xs
xsm
sm
md
lg

“อัปยศเกินกว่าจะให้อภัย!!” เจาะเคส “กลุ่มครูโฉด” ผู้ทำโรงเรียนให้กลายเป็น “ซ่อง” [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




อะไรที่ทำให้ตรรกะครูไทยวิบัติได้ขนาดนี้? เจาะใจ “นักสิทธิเด็ก” ช่วยสะท้อนคดีครู 5 คน รุ่นพี่อีก 2 คน รุมข่มขืนนักเรียนหญิง 2 คน โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.มุกดาหาร ครูไม่สำนึก ปกป้องกันเอง อ้างความดีเก่าลบล้างคดี พร้อมวิเคราะห์ปัญหาระบบการคัดเลือกครู

ครูตรรกะป่วย “โรงเรียนไม่ใช่ซ่อง”

“โรงเรียนไม่ใช่ซ่อง เพราะว่าครูเขาบอกว่าก็เด็กมันขายบริการ เด็กมันเสียไปแล้ว ดังนั้น จะมาโทษแต่ผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ เราก็เลยต้องตั้งคำถามกลับไปว่า ทุกคนที่กำลังพูดเรื่องนี้กันอยู่นั้น เป็นพ่อเล้า แม่เล้า สิงสถิตกันอยู่ในซ่องหรือไง ถึงพูดคำนี้”

อ.ทิชา ณ นคร นักสิทธิเด็กเยาวชนและสตรี เปิดใจกับทีมข่าว MGR Live ถึงเรื่องราวกรณีเกิดเหตุ ครู 5 คน และรุ่นพี่ 2 คน ของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.มุกดาหาร ข่มขืนนักเรียนหญิง ชั้น ม.2 และชั้น ม.4 มานานกว่า 1 ปี

ขณะที่หนึ่งในครูกลุ่มนี้เคยก่อเหตุลักษณะเดียวกันนี้กับนักเรียนหญิงคนหนึ่งเมื่อ 2-3 ปีก่อน แต่ตอนนั้นมีการจ่ายเงินเพื่อเป็นการจบปัญหา ด้วยจำนวนเงิน 400,000 บาท และตกลงรับเด็กนักเรียนคนนั้นเป็นภรรยา ต่อมาก็เลิกรากัน

นักสิทธิเด็กเยาวชนและสตรีท่านนี้ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ ว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ใช่วิธีคิดของครู แต่เป็นวิธีคิดของพ่อเล้า แม่เล้า พร้อมย้ำว่า ครูที่ดีควรจะเป็นแสงสว่างนำทางเด็กๆ

[อ.ทิชา ณ นคร]
“ถ้าคุณเป็นครู เด็กอาจจะเกเร เด็กอาจจะมีนิสัยบางอย่าง พฤติกรรมบางอย่างที่ไม่เหมาะสม หน้าที่ของครู ก็คือ เป็นแสงสว่างนำทาง พาเด็กๆ ออกมาจากมุมที่มืดมิด นั่นคือครู

แต่ถ้าหากว่าคุณเห็นเด็กขายบริการทางเพศ เด็กเกเร เด็กนิสัยไม่ดี คุณก็เลยเอาด้านมืดของคุณที่มีอยู่ำปเล่นให้กับด้านมืดของเด็ก แล้วก็ยิ่งทำให้มืดสนิทกันไปใหญ่ ตกลงมันยังเรียกโรงเรียนได้อีกไหม มันยังเรียกว่าคุณครูได้อีกไหม หรือมันเป็นสถานที่พิเศษ ต้องตั้งชื่อใหม่กัน

แล้วถ้ามันเป็นสถานที่พิเศษต้องตั้งชื่อใหม่ ตามพฤติกรรมของผู้ใหญ่ที่อยู่ที่นั่น คุณไม่ควรที่จะเอาเงินภาษีอากรของประชาชนไปใช้ในฐานะที่เขาเรียกว่า รับเงินเดือน แล้วยังมีบำเหน็จบำนาญหลังจากที่คุณเกษียณไปแล้ว

ไหนจะเป็นเรื่องของครอบครัวของคุณที่จะต้องถูกดูแลจากคนเหล่านี้ เพราะฉะนั้นจะพาประเทศเลยเถิดไปถึงขนาดนั้นไม่ได้”
ในฐานะที่ทำงานด้านเด็กและเยาวชนมานาน รวมถึงในฐานะที่เป็นครูด้วย ก็ยังได้แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องที่ครูออกมาปกป้องครูด้วยกันเองอีกว่า คนเหล่านั้นไม่ใช่ครู เป็นเพียงแค่คนสอนหนังสือเท่านั้น

“ก็แสดงว่าเขาไม่ได้สำนึก ไม่ได้รู้บทบาท ไม่ได้รู้หน้าที่ของตัวเอง ไม่ได้รู้กฎหมายด้วย คนที่ลุกขึ้นมาพูดกันทั้งหมดนั้น เพราะว่าจริงๆ ภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กชัดเจนว่า ครู และสถานศึกษา มีหน้าที่ในการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ไม่ใช่ละเมิดสิทธิเด็ก

เมื่อผิดพลาดไปแล้ว แทนที่จะรู้สึกได้ว่า จะต้องหาทางจัดการให้มันดีที่สุด กอบกู้ทุกอย่างกลับคืนมา ก็ยังเลยเถิดกันออกมาอีก ก็แสดงให้เห็นว่า จริงๆ เขาอาจจะไม่รู้อะไรกันเลย เขาแค่คนสอนหนังสือจริงๆ ไม่ใช่ครู”


ส่วนหากจะบอกว่าเอาความดีเก่ามาลบล้างความคิด ในคดีนี้ คนเหล่านั้นมีความคิดที่ผิดพลาด มีตรรกะที่มั่วมาก หากทำความผิด กฎหมายก็ต้องจัดการ

“ทำไมต้องฟอกตัวกันขนาดนั้น หลักการก็คือ ดีก็คือดี ทำผิดก็คือทำผิด มันมีเหตุผลอะไรที่จะต้องเอาสิ่งที่ทำดีในบางวัน ในบางช่วง ในบางเหตุการณ์ มาฟอกตัวในเรื่องที่ทำความผิด

ทำความผิดกฎหมายก็จัดการ ทำความดีก็ชื่นชม สังคมก็ยกย่องไป แต่ว่าสองอันนั้นจะมาอยู่ในพื้นที่เดียวกัน แล้วก็เคี่ยวให้เป็นตัวตนของคนมันคงไม่ได้หรอกนะคะ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างก็ไม่ต้องมีกฎหมาย ไม่ต้องมีศีลธรรม ไม่ต้องมีจรรยาบรรณ

ซึ่งตรรกะพวกนี้ ครูกลุ่มนี้มั่วมากเลย ซึ่งยังนึกไม่ออกอยู่ว่า แล้วเขาจะยืนสอนนักเรียนได้ยังไง ในเมื่อชุดความคิด Mindset ของเขามันเลอะเทอะขนาดนี้”


สะท้อนระบบครูล้มเหลว?

“เหตุการณ์ครั้งนี้มันต้องนำไปสู่การแก้ปัญหาเชิงระบบให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น การคัดกรอง เวลามีความผิด หรือว่าเวลามีสัญญาณบอกให้รู้ว่านอกลู่นอกทาง การจัดการเชิงระบบมันคืออะไร หรือในที่สุดมันก็ผีเห็นผี โจรเห็นโจรกันไปหมดเลย จนถึงที่สุดมันก็เกิดเหตุการณ์ที่อัปยศเกินกว่าที่จะให้อภัยกันได้”

ไม่เพียงเท่านี้ ยังตั้งคำถามอะไรที่ทำให้ตรรกะของครูไทยวิบัติได้ขนาดนี้ พร้อมทั้งท้วงติงระบบการตรวจสอบที่ไม่เคยทำหน้าที่ที่ดี เพราะในเหตุการณ์ครูข่มขืนเด็กครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นในสังคมไทย

“ระบบการตรวจสอบมันไม่เคยทำหน้าที่ของมันเลยในห้วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้คนเหล่านี้หลงลืม หย่อนยาน ซึ่งมันจะต้องกลับมาทบทวนในเชิงระบบใหม่ หมายถึงว่า กระทรวงศึกษาธิการเองต้องอ่านเกมนี้ให้ออกว่า ตั้งแต่ที่ครูกลุ่มนั้นจะละเมิดเด็ก ตามเหตุการณ์ก็คือมันก็ใช้เวลาเป็นปี จากที่เราไปคุยกับเด็กก็คือประมาณปีนึง

ซึ่งครูในโรงเรียนน่าจะระแคะระคาย ซึ่งถามว่าระแคะระคายไหมก็ต้องรู้ แล้วถามว่า ระหว่างที่หนูอยู่ในเหตุการณ์นี้ จนมาถึงจุดนี้ มีใครเคยเข้ามาพูดคุยไหม แม้แต่ครูประจำชั้นก็ไม่มีแม้แต่คนเดียว นั่นแสดงให้เห็นว่าตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงจุดที่เป็นข่าว ครูก็ยังไม่สำนึก”


ทั้งนี้ ยังสะท้อนถึงครูที่ขาดจิตสำนึกด้านวิชาชีพ ไร้ความผิดชอบชั่วดี ระบบจัดการด้านความคิด อ้างความชอบธรรมในการเป็นเหตุผลการล่วงละเมิดเด็ก และส่วนหนึ่งระบบการลงโทษภายใต้องค์กรรัฐ ยังขาดความเที่ยงตรง

“เมื่อครูไม่สำนึก กระทรวงศึกษาธิการต้องอ่านเกมนี้ให้ออกว่ามันสะท้อนอะไร มันสะท้อนว่าครูเหล่านี้กระบวนการตรวจสอบมันไม่เคยส่งสัญญาณอะไรบอกกับเขาเลย

มันเหมือนกับว่าระบบจัดการทางความคิดขององค์กรนี้ มันไม่มีอุดมการณ์อะไรเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนอกเหนือจากการจัดการกับปัจเจกเหล่านี้ มันต้องจัดการเชิงระบบด้วย”

นอกจากนี้ ยังฝากถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า มีความหย่อนยานมากเกินไป จึงอยากให้นำเหตุการณ์ในครั้งนี้ไปสู่การแก้ปัญหาเชิงระบบให้สังคมได้เห็น

“ทั้งส่วนองค์กรกระทรวงศึกษาธิการเอง ในฐานะที่รับผิดชอบโดยตรง ซึ่งรับภาษีเอาไปทำงานปีละ 500,000 ล้านบาท อันนั้นหย่อนยานโคตรๆ แล้ว รวมทั้งการตรวจสอบของชุมชนของพ่อแม่ผู้ปกครอง

เขาจะต้องเอาเหตุการณ์ครั้งนี้ ถือว่าเด็กๆ ได้ชี้เบาะแส กว่าที่เด็กทั้ง 2 คนจะออกมาเพื่อบอกกับครอบครัว แล้วก็ลุกขึ้นมาดำเนินคดีกับครู เขาก็ต้องรวบรวมความกล้ามากมายมหาศาล

เพราะว่าด้วยอำนาจที่น้อยกว่าของเขา ตรงนั้นเมื่อเด็กๆ กล้าแล้ว ดังนั้น คำถามต่อไปก็คือว่า ผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบในเชิงระบบกล้าไหม หรือในที่สุดคุณก็ไม่กล้าอยู่ดี”





ขอบคุณภาพ : เฟซบุ๊ก “Thicha Nanakorn”
ข่าว : ทีมข่าว MGR Live
คลิป : อิสสริยา อาชวานันทกุล



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **





กำลังโหลดความคิดเห็น