกันได้รึเปล่า ต้องป้องกันได้อย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์ ผมยังบอกว่า วัคซีนโควิดเราไว้ใจไม่ได้ว่าฉีดแล้วจะป้องกันคนทั้งโลกได้ ผมไม่แน่ใจ”
ป้องกันดีจนไวรัสประจำถิ่นลดลง!
“ขณะนี้เชื้อที่กำลังพบบ่อย เป็นเชื้อหวัดเล็ก Human Metapneumovirus (hMPV) ในเด็กจะมีคัดจมูก น้ำมูกไหล แต่เชื้อที่ลงในปอดกลับพบน้อยมาก อย่างวิชัยยุทธเกือบจะไม่มีเลย 5 เดือนที่มา ผลพลอยได้จากการที่เราป้องกันตัวเอง อีกอย่างหนึ่งโรงเรียนก็ปิด แต่ตอนนี้โรงเรียนเปิดแล้วก็ยังไม่เจอ RSV บางทีมันต้องมาแล้ว แต่เราก็ยังไม่เจอ ซึ่งถือว่าแปลกใจมากๆ เลย เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยพบมาก่อน”
แม้ในส่วนของสถานการณ์โควิดจะต้องกลับมาระวังตัวอย่างแข็งขันอีกครั้ง แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังมีเรื่องราวที่ชวนโล่งใจ เมื่อคุณหมอมนูญกล่าวต่อไปถึงประเด็นของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสประจำถิ่น แต่หลังจากที่เกิดโควิด-19 ระบาด ก็ทำให้โรคจำพวกนี้ลดลงจนแม้แต่ตนเองที่เป็นแพทย์ยังแปลกใจ แต่ก็ห้ามชะล่าในเนื่องจากสถานการณ์ของประเทศเพื่อนบ้านยังวิกฤตอยู่
“ปกติเดือนนี้เราก็จะมีไข้หวัดใหญ่ อาร์เอสวี (RSV เชื้อ Human metapneumovirus (hMPV) ที่มันเล่นงานทางเดินหายใจ แต่ก็แปลก ภายใน 5 เดือนที่ผ่านมา เชื้อเหล่านี้กลับไม่เจอเลย เจอก็น้อยมากๆ เราเชื่อเลยว่าอาจจะเป็นจากการที่เรามีการป้องกันโควิด ด้วยการใส่หน้ากาก ด้วยการเว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ มันก็ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจทุกชนิดเลย
แต่ถ้าเราการ์ดตก ไม่ป้องกันตัว เหมือนสมัยก่อนตอนที่ไปดูมวย ไม่มีใครใส่หน้ากากเลย ตะโกนเชียร์กัน ถ้าทำอย่างนั้นเกิดมีใครสักคนป่วย มันก็จะป่วยเวลาคนมารวมกลุ่มกัน ทีเดียวอาจจะสัก 40-50 คน จากนั้นก็ขยายตัว ตัวเลขก็คูณ 40-50 เลย แป๊บเดียวก็เป็นหลักพัน
อย่างประเทศเพื่อนบ้าน พม่าก็เริ่มป่วยเยอะขึ้น เขาก็ไม่ค่อยได้มีการตรวจเหมือนบ้านเรา เราก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเลขเขามากน้อยขนาดไหน ถ้าคนของเขาผ่านมาทางชายแดนแล้วมาแพร่ให้คนในบ้านเรา ประเทศเราก็จะเหมือนเขา เพราะเชื้อพวกนี้มันติดกันง่าย และเราไม่มีภูมิคุ้มกัน ต้องป้องกัน ทุกประเทศขณะนี้มันไม่มีประเทศไหนที่ปลอดภัย ต้องใช้วิธีการเดิม ดูแลตัวเองให้ดี ป้องกันตัวเองให้ดี ช่วยชาติด้วย”
สุดท้าย แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจชื่อดังได้ฝากกำลังใจไปถึงแพทย์ที่ประจำอยู่ตามโรงพยาบาลที่มีเขตติดต่อกับพื้นที่ชายแดน ที่ถือเป็นปราการด่านหน้าในการรับมือกับแรงงานข้ามชาติ ตลอดจนย้ำถึงการป้องกันตนเองแก่ประชาชน ห้ามการ์ดตกเด็ดขาด
“โอกาสที่หมอได้เจอคนไข้จะมาก ส่วนใหญ่ระบาดรอบที่ 2 บุคลากรทางการแพทย์จะเป็นกลุ่มเสี่ยง เพราะฉะนั้นถ้าเขาทำงานอยู่แถวชายแดน พวกคนพม่าเขาป่วย ขอมาทำงาน ขอมารักษาที่โรงพยาบาลชายแดน พวกเขาเองจะเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะรับเชื้อ ต้องให้กำลังใจเขามากๆ ต้องให้อุปกรณ์ป้องกันเขาให้มากพอ ไม่งั้นเขาจะเป็นกลุ่มเสี่ยง เสร็จแล้วก็จะแพร่ให้คนในครอบครัวเขา แล้วก็จะสูญเสียคนสำคัญในการต่อสู้กับโควิด
และขอให้ทุกคนใส่หน้ากากเวลาออกไปรวมกลุ่มกับคนอื่น ถ้าอยู่ในสถานที่ปิด อากาศถ่ายเทไม่ได้ โอกาสจะแพร่เชื้อให้คนอื่นเยอะมาก โดยเฉพาะตัวเองเกิดอยู่ในระยะที่ฟักตัว ไม่มีอาการ ก็สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ แล้วก็หมั่นล้างมือ อย่าเอามือที่ยังไม่ล้างมาแคะจมูก มาขยี้ตา พยายามเว้นระยะห่างกับคนประมาณ 2 เมตร ถ้าทำ 3 วิธีนี้ อย่างน้อยจะช่วยป้องกันตัวเองและป้องกันคนอื่นไม่ให้ติดเชื้อครับ”
ข่าวโดย : MGR Live
ขอบคุณภาพ : แฟนเพจ “หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **