xs
xsm
sm
md
lg

ลวกเส้นสู้เพื่อย่า! “น้องอุ้ม” แม่ค้าก๋วยเตี๋ยว 11 ขวบยอดกตัญญู [มีคลิป]

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กตัญญู-ขยัน-เรียนดี! เปิดใจ “น้องอุ้ม” แม่ค้าตัวน้อยวัย 11 ปี ขายก๋วยเตี๋ยวเลี้ยงชีพ แบ่งเบาภาระย่าที่ป่วยหลายโรครุมเร้า ให้คำมั่น “จะทำงานแทนย่าเอง จะเลี้ยงย่าเอง”

จากลูกมือตัวน้อย สู่แม่ค้าตัวจริง

ภาพของเด็กวัยใส 2 คนปั่นจักรยานออกจากบ้าน หลายคนอาจคิดว่าจุดหมายปลายทางคือการเที่ยวเล่นกับเพื่อน แต่ความจริงแล้ว น้องอุ้มและน้องออม สองพี่น้องกำลังมุ่งหน้าไปตลาดในจังหวัดราชบุรี ที่ห่างจากบ้านไม่มากนัก เพื่อไปช่วยย่าขายก๋วยเตี๋ยว อันเป็นกิจวัตรประจำวันหลังเลิกเรียนเด็กหญิงทั้งสองมาหลายปีแล้ว

สำหรับ “น้องอุ้ม - สุภัคนันท์ บุญประเสริฐ” แม่ค้าตัวน้อยวัย 11 ขวบผู้นี้ เธอไม่เพียงแค่ผู้ช่วยย่าเท่านั้น หากแต่ยังทำได้หมดทุกขั้นตอน ตั้งแต่ปรุงก๋วยเตี๋ยว รับออเดอร์ คิดเงิน ล้างจาน และเก็บร้าน เรียกได้ว่าเป็นกำลังหลักในการขายแทนย่าที่สุขภาพไม่ค่อยดีมากว่า 2 ปี จนเป็นภาพชินตาของลูกค้าและผู้คนที่ผ่านไปมาในย่านนั้น



ประทิน บุญประเสริฐ ผู้เป็นย่าของน้องอุ้ม กล่าวกับผู้สัมภาษณ์ถึงเรื่องราวของหลานสาวว่า พ่อและแม่ของหลานแยกทางกัน ตนเองเป็นผู้เลี้ยงดู ให้ความรักความอบอุ่นตั้งแต่เล็ก ซึ่งหลานทั้งสองเรียกย่าว่า “แม่”

“เขาเกิดที่นี่ พ่อแม่เขาก็เลิกกัน เราก็เลยต้องเลี้ยง ตอนนั้นคนโตจะเข้าอนุบาลประมาณ 3 ขวบ คนเล็กได้ 2 เดือนกว่า เราก็เลี้ยงเขา พอแม่เขาไป คนเล็กเราไม่ได้เลี้ยงเองแต่ทีแรก เราก็ต้องขายของ เอาไปให้พี่สาวที่เป็นย่าเขาอีกคนหนึ่งช่วยเลี้ยง เพราะเห็นว่าเราต้องทำกิน คนเล็ก 2 เดือนกว่ามันลำบากมาก ทั้งนมทั้งอะไรหลายอย่าง แต่คนโตเราเอาไปเลี้ยงที่ร้านก๋วยเตี๋ยวได้เพราะเขา 3 ขวบแล้ว กินนอนที่นู่นเลย โตมากับร้านก๋วยเตี๋ยวเลย เปิดมา 10 กว่าปีแล้ว



พอเขาเริ่ม 5-6 ขวบ เขาก็อยากจะหยิบจะทำจะเสิร์ฟ แต่เราไม่ให้เขาทำเพราะมันเป็นของร้อน เด็กเล็กเกินไป ตัวเขาเล็กมาก พอเริ่มโตก็ให้เขาทำเอง 7 ขวบเริ่มจะทำแล้ว เขาบอก “แม่ๆ ขอทำได้มั้ย” ก็บอกว่า ถ้าหนูจะกินหนูก็ทำเองเลย แต่เขาก็มีนะ หนูทำได้นะ ลูกค้ามาสั่ง เลยบอกว่าทำไม่ได้ หนูยังเล็ก ให้โตกว่านี้หน่อยก่อน ไม่ต้องกลัวว่าหนูไม่ได้ทำ ก็ยังพูดกับเขาอย่างนี้ เวลากินให้เขาทำเอง

จุดเริ่มต้นที่เขาเริ่มทำให้ลูกค้า คือเขาทำกินเองแล้วนั่งกินอยู่ที่โต๊ะ ลูกค้ามาสั่งก๋วยเตี๋ยวแล้วมอง เขาก็พูดเล่น ชามนี้น่ากินนะ ย่าก็เลยบอกกับลูกค้าว่า อยากกินอย่างนี้มั้ยล่ะ ถ้าอยากกินต้องให้คนนี้ทำนะเพราะเขาทำเอง แต่เวลาเขาทำใหม่ๆ เราก็ต้องคอยเฝ้าใกล้ๆ เพราะเด็กอะนะ เราต้องระวังอยู่”



ด้านน้องอุ้มก็กล่าวถึงกิจวัตรที่ต้องในแต่ละวันว่า หลังเลิกเรียนก็จะมาช่วยย่าขายก๋วยเตี๋ยวจนถึงเก็บร้าน กว่าจะได้นอนก็เกือบตี 3 ได้นอนหลับไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นไปโรงเรียน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ผลการเรียนของสาวน้อยไม่ดี เพราะเธอและน้องสาว ได้เกรดเฉลี่ยเกือบ 4.00 แม้ต้องอดหลับอดนอน แต่เธอก็พร้อมทำเพื่อย่า

“(กว่าจะทำก๋วยเตี๋ยวเป็น) นานอยู่ค่ะ แรกๆ ก็ลวกมือบ้าง หกบ้าง (หัวเราะ) ตอนนี้สบาย หนูมาที่ร้าน ตอนเลิกเรียนก็กลับบ้าน อาบน้ำก็มาช่วยย่าทำของ จัดร้านค่ะ ทำก๋วยเตี๋ยว แล้วก็เสิร์ฟ น้องมาช่วยซน ช่วยเสิร์ฟน้ำบ้าง ก็ภูมิใจในตัวเองค่ะ ทำตั้งแต่ 4 โมงกว่าถึงเที่ยงคืนกว่า ได้นอนประมาณตี 2-3 ค่ะ ตื่น 6 โมงครึ่ง”

ส่วนคุณย่าประทินก็กล่าวว่าภูมิใจที่หลานมีผลการเรียนดี แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสารที่หลานต้องมาช่วยขายของ อดหลับอดนอนตั้งแต่เล็ก



“ครูเขาบอกว่าเขาเป็นเด็กตามงาน งานอะไรถ้าไม่ทันเขาขอครูตามหมด แต่น้องอุ้มเรียนเก่ง น้องออมก็ได้ 3.83 เราก็ภูมิใจว่าเขาเรียนเก่ง แต่ก็สงสาร ให้เขากลับก่อนเขาก็ไม่ยอม เรื่องอยากกลับก่อนไม่มี มีแต่เรานี่แหละบอกให้เขากลับแล้วเขาก็จะร้องไห้ตลอด ร้องไห้เลย ไม่ยอม เรื่องกลับบ้านทะเลาะกันตาย ต้องกลับพร้อมกัน

แต่ถ้าเขาง่วงมากๆ พอ 5 ทุ่มเขาถาม แม่เก็บร้านแล้วใช่มั้ย หนูขอนอนหน่อยนะ หนูง่วงนอน เราก็จะกางโต๊ะให้เขา 3 ตัว มีผ้าห่มให้ผืนหนึ่ง เปิดพัดลมให้ แล้วเราก็เก็บร้านไปเรื่อย กว่าเราจะเก็บร้านเสร็จตี 1 ครึ่ง พอจนเหลือโต๊ะ 3 ตัวที่ต้องเก็บก็จะเรียกเขา”

เคราะห์ซ้ำ! ย่าป่วยหลายโรครุมเร้า

“ทำก๋วยเตี๋ยวเพราะว่าจะได้ช่วยย่าค่ะ ย่าไม่ค่อยสบาย ย่าเป็นเส้นเอ็นอักเสบค่ะ แล้วก็ตาเป็นต้อหิน”

สำหรับน้องอุ้ม ไม่เพียงแค่ช่วยย่าเท่านั้น แต่เธอทำเป็นหมดทุกขั้นตอน จนเป็นกำลังหลักในการขายแทนย่า ที่สุขภาพไม่ค่อยดีมา 2 ปีแล้ว ซึ่งคุณย่าก็ได้เล่าถึงอาการป่วยของตนเองว่า เป็นทั้งต้อหิน เอ็นข้อมืออักเสบจากการยกของหนักเป็นเวลานาน ตลอดจนความดัน โรคหัวใจ



“ตาเป็นต้อหิน ต้องผ่าตัด แล้วมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ปวดแขนค่ะ ต้องเอาที่รัดข้อมือมารัด ตอนนั้นที่เป็นคือเรายกชามไม่ได้ ไม่มีแรง มันปวดมาก แล้วไปหาหมอบ่อย เราต้องยกโต๊ะทุกวันไง เก็บเองล้างเองเข็นเองลากเองคนเดียว มันหนัก หมอเขาบอกไม่ให้ใช้กำลังมาก เพราะเราอายุก็มากแล้ว มันไม่มีใครทำ เราก็ต้องทำ หมอบอกว่าถ้าจะให้หายต้องหยุด 6 เดือน เราก็ถามคุณหมอว่า 6 เดือนเอาอะไรกิน หมอบอกงั้นก็ไม่หายหรอกนะ ก็เป็นอยู่อย่างนี้ แต่เราก็ทนทำ

ส่วนความดันเป็นมาเป็น 10 ปีแล้วค่ะ ไม่หาย เพราะเราอดนอน เราพักผ่อนน้อย หมอบอกไม่มีทางหาย หัวใจไม่ดี วันนั้นจัดร้านอยู่ก็ใจสั่น ก็เลยตะโกนบอกน้องสาวที่ขายฝั่งตรงข้าม บอกว่าเป็นอะไรไม่รู้ มันใจสั่นมาก หน้ามืด หายใจไม่ออก ปกติเราไม่เคยเป็นแบบนี้เลย น้องสาวก็บอกให้ไปคลินิกหมอโรคหัวใจ เราก็ทิ้งร้านไปเลย หลานก็บอกว่าแม่ไปเหอะ หนูทำได้ ไปตรวจแล้วหมอก็บอกว่าหัวใจเริ่มไม่ดี



ไม่เพียงแค่นั้น ด้วยอายุที่มากขึ้นของย่าประทิน ยังปรากฏอีกโรคพ่วงมา นั่นก็คืออัลไซเมอร์ระยะแรก

“ไปหาหมอความดัน ปกติเขาจะนัด 2 เดือนครั้ง แต่พอเราเริ่มลืมมากๆ ก็ถามหมอที่รักษาความดันเราว่า ช่วยแนะนำหมอให้หน่อยสิเพราะเราขี้ลืม ลืมถึงขั้นลูกค้าสั่ง เดินไปยังไม่ทันได้นั่ง เราลืมแล้วว่าเขาสั่งอะไร ต้องเดินไปถาม ขาประจำจะรู้หมดว่าเราขี้ลืม มันเป็นมานานแล้ว

หมอบอกไหนเล่าอาการให้ฟังซิ เราก็บอกว่าขี้หลงขี้ลืม หมอเขาคุยๆ ให้เรานับนู่นนี่ แค่แป๊บเดียวเขาถามว่านับอะไร เราจำไม่ได้ เขาก็ถามใหม่แล้วย้อนกลับไปถามคำเก่าว่าคุยกับหมอเรื่องอะไร เราจำไม่ได้แล้ว เขาบอกเราเป็นอัลไซเมอร์เบื้องต้น เราเริ่มจะเป็น หมอบอกว่าเราต้องกินยาตัวนี้ เขาก็จัดยามาให้ แต่ปกติย่าจะหาหมอไม่เสียตังค์ แต่ยาตัวนี้ย่าต้องเสียตังค์เอง ถ้ากับคนอื่นคงไม่แพง แต่สำหรับย่ามันแพง กล่องหนึ่ง 700 บาท”

อยากเป็นหมอ หวังดูแลย่า

แม้จะต้องเหนื่อยยาก ทำงานและเลี้ยงดูหลานทั้งสอง แต่ทุกวันนี้คุณย่าอาจไม่ต้องลำบากเท่าที่ผ่านมา เพราะลูกชายได้กลับมาทำหน้าที่ลูก รวมทั้งหน้าที่พ่อของน้องอุ้ม และน้องออม จึงสามารถช่วยผ่อนแรงคุณย่าได้มาก

“เขากลับมาก่อนหน้าโควิดได้สัก 1-2 เดือน เลยบอกเขาว่า ให้เขาอยู่กับเราก็ช่วยขายของไป แม่ก็ไม่ไหวแล้ว ที่แขนหายคือลูกชายกลับมาอยู่ด้วย เขามายกโต๊ะยกอะไร พอเราไม่ได้ทำงานหนักมันก็หาย เวลาไปไหนยังมีคนไปแทนเราได้ ชวนลูกไปซื้อของตลอด



หลานก็ไม่เคยถาม แต่เขารู้ว่าพ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ส่วนมากบางทีก็มีพี่ป้าน้าอาพูดให้ฟัง เขาเป็นเด็กร่าเริง น้องอุ้มน้องออมไม่เคยมีนั่งซึมนั่งเศร้า เราจะอธิบายว่าพ่อแม่เขามีเหตุผลของเขานะ เขาอยู่ด้วยกันไม่ได้ เขาก็แยกกันอยู่ แม่ก็มีน้องใหม่ ถ่ายรูปมาให้ดู เขาก็ยังดีใจ ยังทักน้องชื่ออะไร ก็คุยปกติ ยังติดต่อกันอยู่”

เมื่อถามถึงรายได้ ย่าประทินยอมรับว่า ด้วยเศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้ค้าขายไม่ดีดังเดิม ต้องอาศัยใช้จ่ายอย่างประหยัดอดออม แต่ยืนยันว่าจะส่งหลานเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งน้องอุ้มมีความฝันอยากเป็นแพทย์ทหารเพื่อที่จะดูแลรักษาย่าได้



“แต่ก่อนของมันก็ถูก ทุนน้อยกำไรมันก็เยอะ แต่เดี๋ยวนี้ทุนเยอะกำไรนิดเดียว ถ้าวันไหนขายไม่ดีปุ๊บ จบ แต่ตอนนี้เราอาศัยว่าปู่เขาขับรถก็มีเงินเดือน ยังช่วยเราได้ค่าน้ำค่าไฟ มันก็ได้ตรงนี้มาพยุงกันไป เราขายของก็ต้องรู้จักใช้จ่าย แต่มันก็มีบ้างนะที่เราต้องไปกู้เขามา บอกตรงๆ

ถ้าเรามีกำลังเราก็อยากส่งหลานไปเรื่อยๆ เรียนให้สูงๆ เพราะว่าอีกหน่อยวิชาความรู้ก็จะรู้ทันคน เอาตัวรอดได้ จะทำอาชีพอะไรก็แล้วแต่เขา ถ้าตัวเองคือตามใจเขา แต่เคยถามเขา เขาอยากจะเป็นหมอทหาร เขาบอกหนูจะได้มาดูย่าเพราะย่าป่วยบ่อย ตัวเราเองเริ่มขี้โรค อายุมากขึ้น เขาก็จะบอกว่าหนูจะได้มาดูแลแม่ได้ อีกหน่อยหนูมีตังค์หนูจะซื้อตึก แม่จะได้ไม่ต้องไปขายข้างนอก จะได้ขายในบ้าน แม่ไม่ต้องทำ คอยนั่งเก็บตังค์อย่างเดียว”



ส่วนหลานสาวทั้งสอง นอกจากจะเป็นกำลังหลักในการขายก๋วยเตี๋ยวเลี้ยงครอบครัวด้วยแล้ว ทั้งคู่ยังรับผิดชอบงานบ้านได้อย่างดี อะไรที่พอทำได้ น้องอุ้มพยายามทำเอง รวมทั้งช่วยน้องออมด้วย

ขณะที่ของใช้ในบ้านที่เก่าหรือส่อเค้าพัง ก็พยายามใช้ตามสภาพ หรือแม้แต่เสื้อผ้านักเรียน น้องอุ้มและน้องออมก็มีเพียงคนละ 2 ชุด

“(ชุดนักเรียน) มี 2 ชุดค่ะ ผลัดกันใส่ กลับมาแล้วก็ซัก ก็พอค่ะ แต่เสื้อมันก็คับเหมือนกัน อยากได้เตารีดใหม่ค่ะ ของเก่ามันเหมือนจะพังแล้ว มันเก่ามากแล้ว แต่อยากได้มากที่สุดคือเครื่องซักผ้า ใช้มาตั้งแต่แม่ของปู่อีกทีนึงค่ะ”

ด้านน้องอุ้ม แม่ค้าตัวน้อย ได้กล่าวทิ้งท้ายกับผู้สัมภาษณ์ว่า “ห่วงย่าค่ะ จะทำงานแทนย่าเอง จะเลี้ยงย่าเอง”




หากท่านใดต้องการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวนี้ สามารถโอนเงินไปได้ที่ ธนาคารออมสิน ชื่อบัญชี ด.ญ.สุภัคนันท์ บุญประเสริฐ เลขที่บัญชี 020278983695





สัมภาษณ์ : รายการ “ฅนจริง ใจไม่ท้อ”
เรียบเรียง : MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ




** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น