xs
xsm
sm
md
lg

“ระยะ 2” หรือหลอกตัวเอง? แพทย์เตือน “โควิด-19 ในไทย” วิกฤตแน่ ถ้าไม่รีบเด็ดขาด!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ตอนนี้คงเพิ่มอีกเยอะ! “หมอธีระวัฒน์” แจงซูเปอร์สเปรดเดอร์ในสนามมวย ทำ “ดารา-เซียนมวย-นายก อบจ.” ติดโควิด-19 เพียบ แต่ตัวเลขไม่ขยับ ให้เหตุผล ต้องรอยืนยันอย่างเป็นทางการ ยอมรับแม้เป็นหมอก็กลัว เพราะไม่รู้ว่าใครติดเชื้อแล้วบ้าง ฟากภาครัฐยันไทยยังอยู่ในระยะ 2 เพราะยังคุมได้ ขณะที่บุรีรัมย์ประกาศปิดเมืองแล้ว!

เกิดซูเปอร์สเปรดเดอร์ แต่ยังไม่เข้าระยะ 3 !?!

“ประเทศอื่นเขาทำงานด้วยภาพความเป็นจริง เขาทำงานกันไม่มีปิดข่าว เปิดเผยชัดเจน และดำเนินการแก้ไขเพื่อประชาชน ย้อนกลับมาที่ประเทศไทยเรา ผมก็ไม่ทราบว่าเขาทำอะไรกันอยู่ หน่วยงานรัฐกำลังทำงานหลอกตัวเอง กำลังทำงานหลอกประชาชน เขาหลอกตัวเองว่าควบคุมโรคได้ เขากำลังหลอกตัวเองว่าเก่ง สามารถสามารถควบคุมโรคได้แล้ว พยายามปิดยอดผู้ติดเชื้อ แต่ถ้าไปดูตาม รพ.ตอนนี้ เตียงเต็มแทบจะทุกโรงพยาบาล”

ข้อความบางช่วงบางตอนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของ “สกล หลักสิม” เซียนมวยชื่อดัง หนึ่งในผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงมาตรการการจัดการกับไวรัสร้ายอย่างไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร แถมยังปกปิดยอดผู้ติดเชื้อ เพราะแค่เพียงคนในแวดวงมวยเช่นเขา ก็ติดเชื้อไปแล้วกว่า 20 ราย ทว่า... ผ่านไปหลายวัน ตัวเลขกลับไม่ได้รับการอัปเดตแต่อย่างใด



เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทีมข่าว MGR Live ได้รับการเปิดเผยจาก ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงประเด็นร้อนที่เกิดขึ้น โดยคุณหมอกล่าวว่า ต้องรอผลตรวจยืนยันอย่างแน่ชัดก่อนที่จะมีประกาศอย่างเป็นทางการ ซึ่งในขณะนี้คาดว่ามีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมากแล้ว

“เฉพาะในสนามมวยก็อาจจะเรียกว่า เป็น ซูเปอร์สเปรดเดอร์ (Super-Spreader) ได้ แต่มันอาจมีอีกหลายระลอก หลังจากเหตุการณ์สนามมวยตรงนี้ มันก็เหมือนกับที่ผับที่เกิดขึ้น แต่ละคนก็ออกไปท่องเที่ยว เป็นการแพร่กระจายจากเหตุการณ์เดียว แล้วก็แพร่ไปที่อื่น เพราะคนที่แพร่ก็เป็นคนที่แอกทีฟ คือ เข้ามาร่วมชุมนุมสังสรรค์อะไรต่างๆ ทุกวัน มันก็มีโอกาสแพร่ทั้งชุมชน แล้วก็แพร่ทั้งครอบครัวตัวเองด้วย


ศ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา

ตอนนี้เขาส่งจากสนามมวยให้ที่กาชาดตรวจอีก 257 ราย ยังไม่ทราบผล เพราะเพิ่งส่งมา รอยืนยันว่ายังไง แล้วนายก อบจ.ที่ไปเปิดงานเยอะแยะ ก็ต้องตามทางนั้นอีก เพราะว่าไปที่มีประชาชนหนาแน่น ตอนนี้มันคงเพิ่มอีกเยอะแล้วล่ะ แต่ว่าจะเพิ่มแค่ไหนอย่างไร เดี๋ยวก็คงต้องรอตามไปเรื่อยๆ เพราะแค่จากสนามมวย สถานการณ์เดียวมันก็มีแพร่ออกไปอีกหลายๆ แห่ง

ตอนนี้ประชาชนเองยังไม่ตระหนัก แล้วคนที่จัดงานเองยังไม่ตระหนักว่าสถานการณ์มันเป็นการแพร่เชื้อในคนไทยสู่คนไทย ถ้าหากว่ายังมีการจัดกิจกรรมในลักษณะอย่างนั้นอยู่ที่รวมคนหมู่มาก นั่งใกล้ชิดกัน ห่างกันน้อยกว่า 2 เมตร ตรงนั้นเองมันก็เป็นความสุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อในหมู่กันเอง

เพราะฉะนั้นแต่ละคนตอนนี้ต้องสันโดษ ไม่เข้ามาใกล้ชิดกัน เวลาเรียนหรือประชุมก็ต้องจัดที่บ้านเป็นหลัก ไม่ทำงานในออฟฟิศ ทำงานที่บ้านถ้าเป็นไปได้ เลื่อนเวลาเข้างาน เวลาออกจากงาน รถโดยสารประจำทางจะได้ไม่แน่น ทุกอย่างตอนนี้ถ้าไม่เริ่มต้นจากทำงานที่บ้าน”
สำหรับตัวเลขล่าสุดของผู้ติดเชื้อในประเทศไทยอยู่ที่ 147 ราย ในจำนวนนี้เพิ่มขึ้นจากสนามมวยลุมพินี 7 ราย ซึ่งที่ คุณหมอธีระวัฒน์ แนะนำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน มีหลายประเด็นด้วยกัน ตามบรรทัดต่อจากนี้



“ตอนนี้กระทรวงสาธารณสุขได้เสนอไปแล้ว ตั้งแต่กันไม่ให้เชื้อจากต่างประเทศเข้า กันไม่ให้เชื้อออก การระบาดส่วนใหญ่อยู่กรุงเทพฯจริง แต่เราไม่รู้ว่าจังหวัดอื่นเป็นแหล่งซ่องสุมอีกด้วยรึเปล่า อาจจะต้องถือสันโดษทั้งประเทศหรือไม่ ข้อนี้วางอยู่บนรากฐานว่าเราไม่รู้ว่านอกเหนือจากที่กรุงเทพฯ มีเยอะแค่ไหน เพราะฉะนั้นการที่จะสันโดษในกรุงเทพฯ เฉยๆ นั้น จะแก้สถานการณ์ได้จริง อาจจะไม่เพียงพอ คนกรุงเทพฯไม่ออกต่างจังหวัดก็ไม่ได้หมายความว่าโรคจะสงบ

เทศกาลนี้จะเป็นเทศกาลที่ต่างคนต่างชื่นชมไกลๆ ไม่ต้องเข้ามารวมกลุ่มใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต้องเลื่อนวันสงกรานต์ สงกรานต์ก็อยู่เหมือนเดิม เพราะถ้าเลื่อนก็ไม่รู้จะเลื่อนไปอีกกี่เดือน สรุปว่าอยู่อย่างสันโดษ จบ ไม่สุงสิงกับใคร ถ้ามีคนก็ห่างกัน 2 เมตร ทำงานที่บ้านได้ทำ เรียนที่บ้านได้เรียน งานสังสรรค์รื่นเริงทุกอย่างงดหมด สถานบันเทิงก็ต้องปิดด้วยรึเปล่า ทั่วโลกเป็นอย่างนี้หมด ประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะแข่งบอลแข่งอะไร คนเป็นหมื่นเขาเลิกหมดเลย อาจจะไม่ต้องเลื่อน เพราะไม่รู้จะเลื่อนไปวันไหน”



ล่าสุด มีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องนี้จากฟากฝั่งรัฐบาล โดย วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ยืนยันสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ของประเทศไทยยังอยู่ในระดับ 2 ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่ไทยกำหนดเอง อ้างอิงจากภายในประเทศไทยเองที่ยังสามารถควบคุมและหาที่มาต้นตอของการแพร่เชื้อได้ เพราะระยะที่ 3 จะต้องมีการระบาด หรือติดต่อรับเชื้อระหว่างคนไทยด้วยกันเอง โดยสืบสวนหาต้นตอไม่ได้

จะต้องมีจำนวนผู้ป่วยต้องเพิ่มสูงมาก และมีการระบาดหลากหลายพื้นที่ หลายจังหวัด และหลายอำเภอ จนสถานการณ์คับขันเกินกว่าที่คงอยู่ในระยะที่ 2 ส่วนเทศกาลสงกรานต์นั้นจะมีการงดวันหยุดของข้าราชการและเอกชน เพื่อไม่ให้มีการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส แต่จะชดเชยวันหยุดในโอกาสอื่นต่อไป เมื่อสถานการณ์บรรเทาเบาบางลง

ขณะที่ ธัชกร หัตถาธยากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ออกแถลงการณ์ประกาศปิดเมืองบุรีรัมย์ คัดกรองคนเข้าออกทุกช่องทาง หยุดทุกกิจกรรม จึงถือได้ว่าเป็นจังหวัดแรกที่ประกาศปิดเมือง เพื่อป้องกันเชื้อโรค โควิด-19 ระบาด

ถ้าไม่เด็ดขาด ก็เอาไม่อยู่!!

“ผมยอมรับเลย ผมกลัวนะ มันเอาไม่อยู่ ถ้าหากว่าเราไปห่วงเศรษฐกิจตรงนั้น จริงๆ แล้วมันอาจจะย่อยยับขนาดที่โรงพยาบาลพังพาบเลย ผมกลัวว่าเราตัดสินใจแบบรักพี่เสียดายน้อง

ทุกวันนี้ผมเดินไปไหนผมยังกลัวเลย มันบอกไม่ได้ว่าคนนี้สีแดงหรือสีขาว มันเอาไม่อยู่แน่ แพทย์ยังมีอยู่แค่ 29,000 คนเอง ในโรงพยาบาลเอกชนอีกเป็นพันเท่านั้นเอง ถ้ามันเกิดติดในโรงพยาบาลทุกแห่ง หมอเองเอาไม่อยู่แน่”

ในฐานะที่คลุกคลีอยู่ในวงการสาธารณสุขมานาน คุณหมอคนดังยอมรับว่า รู้สึกกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศตอนนี้ ทั้งในแง่ของโรคระบาด และในแง่ของการตัดสินใจของภาครัฐ ที่ดูจะลำดับความสำคัญไม่ถูกต้อง และไม่เด็ดขาดเสียเลย



ขณะเดียวกัน “สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์” (แพทย์ทรวงอก) ได้ประกาศผ่านเฟซบุ๊ก ออกประกาศเรียกร้อง “นักรบเสื้อกาวน์” เตรียมรับมือสถานการณ์โรคที่กำลังเริ่มเข้าสู่ระยะที่ 3 โดยมีการทิ้งท้ายในแถลงการณ์อย่างดุเดือดว่า “เป็นอีกครั้งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า กลไกของรัฐที่จะตอบสนองต่อภาวะวิกฤตของประเทศมักจะตามหลังสถานการณ์จริงอย่างน้อยหนึ่งก้าวเสมอ

แต่นั่นไม่ได้ทำให้จิตวิญญาณของพวกเราเหล่าวิชาชีพแพทย์และวิชาชีพอื่นที่เกี่ยวข้อง จะยอมจำนนให้กับศัตรูตัวจิ๋วที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าโดยง่าย และพวกเราก็จะไม่ยอมก้มหัวให้กับผู้รับผิดชอบระดับสูง ที่ขาดความเชี่ยวชาญ และเข้าใจบริบทการทำงานของพวกเราอย่างถ่องแท้ ได้เวลาแล้วที่พวกเราต้องเตรียมทำศึกแม้จะไม่มีอาวุธที่มีประสิทธิภาพ และแม่ทัพที่เด็ดขาดเข้มแข็ง”



นอกจากนี้ หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ ยังเสนอให้มีการปรับคำนิยาม “กลุ่มเสี่ยง” เสียใหม่ เพราะสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ใช่แค่ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ หรือสัมผัสกับคนต่างชาติเท่านั้น แต่ขณะนี้เกิดการแพร่กระจายจากคนไทยสู่คนไทยแล้ว

“นิยามกลุ่มเสี่ยงตอนนี้ มันสร้างภาพลวงให้หมอและคนไข้เอง เพราะกลุ่มเสี่ยงที่ปรากฏในปัจจุบัน มันเป็นคนที่กลับจากประเทศเสี่ยง คนที่สัมผัสกับนักท่องเที่ยว คือ ถ้าเจ็บป่วยตอนนี้ไม่ว่าอะไรก็ตาม หรือว่ามีอาการทางระบบทางเดินหายใจ ตอนนี้ต้องตรวจโควิด 19 ทุกราย ไม่สนใจว่าจะไปรู้จักกับคนต่างประเทศหรือไม่ ต้องตรวจหมด ต่อไปนี้ไม่ว่ามีอาการหรือไม่ ก็ต้องรวมโควิด-19 เข้าไปอยู่ในแผนของการตรวจด้วยเสมอ แยกไม่ได้แล้วว่าใครติดหรือไม่ติด

ผมพูดเองนะ ถ้ามีอาการแม้ว่าจะไม่ได้ไปสัมผัสกับคนต่างประเทศ ก็ต้องตรวจ ทีนี้การตรวจถ้าจะช่วยประเทศชาติ ใครพอมีสตางค์ก็อย่าไปเบียดเบียนรัฐ แต่ถ้าใครไม่มีสตางค์ ก็ต้องตรวจแล้วรัฐก็จะได้ให้ฟรี ตรงนี้สำคัญมาก ไม่งั้นหมอเองเวลาดูคนไข้ก็บอกแค่ว่าใครเบิกได้ ใครเบิกไม่ได้ แต่ไม่ได้ดูสภาพความเป็นจริงที่เห็นอยู่ตรงหน้า ถ้าเราอยากจะป้องกันการแพร่กระจายเชื้อให้ได้มากที่สุด เราก็ต้องรู้ว่าโรคมันไม่ได้จำเป็นจำต้องเป็นคนจีน คนญี่ปุ่น คนฮ่องกง มันเป็นคนไทยสู่คนไทยได้เองแล้ว

ลองนึกภาพในสนามมวย พอติดไปเรียบร้อย คนที่ติดก็เอาไปแพร่ให้คุณแม่ สมมติแม่พิการไม่เคยออกจากบ้านไปไหนเลย วันดีคืนดีไม่สบาย ก็ไปที่โรงพยาบาล มีไข้มานึกว่าเป็นไข้จากสาเหตุอื่น แต่แท้ที่จริงแล้วอาจจะเป็นลูกก็ได้เอาเชื้อมาแพร่ ตอนนี้เวลาซักประวัติ ซักคนเดียวไม่ได้ เราต้องซักว่าอยู่กับใคร คนที่บ้านนั้นเจ็บป่วยหรือไม่ ถึงแม้พ่อแม่ไม่เคยออกจากบ้านก็เป็นโรคนี้ได้ เพราะคนในบ้านเอาเชื้อเข้ามา”



สุดท้าย คุณหมอธีระวัฒน์ ได้ฝากถึงการปฏิบัติตัว ในกรณที่สถานการณ์ของไวรัสโควิด-19 เลวร้ายลงไปกว่านี้

“หมายความว่า ถ้าถึงจุดจุดหนึ่งที่ตรวจกันไม่หวาดไม่ไหว ที่แล็บก็ตรวจไม่ทัน แล้วก็ติดแพร่กันทั่วไปจังหวัด ทั่วประเทศ ถึงตรงนั้นไม่ต้องตามหาคนติดเชื้อแล้ว ให้ถือว่าคนที่มีไข้หรืออะไรก็ตาม อยู่บ้านเฉยๆ มีคนส่งข้าวส่งน้ำให้ ไม่ต้องไปทำงาน หลังจากนั้น 14 วัน ค่อยโผล่ออกมา

ออกมาแล้วก็ยังไม่ได้เพราะว่ามันอาจจะแพร่เชื้อต่อได้อีก 14 วัน ก็ต้องใส่หน้ากาก ทำงานแยกตัวออกจากคนอื่น ไม่สุงสิงกับใครเลย เพราะยังมีโอกาสแพร่อีก 14 วันหลังจากนั้น ถ้าอาการเยอะก็เรียกรถพยาบาลมารับ

ตอนนี้ยาที่พิสูจน์ว่าได้ประสิทธิภาพมากที่สุด ยาตัวเก่งกาจจากญี่ปุ่น จากจีน มีจำนวนจำกัดมาก ตัวยาที่เรามีอยู่ขณะนี้เป็นยาที่อาจจะไม่เก่งกาจเท่าไหร่ เรายังมีจำนวนจำกัดมาก เพราะนั้นถ้าเราไม่ป้องกันเข้มแข็ง ถือสันโดษตรงนี้ คงเอาไม่อยู่แน่ เพราะยาเราไม่พอ”

ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live




** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **



กำลังโหลดความคิดเห็น