xs
xsm
sm
md
lg

ผิดแค่ไหนก็ไม่สายเกินกลับใจ!! เจาะชีวิต “อดีตนักโทษประหาร” สู่ “แชมป์มวยโลกเอเชีย” [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"โทษประหารชีวิต" จากบัลลังก์พิจารณาคดีที่ประกาศก้อง ประหนึ่งวันสิ้นโลกในชีวิตของชายคนนี้ กว่า 13 ปีที่ต้องอยู่ในห้องขัง เขาต้องต่อสู้กับศัตรูตัวฉกาจในใจตัวเองหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งเอาชนะชะตา คว้าโอกาสให้ตัวเองได้สำเร็จ จนกลายเป็น "แชมป์มวยโลกเอเชีย" และนี่คือบทเรียนจากอีกหนึ่งชีวิตที่ควรค่าแก่การเรียนรู้



ก้าวพลาดครั้งใหญ่ จนกลายเป็น “นักโทษประหาร”


“ผมมองว่าตราบใดที่ผมยังมีลมหายใจอยู่ ผมยังไม่แพ้ วันที่ผมแพ้ คือ วันที่ผมหมดลมหายใจ ถ้าเรายังมีลมหายใจอยู่ เราก็ต้องสู้ ถามว่าเคยมีท้อไหม มันก็มีบ้าง ชีวิตคนเรามันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่ได้สวยราบเหมือนถนนที่ไม่มีลูกรัง มันต้องมีสะดุดกันบ้าง

อย่างผมในวันที่ผมล้ม เหมือนลงไปถนน แล้วหัวฟาดพื้น แบบนั้นเลย แต่คนอื่นล้ม บางทียังมีฟูก มีหมอน มีที่นอนลอง คือ ล้มมันก็ยังไม่เจ็บเท่าไหร่ แต่อย่างของผม ผมล้มแบบวูบเลย นับหนึ่งใหม่หมดเลย แต่เรามา (มีชีวิต) ได้จนถึงทุกวันนี้ เราก็มองว่ามันก็โอเคนะ”


[ขอบคุณภาพ : FB Tom Potisit]
ด้วยรอยสักทั่วทั้งร่างกาย บวกกับความเสียงพูดกังวานอย่างไม่กลัวใคร หากไม่รู้จักคนตรงหน้ามาก่อนแน่นอนว่าคงไม่กล้าเข้าใกล้ เพียงเพราะตัดสินกันจากภายนอก

และกว่า "แชมป์มวยโลก WBC Asia" รายนี้จะก้าวข้าม "ชีวิตที่ถูกตัดสินมาได้" เรียกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะชื่อของ “เอ็ม - เฉลิมพล สิงห์วังหา” ในวัย 19 เคยถูกระบุให้เป็น "นักโทษประหาร" ฐานฆ่าคนตายและพัวพันยาเสพติด ว่าแล้ว ชายผู้เต็มไปด้วยรอยสัก ในวัย 38 ปี เจ้าของฉายา “คนตัวลาย” ก็ช่วยหมุนเข็มนาฬิกา กลับไปยังช่วงวัยที่เคยก้าวพลาดครั้งใหญ่ ซึ่งส่งให้เขาต้องถูกขังอยู่ในเรือนจำ ด้วยโทษสูงสุด

[เข็มขัดแชมป์มวยโลก WBC Asia]
โดยเส้นทางขรุขระในชีวิตของเขา เริ่มต้นจากตอนเขาอายุ 9 ขวบ ย้อนกลับไปเด็กหนุ่มวัย 19 ปี ที่ยังมีอนาคตอีกไกล ใครจะคิดล่ะว่าจะกลับกลายเป็นนักโทษต้องขังอยู่ในเรือนจำ ด้วยโทษขั้นสูงสุด คือประหารชีวิต จากเด็กที่เติบโต จ.กำแพงเพชร ไม่คิดว่าจะมาเป็นนักมวย

แต่ด้วยความชอบของพ่อและปู่ จึงให้ฝึกซ้อม แน่นอนว่าเด็กอายุ 5-6 ขวบนั้นอยากจะวิ่งเล่นกับเพื่อนเสียมากกว่า จนกระทั่งย้ายมาอยู่ที่ค่าย จ.สมุทรปราการ จึงได้ขึ้นชกครั้งแรกอายุ 9 ขวบ

“ผมเริ่มชกมวยเลย ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ด้วยความที่ไม่ชอบมวยหรอก แต่ปู่กับพ่อชอบมวย ก็เลยเอาผมไปฝากที่ค่ายมวยค่ายหนึ่ง แต่ด้วยความที่เราอยากเล่น เหมือนเด็ก 9 ขวบ เขาไปเล่นลูกแก้ว เราก็อยากไปเล่นกับเพื่อนแต่เราต้องไปซ้อมมวย เราก็เลยไม่ชอบตรงนั้น แต่พอเราได้ซ้อมจริงๆ จังๆ 15 วัน ผมก็ได้ไปชกครั้งแรกเลย พอต่อยเสร็จเราได้เงิน ตอนนั้นค่าตัวได้ 50 บาท

แต่ญาติพี่น้อง คนนั้นคนนี้ได้เกือบ 500 บาทเรา 9 ขวบ เราหาเงินได้ขนาดนี้ ก็ถือว่าโอเคนะ ก็เลยตัดสินใจไปอยู่ค่ายมวยดีกว่า ค่ายมวยที่สมุทรปราการตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเลย พออยู่มาก็ต่อยมวยมาเรื่อยๆ

จนวันหนึ่งแล้วด้วยความคิดของเรา คือ เด็กอายุ 15-16 เพื่อนเริ่มเที่ยว เริ่มกินเหล้า เริ่มดูดบุหรี่ เราก็มองว่ามันเท่ว่ะ มันเฟี้ยวเว้ยด้วยความที่คิดไม่ถึง เราไม่รู้ ก็เลยอยากลอง อายุ 15 ผมเลิกชกมวย ก็ไปตามเพื่อน เพื่อนไม่ได้บังคับให้ผมไปหาเขานะ ผมไปหาเพื่อนเอง เราอย่าไปโทษเพื่อน


ผมเป็นคนที่พ่อแม่พูดตลอดว่า สิ่งที่หนูทำไป หนูอย่าโทษเพื่อนเด็ดขาด เพราะหนูเป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง เพื่อนไม่สามารถบีบคอหนูให้มาดูดยาได้ เพื่อนไม่สามารถบีบคอหนูให้มาดูดบุหรี่ได้ ทุกอย่างอยู่ที่ตัวหนู แม่ผมจะสอนแบบนี้ตลอด อย่าโทษเพื่อนเด็ดขาด

ผมก็จำนะครับ ฟังแม่ตลอด จนวันหนึ่งเราเข้าไปอยู่ในวงจรตรงนี้ อย่างว่ามันเข้าง่าย ออกยาก อย่างที่เขาบอก ก็พลาดไป จนอายุ 19 ก็ไปอยู่วงจรยาเสพติด ก็พลาดไปยิงคน แล้วก็ติดคุก”

เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มวัย 19 ปี เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง แสงสีที่สาดเข้ามาในชีวิตกลายเป็นคนไร้วินัย ทำให้ติดเพื่อน บวกกับตอนนั้นมีปัญหาครอบครัว พ่อแม่หย่าร้าง สุดท้ายเดินทางเข้าสู่วงจรยาเสพติดในที่สุด

“ถึงกับเป็นคนจัดงาน หางาน จ่ายงานอะไรอย่างนี้ คือ เป็นอย่างนั้นเลย ผมได้รับโทษประหารชีวิต คือ ผมไม่รู้ว่าชีวิตผมจะได้ออกไหม ผมมองว่าผมยกชีวิตผมให้กรมราชทัณฑ์ไปแล้ว เพราะเราเกเร เราดื้อจนแบบว่ามีบางคุกที่ไม่รับเลย


มีบางเรือนจำ จำได้ตอนนั้นเขาส่งไปเรือนจำนึง แล้วเขาบอกว่าโทษเราเยอะ แล้วก็ดื้อ ด้วยความดื้อของเรา เขาก็รับไม่ได้ เขาก็เลยส่งมาอีกที่นึง

ถามว่าความรู้สึก ใครพอโดนเข้าไปจริงๆ แล้วหน้าเหลือ 2 นิ้วเท่านั้น ช่วงที่ยังไม่โดนอะไรก็เฮฮา อะไรก็ได้ แต่พอโดนเข้าไปแล้วจริงๆ นึกถึงแต่แม่และพ่อ ไม่น่าทำเลยว่ะ ไม่น่าที่จะไปอย่างนั้นเลยว่ะ คือ คิดไปก็สายเกินไปแล้ว

การที่คุณก้าวเข้าไปตรงจุดนั้นแล้ว ผมบอกได้เลยครอบครัว คือ สิ่งหนึ่งที่มาก่อน ผมคนหนึ่งที่มองเพื่อนว่าสำคัญที่สุด เพราะผมอยู่กับเพื่อนตลอดเวลา ผมกินอยู่กับเพื่อนตลอดเวลา เพราะพ่อแม่ผมแยกทางกัน


ผมก็อยู่กับเพื่อน ไปไหนก็ไปกับเพื่อน จนมองว่าเพื่อนรักกูที่สุดแล้ว ผมมองแบบนั้น ผมมองว่าเพื่อนรักเราที่สุดแล้ว จนสุดท้ายเราก้าวเข้าไปคุก มีแต่แม่กับครอบครัว
ตอนนั้นผมจะบอกให้ว่าบัตรประชาชนใบเดียวก็ยังเยี่ยมได้ ทุกคนไม่ว่าจะเพื่อน จะใคร ตอนที่ผมติด (คุก) บัตรประชาชนใบเดียว แต่ไม่มีเพื่อนไป ณ ตอนนี้เยี่ยมได้เฉพาะญาติพี่น้องจริงๆ ผมก็มองว่า วันที่คุณป่วย ใครเป็นคนเช็ดตัวให้คุณ วันที่คุณร้องไห้ แม่ พ่อ ปลอบใจคุณ

เช็ดตัวก็มีแต่แม่ มีแต่พ่อ หรือคนในครอบครัวแค่นั้นเองครับ เพื่อนมาเยี่ยม ถูกต้อง เพื่อนมาเยี่ยมแน่นอน แต่คนที่เช็ดตัวให้คุณคือใคร ผมไม่อยากสอน ผมแค่เอาสิ่งนี้มาพูด มาเป็นอุทาหรณ์ เป็นอุทาหรณ์ให้พวกน้องๆ มากกว่า”




หยุด “นักเลงในซังเต” เพราะความรักของแม่



กว่า 13 ปีอดีตนักโทษอุกฉกรรจ์ ผู้เคยพรากชีวิตผู้อื่นแก่ความตาย ซึ่งจากการกระทำครั้งนั้น ส่งให้เขามองว่าคุกคงเป็นสถานที่สุดท้ายที่เขาจะฝากชีวิตไว้

“อยู่ข้างในจนเกเรจนมีคนรู้จัก แต่ด้วยความที่เราเป็นคนที่ชอบความถูกต้องมากกว่า ผมไม่เคยไปรังแกใคร ผมไม่เคยไปรังแกคนที่อ่อนกว่า คนที่อยู่ในคุกผมมองเขาเป็นเสือหมด มองทุกคนมีค่าเท่ากันหมด มองว่าทุกคนให้เกียรติกันมากกว่า

ผมไม่มีญาติ พ่อแม่ผมก็แก่ ไปเยี่ยมผมตลอด 13 ปี ผมไม่มีญาติแต่ผมมีกับข้าวที่เหมือนคนเยี่ยมญาติเลย ผมไม่เคยไปปล้นเขา มีแต่น้องๆ ที่เอากับข้าวให้ มีแต่คนให้ผมกิน ด้วยความที่ผมพูดได้เลย ณ ตรงนี้ว่า ผมกลัวอยู่คนเดียว คนดี ผมทำไม่ลง


แต่ถ้าเป็นพวกนักเลง จิ๊กโก๋ พวกชอบข่มเหง เจอผมได้หมดเลย ด้วยความที่เราให้เกียรติมากกว่า ถ้าใครดี ผมยกมือท่วมหัวเลย ผมไม่สู้ ผมทำไม่ลง”

อย่างไรก็ดี ชีวิตในคุกที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไป ด้วยความที่ตนเป็นคนขี้กลัว จึงพยายามทำตัวให้ใหญ่ขึ้นมาเพื่อความอยู่รอด เพราะไม่อยากให้ใครทำร้ายเรา

“เมื่อเราอยู่ตรงจุดนั้นแล้ว มันทำให้เราเหมือนกับว่าต้องเห็นแก่ตัวในคุก ต้องเอาตัวรอด ทำอะไรก็ได้ให้ทุกคนยอมรับเราข้างในนั้น จนผันตัวเองมาเป็นพ่อบ้าน คือ ผมจะบอกพวกน้องๆ ตลอดว่า ผมไม่ใช่พ่อบ้านนะ ผมเป็นพี่น้อง ถ้าผมแก่กว่า คือ ผมเป็นพี่

แต่ถ้าผมอายุอ่อนกว่า ผมก็เป็นน้อง เพียงแต่ว่าถ้าเป็นภาษาอย่างนี้พี่น้องมันจะคุยกันได้ ถ้าคนในคุกถ้าเขาเป็นพ่อบ้าน เขาจะมีผ้าซับ มาดนั่งโก๋ แล้วเด็กๆ รุ่นหลังจะไม่กล้าที่จะคุยกับเขา ถ้าเขามีปัญหาอะไร อย่างเด็กเข้ามาใหม่ จะปรึกษาเรา พี่ครับ คดีผมเป็นอย่างนี้ เขาก็จะไม่กล้าคุย ถ้าเรามัวแต่นั่งมาด นั่งแอ็กอาร์ตอยู่อย่างนั้น

เราก็เลยบอกว่าอย่างนี้ดีกว่า เราเป็นพี่น้องกัน มีอะไรเราคุยกันได้ จนดื้อถึงขั้นที่ผมขังอยู่ข้างบน จนวันหนึ่งผู้คุมมาคุยว่า เอ็มมึงอยากจะเป็นแค่นักเลงขาใหญ่แค่นี้เหรอ มึงไม่อยากกลับบ้านเหรอ มึงไม่สงสารแม่เหรอ นี่แหละคำนี้มันเลยทำให้ผมแบบเฮ้ย…อยากกลับบ้าน”


จากเด็กวัยรุ่นที่คิดว่าตัวเองเจ๋ง และมีอำนาจจากวงจรอุบาทว์นี้ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีอะไร ที่ทำให้เอ็ม แปลงเปลี่ยนความคิดไปจากเส้นทางนี้ได้ ทว่า เมื่อถามเขาว่าอะไรคือจุดเปลี่ยน ผู้ชายตรงหน้าคนนี้ให้คำตอบว่า เป็นเพราะน้ำตาของแม่ ทำให้สามารถพลิกชีวิตเขาออกมาใช้ชีวิตในโลกความจริงภายนอกอีกครั้ง

“พ่อผมเสียแล้วแม่จะคอยมาตามเยี่ยมผมตลอด คำถามทุกครั้งที่แม่มา คือ เมื่อไหร่หนูจะออก เมื่อไหร่หนูจะออก

มันก็เป็นคำถามที่อยู่ในใจ แล้วเวลาเขาเห็นเราใส่โซ่ เอาอีกแล้วเหรอ หนูไม่อยากกลับบ้านเหรอ เราก็เลยไปถามแม่ไปคำหนึ่งว่า แม่อายใครไหมที่มีลูกแบบหนู แกก็บอกลูกจะเหี้ย จะตะกวด ยังไงก็ลูก แกบอกอย่างนี้

ผมก็เลยถามว่าแม่โกรธผมไหม เขาบอกเขาไม่โกรธ เขาไม่เคยโกรธลูก เขาไม่เคยที่จะโทษลูก คือทุกอย่างอยู่ที่ตัวลูกเอง อยู่ที่ตัวหนู ผมปฏิญาณกับตัวเองเอาไว้ว่า ตั้งแต่วันที่เราถามแม่เสร็จผมจะเลิกเกเรแล้ว เพื่อที่จะกลับบ้าน ในตอนที่อยู่ในคุก”

ไม่เพียงแค่นั้น ยังได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ในเรือนจำ ชักชวนให้มาเป็นนักมวยเพื่อเข้าแข่งขันกีฬานักโทษทั่วประเทศ ทำให้เขาได้กลับเข้าสู่เส้นทางมวยอีกครั้ง พร้อมสร้างชื่อเสียงให้กรมราชทัณฑ์



“เขาก็ได้อภัยโทษกันตอนนั้น เขาก็เดินกลับบ้านกันเต็มเลย ผมยังไม่มีอะไร ผมยังนั่งขังอยู่อย่างนั้น คือ มันไม่มีอะไรที่เป็นตัวเองเลย เราก็มาคิดว่าจริงอย่างที่เขาพูดนะว่า เราจะอยู่แค่ในนี้เหรอวะ

แล้วเขาก็ให้คำสัญญากับผมว่า ถ้าเกิดผมซ้อม และต่อยมวยดีๆ เขาจะพาออกไปชกข้างนอก ผมก็เฮ้ย!! นักโทษไม่กี่คนนะ 3 แสนกว่าคน มีเราได้ออกไปต่อยข้างนอก เฮ้ยมันภูมิใจนะ ผมก็โอเคครับ ผมสัญญา

ถ้าผมลงซอยเมื่อไหร่ ผมจะเลิกเกเร ผมจะเลิกดื้อ ก็อยู่กับพี่วีรพลประมาณ 4 ปี เขาก็ดูแล พาออกไปต่อยข้างนอก ครั้งแรกออกมาที่ฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต แล้วได้เจอแม่ ได้เจอพี่สาว ได้นั่งกินข้าว ได้กอดแม่ ได้กราบแม่

คือ มันไม่ต้องเป็นลูกกรงกั้นแล้ว ถึงมันจะเป็นเวลาสั้นๆ แต่มีความหมายมากเลย มันมีความสุขมาก ที่ได้คุยกับแม่เรา เราก็สารภาพกับแม่ ขอโทษแม่ เขาก็เลยบอกว่าหนูทำอย่างนี้ดีแล้ว คือ จะได้กลับบ้านไวๆ นะ คือ แม่รออยู่ เพราะแม่ของผม เป็นลูคีเมีย คือ ต้องไปหาหมอตลอด

วันนั้นผมสัญญากับแม่ แม่ดีขึ้นหมดเลย คือแบบไม่ต้องไปกินยา ไม่ต้องอะไรเลย แล้ววันที่ผมถูกปล่อยตัวมา แม่คือกำลังใจดีมาก จนทุกวันนี้ คือ แกไม่ต้องไป มีบางครั้งที่แบบว่ากินยาระงับหน่อย แต่ว่าดีกว่าเมื่อก่อนตอนผมติดคุก ดีขึ้นเยอะครับ”


จากนั้นจึงเริ่มต้นฝึกซ้อมมวย และลงแข่งขันมวยสากลสมัครเล่น จนได้แชมป์ระดับภาคในปีแรก และในปีที่ 2 ก็ได้แชมป์ระดับประเทศ จากนั้นก็ได้แชมป์ระดับประเทศติดต่อกัน 3 ปีซ้อน อีกทั้งด้วยคำสัญญาจะประพฤติตนเป็นคนดี ทำให้ทาง “พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์” อธิบดีกรมราชทัณฑ์ในตอนนั้น ทำเรื่องพักโทษกรณีพิเศษให้แก่เขา

“ได้พักโทษกรณีพิเศษ เป็นนักโทษตัวอย่างของเรือนจำ ตอนนั้นท่านสุชาติ วงศ์อนันต์ชัย เป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เหมือนกับทำเราเป็นตัวอย่างนักโทษคนแรกที่ได้พักโทษตรงนี้


ท่านดีมาก ตามเรื่อง แล้วก็อยากให้เราออกมาต่อยอด แล้วผมก็มาได้แชมป์จริงๆ มาได้แชมป์ ABF 147 ปอนด์

แชมป์อันแรก เส้นแรกเลย แล้วมาได้เส้นแรกของประเทศไทย เส้นที่ 2 ของโลก คือ มันถือว่าเป็นเส้นเล็กๆ เข็มขัดเล็กๆ แต่ว่าเราก็ภูมิใจ เพราะว่าเรามาจากนักโทษ

ผมมองว่านักโทษมันมีดี แต่ไม่มีโอกาส คือ พวกผมมีดีนะ ทุกอย่างในการที่จะทำอะไรในแต่ละอย่าง แต่บางครั้งถูกโอกาสปิดกั้น แต่สิ่งหนึ่งแล้วคุณต้องให้โอกาสตัวเองก่อนนะ ในการที่คุณจะขอโอกาสจากคนอื่น

ผมขอโอกาสจากสังคม จากพี่น้อง แต่ผมเปิดโอกาสให้ตัวเองก่อน แต่ถ้าคุณไม่เปิดโอกาสให้ตัวเอง คุณขอโอกาสจากคนอื่นมันก็เท่านั้นครับ”



อย่าตัดสิน เพราะ “รอยสัก-โทษประหาร”


จากนักโทษจำคุกชีวิต สู่โลกภายนอกที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้กลับมาใช้ชีวิตในโลกไร้กรงขวางกั้นนี้ เขายอมรับการใช้ชีวิตภายนอกสำหรับเขา ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไม่มีพื้นที่ยืนจากสังคม

“หลังจากออกมาแล้ว ผมก็ยังกลับไปวงจรเดิมๆ มีกลับไปวงจรเรื่องยาเสพติด ผมกลับไปใช้ยาเสพติด ก็ช่วงนั้นไม่มีการต่อย

ถามว่ามึงจะกลับไปค้ายาทำไมอีก ผมก็จะบอกว่าสภาพผมแบบนี้ เขาไม่รับทำงานถูกไหม จะมีข้อโต้แย้งขึ้นมาว่า แล้วทำไมมึงไม่หาอย่างอื่นทำถูกไหม ผมทำไม่เป็น คือ จะให้ผมทำอะไร


คือ ผม 9 ขวบ ผมชกแต่มวย แต่ว่าจะหาว่าเป็นข้ออ้าง ผมก็ไม่รู้นะ แต่ว่าเงินหาง่าย ก็คือยาเสพติด ผมก็ต้องมุ่งไปหาตรงนั้นก่อน

เพราะด้วยความที่ยังไม่มีความคิดด้วย ผมมองว่าพอเราทำยาปุ๊บ ถ้ากูโดนจับ กูก็อยู่ได้ อยู่ข้างในกูก็สบาย มันเป็นความคิดที่แย่ แต่ผมบอกว่าไม่ใช่ทุกคนนะ อยู่ข้างในไม่ได้โชคดีแบบผม

ถ้าเป็นอย่างอื่นขึ้นมา ไม่ใช่ว่าผมมองว่าคุกสบาย คุกไม่ได้สบาย คุณทำงานข้างนอกวันละ 300 คุณทำงานในคุกเดือนละ 28 บาท เพราะยุคผมเดือนละ 28 บาท 3 เดือนยังไม่ได้ 100 บาทเลย”


ทว่า “โอกาส” สำหรับผู้พ้นโทษอย่างเอ็มนั้น เขาย้ำตลอดการคุยในครั้งนี้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ กว่าจะมีโอกาสสร้างชีวิตใหม่นอกคุกได้นั้น เขาเคยกลับเข้าวังวนอย่างเสพติดมาแล้ว ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ผู้ชายที่ขึงขังตรงข้างหน้า กลับมีเสียงสั่นเครือ และสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

“พี่จ๋า (ภรรยา) เขาไล่ผม พอจับได้แล้ว เขาก็เลยบอกว่าเก็บเสื้อผ้าไปเลย คือ ไม่เอาแล้ว แล้วเราก็อายุขนาดนี้แล้ว สักครั้งในชีวิตจะทำเพื่อใครสักคน จะถามว่ามึงทำเพื่อเมีย ไม่ทำเพื่อแม่ เพื่ออะไร ไม่ใช่

ณ ตอนนั้น คือ ผมอยากเปลี่ยนชีวิตตัวเองจริงๆ ผมอยากทำอะไรสักครั้งหนึ่ง ให้คนที่ผมรัก ก็บอกกับเขาว่าช่วยผมด้วย ผมอยากเลิกยา ผมก็ร้องไห้ ผมก็บอกว่าผมผิด ผมเข้าใจ แต่ว่าผมขอโอกาสครั้งที่ 2 ที่ได้จากเขา

[จ๋าภรรยา ผู้เปลี่ยนชีวิต เอ็ม]

คือ เขาบอกว่าพี่เอ็มต้องฟังหนูนะ พี่เอ็มต้องเชื่อหนูนะ เขาก็ขังผมไว้ในห้อง เขาก็ไปทำงานเป็นเซลล์เบนซ์ ตอนกลางวันก็เอาข้าวมาส่งให้ผม


แล้ววันนั้นผมหยิบยาใต้หมอน 1,200 เม็ดทิ้งเลย ผมเลิกโดยปฏิญาณ แล้วเวลาผมเสี้ยนยา คือ หิว เขาก็จะเอาผม ลากผมเข้าห้องน้ำ

แล้วก็จะเอาน้ำฉีดเขา เอาน้ำราดใส่ตัว เขาบอกว่าพี่เอ็มสู้นะ พี่เอ็มทำได้นะ ผมก็คิดว่าทำเพื่อเขาสักครั้งหนึ่ง เขาก็พี่เอ็มไหวไหม บอกไหวครับ เขาก็จะซื้อพวกเฮโมวิต ที่บำรุงสมองและที่กระดูก เขาก็จะซื้อมาบำรุงให้ ประมาณ 2 อาทิตย์ ผมก็เลิกขาดเลย เลิกได้ก็ต้องขอบคุณเขา คือ หัวใจเขาแข็งมาก เข้มเข็งมาก อยู่สู้กับเราได้…

คำพูดของเขาบอกว่า พี่เอ็มหนูไม่อยากจากกันแค่ลูกกรงกั้น คำพูดนั้นตั้งแต่วันนั้นยันตอนนี้ คือ ผมไม่กลับไปแตะอีกเลย”


ทั้งนี้ การหลงกลับไปก้าวพลาดอีกครั้งของเขา นำมาซึ่งการพิสูจน์ความรักอันเหนียวแน่น ของ "จ๋า- ศรันย่า สุขนิ่ม"ภรรยาของเขา ที่ไม่ได้มองแต่เพียงรูปลักษณ์ และอดีตชีวิตนักโทษคนหนึ่ง พร้อมทั้งคอยฉุดเขาขึ้นมาจากห้วงเวลานั้นได้ และกลายเป็นคนใหม่ตลอดไป


“มันเหมือนกับเรายิ่งเห็นเรื่องนักโทษที่ออกมา แล้วมันไม่มีงานทำ ผมเป็นแชมป์อยู่ แต่ผมเห็นที่โรงงาน เขาเขียนว่ารับสมัคร รปภ. แต่ผมแค่อยากลองความรู้สึกคนไทยยังมองพวกผมแค่รอยสักอยู่หรือเปล่า ผมไปสมัครปุ๊บ เขาบอกว่าเดี๋ยวโทร.กลับไปนะ ผมก็รู้แล้วว่าเขาไม่เอา

แต่ผมไม่ได้อะไร ผมแค่อยากลองดูว่าคุณยังคิดเหมือนเดิมไหม เพื่อนผมโทร.มา นักโทษเหมือนกัน แต่ตอนนี้เป็น รปภ.อยู่ที่ชลบุรี ผมโคตรภูมิใจเลย เขาถามผมว่าเพื่อนรังเกียจผมไหมที่ผมทำงานอย่างนี้

ผมบอกผมโคตรดีใจเลย ผมพูดยังขนลุกอยู่เลย ผมบอกว่าผมโคตรดีใจเลย ผมภูมิใจในตัวแกนะเว้ย ที่แกไม่อายที่ทำกิน คือ ขออย่างเดียวว่าอย่าทำสิ่งผิดกฎหมาย ผมไม่ได้ตอแหล ไม่ใช่แบบมึงกลับตัวกลับใจได้แล้ว มึงก็พูดได้ ไม่ใช่ครับ

แต่สิ่งที่ผมพูด คือ อยากให้กำลังใจทุกคนที่กำลังมองตัวเองว่าไม่มีค่าเพราะผมเป็น 1 ในนั้น ผมก็คิดว่าตัวเองไม่มีค่าอะไรแล้ว แต่ก่อนเจอพี่จ๋า ผมยังไปวนอยู่ในวงจรเดิมๆ เล่นยาเสพติด ค้ายาเสพติด แต่ผมโชคดีอยู่อย่างเดียว ผมไม่โดนจับอีกรอบเพียงแค่นั้นเอง ผมเลิกไว”


ทว่า การจะกลับมาใช้ชีวิตอย่างในปัจจุบัน เขาต้องผ่านการทำงานมาแล้วหลายอาชีพ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สังคมเลิกตัดสินเขาเพียง “รอยสัก” ที่เต็มไปทั่วร่างกาย

“มันก็ระแวง มันกลัวคนมองไม่ดี เพราะว่าสภาพเรา ผมเดินไปไหน เขาก็มอง จนกระทั่งล่าสุดที่ผมมาอยู่ตรง Big C ประชาอุทิศ 90 มันมีร้านขายลูกชิ้น ผมไป ไปซื้อของ จนเขาถามผมว่าพี่ที่ออกรายการ workpoint ใช่ไหม ผมบอกใช่ครับ พี่เชื่อไหมถ้าเกิดหนูไม่เห็นพี่ในโทรทัศน์ เขายังบอกว่าผมมาขายยาแถวนี้


ผมก็เลยบอกว่าไม่เป็นไรครับพี่ ผมเข้าใจความรู้สึกของพี่ คือ พี่คิดได้หมดแหละ ผมห้ามความคิดพี่ไม่ได้ แต่เพียงแต่ว่าผมไม่ได้ทำ ผมก็บอกเขาว่าผมไม่ทำ ผมไม่ได้ยุ่งเลย 4 ปีแล้วครับ ผมไม่เคยไปแตะอีกเลย

ผมมองว่าความคิดของเขา เขาคิดได้หมด ผมไม่โกรธเลยนะวันนั้น ดีเสียอีกที่เขากล้าพูดกับเรา เพราะว่าแรกๆ เขาไม่คุยกับผม

เหมือนเขากลัวผม แล้วเราได้เป็นเพื่อนบ้านกันอีก ผมมองว่าโอเคนะที่เขากล้าพูดกับผม เพราะว่าถ้าเกิดเขาไม่พูด นึกภาพออกไหมผมเดินไป เขาก็จะมองอยู่อย่างนี้ มองตั้งแต่หัวยันขา คือ เขาก็มองอยู่อย่างนี้ ผมก็ไม่รู้เขาคิดอะไรของเขา จนวันนั้นได้คุยกับเขา ก็ปลดล็อกให้ตัวเองมากกว่า คือเราไม่โกรธ ไม่เคยโกรธเลย

ผมโดน (บูลลี่) บ่อย ถ้าจะให้ผมไปลบรอยสัก ผมไม่ลบนะ เพราะว่าคุณต้องรับในสิ่งที่ผมเป็นได้ ถ้าผมลบรอยสัก ผมก็หนีตัวเอง ผมก็หนีความเป็นจริงของตัวเอง ผมจะลบเพื่ออะไร

ผมชอบด้วยความเป็นศิลปะ มันสักที่ผิวหนังผม มันไม่สักที่สันดานผม สันดานผมจริงๆ แล้ว ผมไม่ได้เป็นคนเลว ผมเป็นคนแค่ผิดพลาด ผมจะพูดตลอดผมแค่พลาดในจุดนั้น ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองในยามวิกาลตอนนั้น

คือ มันขึ้นอยู่กับเหตุการณ์มากกว่า ที่ในเหตุการณ์ที่เราจะทำ อย่างเรื่องรอยสักผมโดนเยอะ ผมไปห้างฯ ผมใส่หูหนีบ รองเท้าช้างดาว และกางเกงขาสั้น แล้วก็ไป คือ หลายคนมองตั้งแต่หัวยันขา


ผมคิดดี ผมมองว่าเขาอาจจะมองว่าเฮ้ย ไอ้นี่ทำไมมันสักเยอะขนาดนี้ แต่ว่าผมก็ไม่ได้อะไร ผมมองว่าผมชอบแค่นั้นเอง ผมไม่ได้ไปสัก แล้วไปทำร้ายคนอื่น ผมไม่ได้สักแล้วคนอื่นจะมาเจ็บกับผม

ผมอยากให้สังคมมองเป็นเคสไป อย่าเหมารวมว่านักโทษ อดีตนักโทษทุกคนต้องเหี้ยเหมือนกัน ไม่ใช่คนดี 100% ผมไม่ได้เป็นคนเลว 100% คือ บางคนที่ไม่มีรอยสักอาจจะแย่กว่าผมก็มี

ผมอยากให้สังคมมองใหม่ มองว่าถ้าตอนนี้ผมกล้าพูดได้เลย มีแต่ตัวลายๆ ที่ช่วยเหลือสังคมในตอนนี้ จะมองว่าสร้างภาพหรืออะไรผมก็ไม่รู้ แต่ผมชอบที่เขาช่วยเหลือกันตรงนี้ มีแต่ตัวลายๆ ทั้งนั้นเลย ผมมองเป็นศิลปะครับ แต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน เขาถึงพูดว่าคนเหมือนคน แต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมชอบชกมวย คนนี้ชอบแข่งมอเตอร์ไซค์ คนนี้ชอบเตะฟุตบอล เห็นไหมมันก็ไม่เหมือนกันแล้วแต่ละคน เราก็เลยมองว่าอย่าไปเหมารวมโดยตรง อยากให้สังคมมองใหม่”


เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ เพราะมี “คู่ใจ” คอยเคียงข้างกัน


“วันที่ไม่มีเงินสักบาทเชื่อไหม เขายังไม่ทิ้งผมเลย เขายังเชื่อในศักยภาพของผม ว่าผมต้องกลับมาได้ จนล่าสุดผมไปชิงแชมป์ที่ประเทศปาปัวนิวกินี ผมก็ปฏิญาณกับเขาว่าเดี๋ยวพี่จะเอาเข็มขัดเส้นนี้กลับมาให้ได้

ผมบอกว่าเป็นของขวัญให้หนูแล้วกัน ผมก็ต่อยชนะ ก็เอาเข็มขัดกับมาเป็นของขวัญให้เขา คือเราสู้กันมาด้วยใจ 2 คนจริงๆ ทำกันด้วยใจจริงๆ

คือ เราไม่มีสปอนเซอร์ ไม่มีอะไรที่จะมาให้ผม เราจัดการของตัวเองหมด ซ้อมเอง ต่อยเองทุกอย่าง แต่วันนั้นจ๋าไม่ได้ไป ผมไปคนเดียว ไปกับคนที่พาไป เหมือนตัวคนเดียว”


กว่า 7 ปี ที่เขาหันหลังจากหลังกำแพงสูง เขาก็เดินหางานทำ สุจริต เขาจึงใช้ทักษะด้านมวยเขาเดินหน้าชกมวยล่ารางวัล “มวยโลก WBC Asia” พร้อมเปิดยิมภายใต้ชื่อ “JM คนตัวลาย มวยไทยยิม”

“ผมไม่มีเงิน แต่มีคนที่สงสาร เขาบอกว่าเขามียิมที่ประชาอุทิศ 90 แต่ว่าจะปิดแล้วพี่เอ็มเอาไหม ผมบอกว่าผมไม่มีเงินสักบาท เขาบอกว่าไม่เป็นไรพี่เข้าไปทำก่อน แล้วค่อยส่งเงินค่าเช่าอย่างเดียว

ผมเข้าไปทำยิม มีเงินอยู่ 400 บาท ผมก็ทำ ลูกศิษย์ก็กลับมา ได้นักเรียนซื้อของ ซื้ออะไรมาช่วย คือ นักเรียนรักเรา
พวกอุปกรณ์มวยได้จาก workpoint คือ ถ้าลำพังตัวผมเอง ผมคงไม่มีปัญญาไปซื้อ คือ เราทำมา เราทำได้กินไปวันๆ คือ เราได้กิน แต่เราไม่ได้เก็บ เราไม่ได้ไปเดือดร้อนคนอื่น


ผมทำยิมด้วย ซ้อมเอง ต่อยเอง และไปเอง คือ ไปได้เส้นนั้นมา มันก็ภูมิใจ สิ่งหนึ่งเราปฏิญาณบอกกับจ๋าไว้ว่า จะเอาเส้นนี้กลับมาให้ได้”

แน่นอนว่ากว่าจะคว้าแชมป์ WBC Asia มาได้นั้น สำหรับอดีตนักโทษ ที่พิสูจน์ตัวเอง เขาต้องผ่านอุปสรรค คำดูถูกมานับไม่ถ้วน ซึ่งเขามองว่าเส้นทางนี้มันไกลเกินกว่าที่เขาหวังไว้

“เพิ่งได้ตอนเดือนธันวาคม ได้แชมป์เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว วันที่ 1 ธันวา ผมเพิ่งได้แชมป์มา ตอนนั้นไปโดนจับอยู่ที่ ตม. คือภาษาเราก็ไม่ได้ แล้วไปทิ้งผมไว้โน้น Visa ไม่มี ผมก็อ้าว แล้วเอ็งทำไมไม่ขอมา ผมโดนจับอยู่ ตม.ที่ปาปัวนัวนิวกินี ผมก็ทำไง ก็ขออย่าให้ติดอยู่ที่นี่เลย กลับไปติดที่บ้านเราดีกว่า ถ้าเกิดไม่ได้

แต่ทางโปรเมอร์เตอร์เขาทำ Visa นักกีฬา 7 วันให้ ไม่อย่างนั้นผมคงพูดไม่รู้เรื่อง ผมกดโทรศัพท์ที่เป็นตัวแปล ผมก็นั่งแปลอยู่อย่างนั้น เพราะผมเจออุปสรรคหลายอย่าง ตั้งแต่ก่อนไป คือ เราไม่มีพื้นฐาน ไม่มีอะไร

ตอนนี้มันไกลเกิน มันมาไกลเกินที่เราหวังไว้แล้วด้วย ตอนเด็กๆ เราหวังว่าอยากออกโทรทัศน์ อยากลงหนังสือพิมพ์ อยากเป็น champion มันได้มาหมดแล้ว ตอนนี้คือกำไรชีวิตของผมแล้ว คือ ทำอะไรก็ได้ให้มันมีความสุข และไม่เดือดร้อนใคร”




ไม่เพียงแค่นั้น สำหรับหลักคำสอนสอนของเขา จากการเป็นครูยิมแห่งนี้ ทางยิมจะมีความแตกต่างจากค่ายมวยอื่น เพราะจะสอดแทรกให้นำไปใช้ในชีวิตอีกด้วย

“คือ ที่ผู้หญิงมาคือผมจะสอนไว้เพื่อป้องกันตัวเอง เวลามีภัย คือ ผู้หญิงเวลาเจอปัญหาเฉพาะหน้า จะช็อก ยืนช็อกอยู่อย่างนั้น คือ มีอะไรขึ้นมา แต่คือเราจะให้สติ ในการใช้ป้องกันตัว ในการดำเนินชีวิต

แต่จะแตกต่างจากที่อื่น เพราะผมให้เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เศรษฐกิจ และยุคอย่างนี้มันอันตรายสำหรับผู้หญิงเลย แต่ตอนนี้ยิมของผมนักเรียนผู้หญิงเยอะมาก”

ไม่เพียงแค่นั้น เขายังได้รับโอกาสเข้าไปพูดให้กำลังใจให้แก่นักโทษ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ และสร้างกำลังใจให้นักโทษของกรมราชทัณฑ์ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งคนที่มอบโอกาสแก่ผู้เคยกระทำความผิด และอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่

“มีที่เรือนจำเพชรบูรณ์ เรือนจำขังหญิงลาดยาว เรือนจำคลองเปรม ล่าสุดที่จะไปก็เรือนจำหญิงชลบุรี ก็รอโควิด-19 หมด

ตอนนี้มาช่วยหรั่ง พระนคร (หรั่ง อัครินทร์) เหมือนกับเราเป็นแรงบันดาลใจ ให้แก่พวกอดีตนักโทษ เพราะว่าตอนนี้ของกระทรวงยุติธรรม ได้ทำสกู๊ปชีวิตของผมสั้นๆ กำลังจะออกอากาศให้พวกน้องๆ ได้ดู ตอนนี้ผมก็เหมือน contact กรมราชทัณฑ์ กับกระทรวงยุติธรรมโดยตรง

ผมดีใจ คือ ฟังหรือไม่ฟังเราไม่รู้ แต่พอเราได้พูดไปแล้ว 100 คน กลับมาสักคนนึง ผมก็ยินดีแล้ว มันก็ภูมิใจ คือเหมือนกับว่าเราทำเพื่อสังคม หรือใครสักคนที่อยากกลับตัวกลับใจจริงๆ คือ เราจะหางาน อยากหางาน เราหางานให้ อยากเลิกยา ผมพาไปเลิก


ผมรับมาหมด อดีตนักโทษก็มีอยู่กับผม โทษตลลอดชีวิต ติดไป 12 ปี ผมอยากทำงาน ผมไม่อยากกลับบ้าน ผมอยากสอนมวย ผมขับรถไปรับที่ปทุม เพราะผมเคยได้โอกาสมาก่อน ผมก็ให้โอกาสเขาตรงนี้

ผมไม่รู้หรอก หัวนอนปลายเท้าคุณเป็นยังไง ผมไม่เคยใส่ใจ เขาบอกผมว่าผมไม่อยากลับไปที่วงจรเดิมๆ ถ้ากลับไปบ้าน ผมอาจจะกลับไปอยู่ที่เดิม เขาอยู่กับผมมา 8 เดือนแล้ว แล้วผมมองว่าในเมื่อเราเคยได้โอกาสมาแล้ว เราก็ให้โอกาสเขาบ้าง ก็อยู่จนทุกวันนี้

คือ เขาบอกว่า คุยภาษาเดียวกัน เอาง่ายๆ ถ้าเขาไปอยู่กับยิมอื่น เขามองว่าเหมือนกับเขาขี้อาย เขาพูดไม่ค่อยเก่ง อยู่กับเราจะรู้ใจกันมากกว่า ผมเจอกับตัวเลย เรื่องโอกาสผมอยากให้สังคมมองว่า พวกผมไม่ได้เลวในสันดาน พวกผมแค่เป็นคนที่ผิดพลาดแค่นั้นเอง คือ พลาดผมก็กลับตัว กลับใจกัน แต่ถ้าคนไหนที่ทำกลับตัวกลับใจไม่ได้ คนนั้น คือ คุณเจาะจงไปเลย เป็นเคสๆ ไป



เหมือนกับเราให้โอกาสเขาอีกที ผมอยากทำให้อดีตนักโทษ พี่น้องผมได้กลับมามีจุดยืนในสังคมอีกครั้งหนึ่ง ผมไม่ได้ทำเพื่อตัวผมเอง ผมอยากให้เขามองว่า พวกผมเป็นอดีตนักโทษ และพวกผมมีดี แต่พวกผมไม่มีโอกาส เพื่อจะได้ให้โอกาสรุ่นหลังๆ ผม ที่กำลังจะออกมาแค่นั้นเอง”

สุดท้าย เขายังทิ้งท้าย ฝากให้กำลังใจคนที่ยังวังวนสิ่งเสพติด และให้กำลังใจสำหรับคนที่อยากจะกลับตัว กลับใจ แต่ไม่ได้รับโอกาสจากสังคมไทย

“ผมฝากเป็นกำลังใจให้พี่น้อง ที่ต้องการอยากกลับตัวกลับใจจริงๆ ให้ดูคนอื่นที่เขากลับตัวกลับใจกันได้ อย่างหรั่ง พระนคร อย่างเสือ ดุสิต นั่นก็คือพวกพี่น้องของผมทั้งนั้นเลย ก็ฝากไว้ด้วยนะครับ
ผมขอเป็นกำลังใจให้คนที่อยากกลับตัวกลับใจจริงๆ สิ่งแรกเลยคุณต้องให้โอกาสตัวเองก่อน คุณอย่าเพิ่งไปขอโอกาสจากคนอื่น คุณให้โอกาสตัวเองเสร็จเมื่อไหร่ คุณอยากเป็นคนดีเมื่อไหร่ คุณทำครับ ก่อนที่คุณจะไม่ได้ทำ ผมเชื่อว่าคุณทำได้ ไม่มีอะไรที่พวกคุณทำไม่ได้ ขนาดคุณไม่เคยลองยา คุณยังลองได้เลย งั้นคุณลองเลิกสิ เชื่อคุณทำได้ครับ ผมเป็นกำลังใจให้”






สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
คลิป: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพเคลื่อนไหว: พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ภาพนิ่ง: ธัชกร กิจไชยภณ
ขอบคุณภาพ: เฟซบุ๊ก “คน ตัวลาย”, แฟนเพจ “JM Boxing Gym” และ “JM คนตัวลาย มวยไทย ยิม”
ขอบคุณสถานที่: JM Boxing Gym


** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **





กำลังโหลดความคิดเห็น