“มีชีวิตเดียว…อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด” อะไรที่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่ง กล้าแกว่งเท้าหาเสี้ยน-ต่อสู้ช่วยเหลือสังคม-เรียกร้องความยุติธรรมให้ผู้ที่เดือดร้อนได้ขนาดนี้!! และนี่คือการเปิดตัวตน ความจริงเรื่อง “ขบวนการโกงหน้ากากอนามัย” จนสะเทือนสังคมไทย!!
สาบาน!! ไม่มีพรรคการเมืองมาเกี่ยวข้อง
“มีชีวิตเดียว ก็ขอทำเรื่องที่ถูกแล้วกัน อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด อย่างน้อย โรงพยาบาลหลายแห่งได้รับความช่วยเหลือ รัฐบาลสืบสวนเป็นการเร่งด่วนถึงหน้ากากที่หายไป กรมการค้าฯ กระทรวงพาณิชย์ ศุลกากร สาธารณสุข ควานหาตัวคนผิดกันใหญ่ พี่ๆ สื่อก็ลุยเต็มที่ ทุกคนก็ช่วยกันหวังให้ปัญหาหน้ากากอนามัยส่งไม่ถึงมือหมอ คลี่คลายลงอย่างไวที่สุด”
นี่แหละคือเบื้องหลังแรงผลัก ที่“ควีน” แอดมินเพจ “แหม่มโพธิ์ดำ” เพจน้ำดี ต่อสู้เพื่อสังคม เปิดใจกับทีมข่าว MGR Live หลังเธอออกมากระตุกขบวนการกักตุนหน้ากากอนามัย ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ จนสะเทือนสังคมไทย โดยระบุว่า หากมีนักข่าวสนใจทำข่าว คนสนิทผู้ติดตามรัฐมนตรีท่านหนึ่งมีหน้ากากในสต๊อกเป็นล้านอัน พร้อมหลักฐาน ให้ติดต่อมาหลังไมค์ได้ในทันที
อีกทั้งเผยแพร่คลิปวิดีโอการขนส่ง พร้อมมีชายรายหนึ่งกล่าวในคลิปว่า มีหน้ากากอนามัยเยอะ ขอแค่ให้มีเงินเท่านั้น แล้วพาเข้าไปดูภายในห้องๆ หนึ่ง ที่มีป้าย “สถาบันพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทย-จีน” โดยชายรายนี้บอกว่า “หน้ากากส่งไปจีน” มีใบรับรองด้วย แถมยังโชว์ภาพการซื้อขายหน้ากากอนามัยนับล้านชิ้นอีกด้วย
แน่นอนว่า ทันทีที่มีแชร์เรื่องราวออกไป นำมาซึ่งการตั้งคำถามของสังคมถึงขบวนการกักหน้ากากอนามัยในครั้งนี้ ว่ามีผู้ทรงอิทธิพลอยู่เบื้องหลังจริงหรือไม่ เมื่อตรวจสอบคนสนิทผู้ติดตามรัฐมนตรีที่ว่านั้น คือ “เสี่ยบอย-ศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี” กับ“ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรและสหกรณ์
เมื่อโดนเอี่ยวถึงเรื่องนี้ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรฯ ออกมาให้คำตอบแก่สื่อ ว่า เชื่อภาพที่ออกมาเป็นการตัดต่อ เป็นเพียงเกมการเมือง ยืนยันว่า ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเสี่ยบอย ซึ่งเจ้าของเพจดังกล่าวได้ให้คำตอบถึงเรื่องนี้ว่าต้องการพิสูจน์หาความจริง ตนไม่มีเจตนาที่จะตั้งใจดิสเครดิตทางการเมืองใคร เพราะภาพที่พบเป็นการโพสต์ของเสี่ยบอยเอง
ไม่มีหลักฐานชัดเจนอะไรว่ามีใครเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มันเป็นการโพสต์ฝั่งเดียว รัฐบาลควรควบคุมการผลิต และการขายของทุกโรงงานผลิตหน้ากากในประเทศตอนนี้ เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐ
โดยควีนยืนยันกับทีมข่าว ว่า ที่ออกมาเปิดโปงไม่มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง มีเจตนาเพียงอยากตามหาหน้ากากอนามัย และช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ จากไวรัสโควิด-19
“ต่อให้อมพระมาพูด บางคนเขาก็ไม่เชื่อหรอก แต่เรายืนยันและสาบาน ไม่เคยมีพรรคการเมืองไหนมาเกี่ยวข้อง พอดีคุณหมอ คุณพยาบาลทักมาส่วนตัวกันเยอะว่า ไม่มีหน้ากากใช้ แต่รัฐบาลบอกหน้ากากเพียงพอ เราเลยเข้าใจว่าต้องมีขบวนการกักตุนหน้ากาก
รู้สึกว่าเหมือนคุณธรรมนัสเล่นตลก อยากให้คุณธรรมนัส เอามือตัดต่อที่ดีสุดในไทย ตัดภาพ CG ไลฟ์สดให้ดูสักที คลิปก็มี ภาพก็มี เป็นร้อยๆ ภาพ บอกตัดต่อ ตลกค่ะ ทำงานอยู่รัฐสภาสาขาฮอลลีวูดเหรอ
ส่วนมากคนพวกนี้เขาก็สร้างสถานการณ์อยากมีบทกันน่ะค่ะ แทนที่จะโฟกัสเรื่องการช่วยเหลือเรื่องหน้ากาก มาโฟกัสเรื่องไร้สาระแบบแหม่มโพธิ์ดำเป็นใคร”
ไม่เพียงแค่นั้น “สนธิยา สวัสดี” สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และเป็นคณะทำงานของ ร.อ.ธรรมนัส ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เพื่อขอให้ตรวจสอบเพจแหม่มโพธิ์ดำเป็นใคร และยืนยันว่า ถ่ายภาพกับเสี่ยบอยนั้น เป็นการพบปะธรรมดาผ่านรุ่นน้อง
จึงทำให้ควีนได้ส่งจดหมายผนึกปลายเปิด ถึงนายกรัฐมนตรีผ่านสื่ออีกครั้ง ว่า ควรไปตรวจสอบถึงกระบวนกักตุนหน้ากากอนามัย และจับมาลงโทษดีกว่า
“สวัสดีค่ะลุง นี่แหม่มโพธิ์ดำเอง จำได้ไหม เพจเล็กๆ เพจนึงที่ลุงตู่เคยชมในวันศุกร์ว่าเป็นเพจน้ำดี คอยช่วยเหลือสังคมเมื่อนานมาแล้ว แต่ตอนนี้ควีนเป็นงงค่ะ ว่า ลูกน้องลุงกำลังทำอะไรอยู่ มาหาว่าเพจลงข้อมูลอันเป็นเท็จ ต้องเปิดเผยตัวตน เออ แทนที่จะไปจับ ไปตามสืบว่าตาบอย หรือตาพันธ์ยศ เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ยังไง...”
ทว่า หลังจากนั้น “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ออกมาชื่นชมแหม่มโพธิ์ดำ อีกครั้งว่า เป็นเพจน้ำดีคอยช่วยเหลือสังคม ยืนยัน ปมกักตุนหน้ากากอนามัยที่มีการเปิดเผยออกมา รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง พบทำผิดจะดำเนินการขั้นเด็ดขาด ซี่งเมื่อถามแอดมินเพจดังว่าต้องตั้งรับอีกไหม หรือต้องระวังตัวกว่าเดิม เธอให้คำตอบว่าตอนนี้ไม่มีแล้ว
“ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว ทางรัฐบาลแถลงการณ์ขอบคุณแล้ว และแจ้งว่าถูกแอบอ้างโดยคนที่ไม่ได้อยู่ในพรรคเรียกตัวเพจไปดำเนินคดี และสั่งการให้คนนั้นหยุดกระทำการใดในนามพรรค ตอนนี้กระแสก็เพลาไปเยอะ ตั้งแต่ลุงตู่และรัฐบาลชื่นชมเพจที่ช่วยเหลือสังคม ก็อยากยืนยันอีกครั้งว่า ไม่ได้มาล้มล้างรัฐบาล แค่มาตามหาหน้ากากเราไม่เคยเอาเพจมาแทรกแซงทางการเมือง อยากให้เข้าใจในจุดนี้ด้วย”
เมื่อถามทำไมได้ประกาศปิดเพจเฟซบุ๊ก จนสังคมต่างสงสัยว่าเปิดๆ ปิดๆ แบบนี้ เพราะกลัวอำนาจมืดหรือไม่ ซึ่งเธอให้คำตอบเอาไว้ว่า ไม่ได้กลัวใดๆ เพียงแต่ทางบ้านไม่ค่อยสบายใจ
“ตัวเองไม่ได้กลัว ก่อนจะเล่นเรื่องนี้ก็คือปลงทุกอย่างแล้ว แต่ครอบครัวค่อนข้างจะไม่สบายใจ ยกเว้นแม่ แม่บอกว่าแม่ภูมิใจในตัวเรามาก แม่ดีใจที่เกิดเป็นแม่เรา”
ล่าสุด อย่างไรก็ตาม ควีน ก็นำเงินส่วนตัวไปซื้อหน้ากากนามัยส่งโรงพยาบาลที่ขาดแคลน ซึ่งหลายคนก็ตั้งแง่ถึงการกระทำครั้งนี้ ทางเพจ Drama-Addict ก็ออกมาไขข้อสงสัยว่า หน้ากากอนามัยนำมาจากประเทศอินเดียและเวียดนาม พร้อมย้ำว่า จิตอาสา ทีมงานในเพจแหม่มโพธิ์ดำได้ของมาราคาเป็นมิตรจากบริษัทนำเข้าหลายๆ แห่งที่ประสงค์ออกนาม และทางโรงพยาบาลได้รับหน้ากากแล้ว
“ขอบคุณแหม่มโพธิ์ดำอย่างสุดซึ้ง ที่ส่ง Surgical mask มาให้โรงพยาบาลยะลาครับ”
“ฝากบอกทางคุณแหม่มโพธิ์ดำด้วยค่ะ ว่า ทาง รพ.ได้รับหน้ากากมา 4 กล่อง แล้วค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมมือให้ความช่วยเหลือพวกเรา รพ. ที่ขาดแคลนมากๆ ค่ะ”
นี่แหละ “ควีน” แอดมินดังตีแผ่สังคม!!
ถ้าถามว่า “เพจแหม่มโพธิ์ดำ” เป็นผู้มีอิทธิพลหรือไม่ เพราะทันทีที่โพสต์เรื่องราวอะไรลงบนหน้าเพจ มักจะถูกสื่อต่างๆ และสังคมเกาะติดกระแสนั้นตามไปด้วย จนกลายเป็นประเด็นร้อน เธอเคยให้คำตอบเรื่องนี้กับทีมข่าวเอาไว้ว่าไม่ได้รู้สึกแบบนั้น เพียงยืนในอุดมการณ์อยากช่วยเหลือสังคม และช่วยซัปพอร์ตสื่อมากกว่า
“ถ้าถามตัวเอง คือ ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่บางคนอาจจะมองแบบนั้นก็เป็นได้ แต่ด้วยความที่ควีนไม่ได้อยู่เมืองไทย เราไม่เคยได้ดูทีวี ไม่ได้อ่านข่าวที่เขาเขียนพาดพิง หรือพูดถึง แต่สิ่งที่ทำให้ ควีนสามารถยืนหยัดได้ถึงทุกวันนี้ อาจเป็นเพราะเราอยู่ไกล จึงไม่รู้สึกถึงแรงกดดันว่าเราเป็น “ผู้มีอิทธิพล”
แต่สิ่งที่เราทำเป็นเหมือนฝ่ายหนุนหลังให้สื่อมากกว่า ลักษณะแบบน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า เพราะเราก็เข้าใจสื่อว่าสื่อไม่สามารถไปติดต่อโดยตรงกับเหยื่อ หรือคนที่ได้รับความเดือดร้อนได้รวดเร็ว
ดังนั้น เมื่อมีคนมาขอความช่วยเหลือ ควีนจะให้เขาเขียนเรื่องร้องทุกข์ ส่งหลักฐานมาให้ครบ พร้อมเบอร์ติดต่อ หรือหากคดีที่ไม่ได้อยู่ในกระแส ควีนจะเตรียมหลักฐานทุกอย่างเอาไว้แล้วส่งให้สื่อต่างๆ ช่วยนำเสนอ จากการทำงานของเราแบบนี้ถือเป็นการช่วยให้ “สื่อ” ทำงานง่ายขึ้น”
แน่นอนหลายคนคงอยากรู้ว่า ควีน แอดมินเพจชื่อดังคนนี้เป็นใคร มาจากไหนกันแน่ ทำไมถึงกล้าบ้าบิ่นขนาดนี้ ควีนให้คำตอบไว้ว่าตอนนี้ได้แต่งงานมีสามีเป็นชาวอเมริกัน เชื้อสายจีน อาศัยอยู่ต่างประเทศ ในเมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา มีชีวิตที่ดี การเงินไม่มีปัญหา และคนในครอบครัวคอยสนับสนุน นานๆ ถึงจะได้กลับประเทศไทย สอดคล้องกับข้อมูลจากเพจ Drama-Addict ที่เปิดเผยว่าควีนใช้ชีวิตกับสามี ที่ต่างประเทศอย่างมีความสุข
“ใช้ชีวิตกับลูกกับผัวคนนึง ที่เห็นคนในประเทศเดือดร้อนแล้วทนไม่ไหว ก็เลยต้องออกมาทำอะไรสัดอย่างเพื่อช่วยคนไทยด้วยกัน”
ในส่วนของการศึกษา ควีนบอกว่าเธอเรียนจบด้านการตลาดมา จึงนำหลักการที่ได้ร่ำเรียนมาประยุกต์ใช้กับการจัดการบริหารเพจเกือบ 100% ทั้งการเงิน การตลาด มีเดีย มาใช้แบบเต็มๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นการขายของช่วยเหลือคน จำนวนของที่ขาย สินค้า ลิมิเต็ดเอดิชัน รวมถึงเรื่องระยะเวลา การให้คนเฝ้ารอ ทุกๆ อย่าง คือ การตลาดหมดเลย
โดยที่ก่อนหน้านี้ เคยทำงานเกี่ยวกับมีเดียมาก่อน และรู้จักกับคนในวงการบันเทิงเยอะพอสมควร ทำให้เชี่ยวชาญในเรื่องของระบบการทำงาน ทำให้การสร้างเพจของควีน มีการร่วมมือกันและเข้าถึงผู้คนได้อย่างรวดเร็ว
กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ แอดมินเพจดังยอมรับ ไม่ง่าย เคยท้อเหมือนกัน ซึ่งสำหรับเพจแหม่มโพธิ์ดำ ไม่ใช่เพจดาร์กเหมือนชาวบ้านทั่วๆ ไปที่แข็งแรง กล้าแกร่ง แต่เพจเรามีความอ่อนแอ มีความเป็นมนุษย์เยอะกว่า เพราะเคยนำเสนอมุมมองทางสังคมจนเพจถูกปิดเองมาแล้ว
นอกจากนี้ เมื่อถามว่ายังมีเรื่องอะไรที่รอการตีแผ่สูสังคมอีกไหม “ก็มีมาตลอดนะคะ แต่เพจเดียวจะไปทำอะไรได้มากขนาดนั้น” เธอบอก พร้อมทิ้งท้ายฝากขอบคุณทุกกำลังใจ ที่อยู่เคียงข้าง จนมีการติด #saveแหม่มโพธิ์ดำ เกิดขึ้น
“ฝากขอบคุณทุกคนมากๆ เลยนะคะ ที่ให้กำลังใจ และยืนหยัดต่อสู้เพื่อเรียกร้องให้มีการส่งต่อหน้ากากอนามัยให้โรงพยาบาลทุกแห่งในไทย ทุก Action ของพวกเราในวันนี้ จะทำให้เรื่องเทาๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ค่อยๆ ชัดเจนและโปร่งใสแน่นอน”
ข่าวโดยทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : เพจ Drama-Addict
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **