“พีท” โร่แจ้งความลงบันทึกประจำวันยืนยันความบริสุทธิ์หลังถูกแอบอ้างมีเอี่ยวอยู่ในขบวนการกักตุนหน้ากากอนามัย ลั่นเตรียมดำเนินคดี “บอย” และเหล่าเกรียนคีย์บอร์ดในข้อหาหมิ่นประมาท บอกไม่กลัวอิทธิพลมืดเพราะตนไม่ได้ทำอะไรผิด ชี้หากอีกฝ่ายอยากขอโทษให้เอาหน้ากากที่กักตุนไว้มาบริจาคให้โรงพยาบาลและคนที่ขาดแคลน เชื่ออีกไม่นานจะมีผู้ใหญ่ติดต่อมาเคลียร์เรื่องนี้กับตน
หลังจากที่เมื่อวานนี้นักแสดงรุ่นใหญ่ “พีท ทองเจือ” ได้ออกมาเปิดใจกับสื่อมวลชนถึงกรณีที่เพจแหม่มโพธิ์ดำนำคลิปออกมาแฉว่า มีขบวนการกักตุนหน้ากากอนามัยจำนวน 200 ล้านชิ้น ซึ่งหนึ่งในคลิปทั้งหมดมีหนุ่มพีทร่วมเฟรมด้วย โดยเจ้าตัวยืนยันความบริสุทธิ์ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับขบวนการนี้ ตนแค่ถูกใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้น
วันนี้ (10 มี.ค.63) เวลา 13.30 น.หนุ่มพีทก็ได้แสดงความบริสุทธิ์ใจอีกครั้งด้วยการเดินทางมากับภรรยาและลูกสาวเพื่อมาลงบันทึกประจำวันไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ที่สน.ปทุมวัน ซึ่งมี “ร.ต.ต.เวียงแก้ว สุภาการณ์” สว.(สอบสวน) สน.ปทุมวัน เป็นผู้รับเรื่อง หลังจากที่พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วหนุ่มพีทก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า
“วันนี้ที่มาเจตจำนงคือต้องการจะแจ้งเรื่องคลิปดังกล่าวที่เกิดขึ้น ตอนนี้ในแง่ของกฎหมายยังทำอะไรเจ้าตัวคนที่ลงคลิปนี้ไม่ได้ เพราะหน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้ยังไม่ดำเนินคดี ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้คือออกมาแสดงความบริสุทธิ์ใจ ทำหลักฐานเตรียมเอาไว้ ถ้าขบวนการทั้งขบวนการนั้นโดนดึง ลากออกมาทั้งขบวนการเราก็สามารถเอาเอกสารมาแสดงว่าเราแสดงตัวชัดเจนแล้วว่าเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น แล้วก็บริสุทธิ์ใจ แต่ในแง่ของการสอบก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอน เราเกี่ยวจริงไหม หรือเป็นสิ่งที่เราพยายามที่จะแก้ตัว อันนี้มันจะบอกเองว่าเราไม่เกี่ยวจริงๆ”
“อย่างที่สองที่วันนี้พยายามจะแจ้งก็คือ มาตรา326 เป็นการลากบุคคลที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง นำมาซึ่งความเสียหายนั่่นคือหมิ่นประมาท เนื่องจากโพสต์ต่างๆ ที่อยู่ในคลิปนั้น ที่นำมาซึ่งความเสียหายสำหรับเรา ตอนนี้เจ้าหน้าที่ก็รับเรื่อง รับฟัง รับแจ้งประกอบกับเพจแหม่มโพธิ์ดำก็ปิดหนีไปแล้ว ทำให้เกิดความวุ่นวายพอสมควร ผมคิดว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจ เพราะเพจเขาแข็งแรงมาก คนตามเขาก็อลังการ แต่ว่าวันนึงลุกขึ้นมาปิด แสดงว่ามันจะต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้เพจเขาอยู่ไม่ได้ เพจเขาเป็นลักษณะเพจนักเลงที่ไม่กลัวใคร แต่ปิดทิ้ง อันนี้ต้องฝากวิจารณญาณของผู้เสพข่าวและนักข่าวไปช่วยกันวิเคราะห์ว่าทำไมเขาถึงปิดเพจ”
ลั่นไม่กลัวอิทธิพลมืดเพราะตนไม่ได้ทำอะไรผิด
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ทุกวันเราทำงาน เสียภาษีถูกต้อง เลี้ยงครอบครัว ใช้ชีวิตเสี่ยงอยู่กับไวรัสที่มันลอยอยู่ตามอากาศในทุกๆ ที่ที่เราไปแค่นี้ก็พอแล้วไม่อยากจะพูดอย่างอื่นอีก”
เผยแจ้งความดำเนินคดีกับ “บอย ศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี” ไม่หวั่นอีกฝ่ายอาจจะมีแบ็กดี เชื่อประชาชนอยู่ข้างตนเยอะ
“ตั้งแต่มีเรื่องเขายังไม่ได้ติดต่อมา ถ้ามันกระเทือนมาถึงผม ผมคิดว่าคนต่างๆ ประชาชนคนไทยที่เห็นเหตุการณ์นี้ และไม่ชอบการกักตุนหน้ากากอนามัย เพื่อเพิ่มราคาสินค้า แล้วยังส่งออกไปต่างประเทศในขณะที่ประชาชนชาวไทยยังต้องการสิ่งนี้มากๆ ผมเชื่อว่าคนอยู่ข้างผมเยอะครับ”
“ไม่มากก็น้อยเขาต้องแสดงความรับผิดชอบอะไรบางอย่างขึ้นมา ถ้าสมมติเกิดต้องเจอกันอะไร อย่างไร ผมไม่ได้ตามข่าวเขา แต่ที่แน่ๆ คือมีการเจอหน้ากากอนามัยแล้วบอกว่าไม่รู้ของใครอันนี้ถามว่าทุกๆ ท่านที่ฟังรับได้ไหม ไม่มีใครรับได้เลย แล้วสมมติมันเป็นจริงๆ แล้วทำไมไม่มีใครทำอะไรเลย ปล่อยไปได้อย่างไร”
บอกเรื่องนี้หากอีกฝ่ายจะติดต่อมาขอโทษอย่างเดียวคงไม่พอ ควรสำนึกเอาหน้ากากที่ตัวเองกักตุนไว้มาบริจาคให้โรงพยาบาลหรือผู้ที่ขาดแคลน
“ขอโทษอย่างเดียวมันจะหายไหม ผมไม่ค่อยแคร์อยู่แล้ว เราทำงานวงการบันเทิงมานาน มันน่าจะมีตัวแทนคนไทยหรือใครสักคนนึงขึ้นมา หลายๆ คนก็ทำหลายๆ อย่างเพื่อแสดงถึงการที่เราลุกขึ้นมาต่อสู้ ถ้าจะมีอีกซักคนนึงโผล่ขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก การขอโทษมันไม่ใช่ประเด็น แต่สิ่งที่อยากเห็นคือความรับผิดชอบ หน้ากากที่อยู่ที่ตัวเองเอามา ทำจดหมายว่าจะมอบทั้งหมดให้กับเรา เราก็จะนำทั้งหมดไปบริจาคให้กับทางโรงพยาบาล หรือคนที่ต้องการ ไม่ใช่เอาไปเก็บไว้ ยังไม่มีใครแทงเรื่องว่าควรจะไปที่ไหน อย่างไร หรือเกิดอะไรขึ้น ดูมันมืดๆ ยังไงก็ไม่รู้”
เล่าหากอีกฝ่ายถูกดำเนินคดี สิ่งที่ตนแจ้งความไว้ก็จะมีผลทันที ไม่กังวลกับเรื่องดังกล่าวเพราะตนทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ
“ถ้าภาครัฐหน่วยที่ดูแล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการควบคุมการซื้อขาย หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมไม่แน่ใจว่ามีหน่วยไหนบ้าง ถ้าเขาดำเนินคดี สิ่งที่ผมแจ้งความไว้ ก็จะมีผลทันทีเหมือนกัน แต่ในแง่ของการยอมความ ดำเนินคดีต่อถึงที่สุดหรืออย่างไร อันนี้ต้องว่ากันอีกทีหนึ่ง เพราะว่าก็ยังเห็นว่าสิ่งที่พ่อแม่พี่น้องคนไทยยังขาด ก็คือหน้ากากอนามัยที่มีคุณภาพ ยังมีอีกเยอะแยะมากมายที่เราไม่ได้ใช้กัน"
“หลังจากเมื่อวานออกมาให้สัมภาษณ์คนเข้าใจเรามากขึ้นไป ตรงนี้ผมไม่ได้เช็กกระแสตรงนั้นเลย แต่คิดว่าเราบริสุทธิ์ใจ เมื่อวานพูดไปแล้ว แต่วันนี้ก็มาแสดงในแง่ของลายลักษณ์อักษร แล้วก็แสดงตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ก่อน ดีกว่าอยู่เฉยๆ แล้วโดนเรียกเข้าไป อันนั้นไม่น่าจะโอเค ผมไม่กังวลอะไรอยู่แล้ว”
เล่าทางตำรวจได้ดูคลิปแล้ววิเคราะห์ว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย ส่วนกับ “เล็ก ไอศูรย์” ยังไม่ได้คุยกัน
“บอกว่าดูแล้วเหมือนเราไม่ได้เกี่ยวข้อง อันนี้วิเคราะห์คร่าวๆ เพราะว่าบทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย มันไม่ได้เกิดขึ้นข้างหน้าเรา พอถ่ายเสร็จก็เดินออกไปคุยกันตรงจุดอื่น อันนี้ดูง่ายๆ เลย ก็พอเข้าใจได้แล้ว ตอนนี้ยังเอาผิดอะไรไม่ได้ กับทางพี่เล็ก ไอศูรย์ ก็ยังไม่ได้คุยกัน ยังไม่มีคิวตรงกัน แล้วก็อยากให้พี่เล็กพูดเองว่ายังไง “
ชี้วันนี้แค่มาลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น หลังจากนี้ก็รอให้ภาครัฐดำเนินการ เชื่อเดี๋ยวจะต้องมีผู้มีอิทธิพลเข้ามาขอเคลียร์เรื่องนี้กับตน
“วันนี้มาลงบันทึกประจำวันแล้วก็รอภาครัฐ ถ้าภาครัฐดำเนินยังไงต่อ ผมก็จะตามต่ออีกทีหนึ่ง แล้วอีกประเด็นหนึ่งก็คือเร็วๆ นี้ ผมคาดว่าน่าจะมีผู้ใหญ่สายใดสายหนึ่งเข้ามาเคลียร์เรื่องนี้กับผม กับเอกสารที่ผมทำในวันนี้ แต่ขอบอกเลยว่า ผู้ใหญ่สายไหนก็เคลียร์ไม่ได้ เพราะชื่อเสียงที่ผมเสียไป กับคนที่ไม่เข้าใจผม ผมว่าค่าเรียกร้องที่จะต้องได้กลับมามันแค่ไหน"
“ยังไงก็ต้องมีแน่นอนครับ แต่เรายังไม่รู้ว่าสายไหน เพราะตามหลัก พวกนี้เขาไม่มาคุยอะไรกันเองอยู่แล้ว เขาต้องหาคนที่มีพาวเวอร์กับตัวเรา หรือคนที่คิดว่าจะมีพาวเวอร์กับตัวเราได้ พยายามหว่านล้อม ผ่อนหนักให้เป็นเบา ขอบอกเลยว่าเขาก็ต้องแสดงความรับผิดชอบมากพอสมควรถ้าจะมาดูแลตรงนี้ ที่ผ่านมาจะทำอะไรผมเป็นคนระมัดระวังตัวมาโดยตลอด ก็ตามนั้นเลยไม่มีปัญหา"
นอกจากนั้นแล้วยังทำเอกสารเตรียมดำเนินคดีกับเกรียนคีย์บอร์ดในข้อหาหมิ่นประมาท ส่วนกับเพจแหม่มโพธิ์ดำตนไม่คิดเอาเรื่องเพราะเป็นปลายเหตุ
“เบื่องต้นเราคุยกับตำรวจแล้วว่ามันมีมาตรา 326 และ 328 ที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาท มันจะต่อเนื่องกับเอกสารที่เราทำไปวันนี้ ถ้าเอกสารที่เราทำไปวันนี้มันถูกดำเนินคดีปุ๊บ อีกอันนึงก็จะฟอโลว์อัปตามไปเลยทันที"
“กับเพจแหม่มโพธิ์ดำคิด ณ โมเมนต์นี้ผมมีวิธีติดต่อเขาแล้ว มีเบอร์ติดต่อ มันพูดยากเนอะ ในลักษณะนึงเขาก็คือสื่อเหมือนกัน ถ้าจะต้องดำเนินคดีกับสื่ออันนี้ผมไม่แน่ใจ ผมอยากดำเนินคดีกับคนที่ไม่ใช่สื่อมากกว่า เจตนาของผมคือต้องการดำเนินคดีกับคนที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ สื่อเป็นปลายเหตุ ผมอยากแก้ที่ต้นเหตุมากกว่า”