xs
xsm
sm
md
lg

เปิดชีวิต หลานสาว “พล.อ.สุรยุทธ์” สวย-เก่ง สร้างแบรนด์ปังด้วยวัยเพียง 20!! [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



 
สวย เก่ง ครบจบในคนเดียว! “แน๊ตตี้ - นาตาชา” หลานสาว “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” เปิดใจ ความสัมพันธ์ระหว่างตา-หลาน “ตาแอ้ด ดุแต่ใจดี” ชื่นชมในตัวคุณตา เก่ง-อดทน-ดูแลประเทศชาติ พร้อมยกคุณพ่อเป็นไอดอลด้านการทำงาน ปั้นแบรนด์รองเท้าจนประสบความสำเร็จ แถมยังซื้อรถด้วยเงินสดเองได้ตั้งแต่อายุ 17 ปี!!


“ภูมิใจ” ในตัวคุณตาคนนี้ที่สุด

“คุณตาเป็นคนอดทน แน๊ตเชื่อว่าอาชีพทหาร หรือข้าราชการต่างๆ เก่งหมด เพราะต้องผ่านการฝึกอย่างหนัก คุณตาเองกว่าจะมาถึงจุดได้นี้ก็ผ่านอะไรมาเยอะมาก เป็นคนมุ่งมั่น มีแรงในการทำงาน แม้ว่าเขาจะอายุมากขึ้นทุกปีๆ เขายังมีแรงทำทุกอย่างเหมือนเดิม และทำเต็มที่ด้วย”

“แน๊ตตี้ - นาตาชา จุลานนท์” หลานสาว “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” ประธานองค์มนตรีคนปัจจุบัน เปิดใจเล่าถึงความประทับใจในตัวคุณตาของเธอว่าเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นในการทำงานสุดๆ แม้ภายนอกดูเป็นคนนิ่งเงียบสุขุมและน่าเกรงขาม แต่ความจริงแล้วเป็นคนใจดี

“กับคุณตาจะไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ แน๊ตจะเจอเขาทุกครั้งเวลาไปรวมญาติ เขาเป็นน้องชายของคุณตา (พ่อของแม่) ก็คือเป็นคุณตาน้อยนี่แหละ บ้านแน๊ตมีอะไรช่วยเหลือกันทุกอย่าง เราไปเจอกันบ่อยมาก ญาติเยอะมากก็รู้สึกอบอุ่นตรงนี้นะ แต่พอโตขึ้นมาเราไม่ค่อยได้เจอเท่าไหร่

ถามว่าคุณตาเป็นคนยังไง แต่ก่อนเขาใจดีกว่านี้นะคะ (หัวเราะ) เมื่อตอนแน๊ตเด็กๆ แต่พอโตขึ้นเวลาอยู่ในพิธีทุกคนก็จะนิ่งมาก เราก็จะโดนดุ แต่จริงๆ คุณตาไม่ได้ดุหรอก แค่กฎระเบียบเยอะ เราจะเป็นคนไม่เรียบร้อย ไปไหนก็จะยุกยิกตลอดเวลา (ยิ้ม)




 
ตอนนี้คุณตาเป็นประธานองคมนตรี แน๊ตได้เคยไปช่วยงานที่มูลนิธิพลเอกเปรมด้วยเหมือนกัน จะทำเกี่ยวกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่วยสานใจไทย หลักๆ คือจะช่วยเด็กให้ออกมาเจอโลกกว้าง คุณตาก็จะนำน้องๆ ไปปลูกป่า พอเราได้เห็นคุณตาในมุมนั้น

เราก็อยากเป็นทหารเข้ามาทันทีเลย รู้สึกว่าเท่จัง อยากใส่ชุดแบบนั้น อย่างคุณตามีพี่น้องหลายคนก็เป็นทหาร ทุกคนในตระกูลส่วนใหญ่เป็นทหารหมดเลย ทุกคนจะมีบาดแผล บางคนก็ผ่านสงครามมาจริงๆ เราก็ขนลุก เรารักพระมหากษัตริย์มาก เรารักประเทศไทยมาก ฉันภูมิใจมากเลยที่เป็นคนไทย”

ด้วยความที่มีคุณตาเป็นไอดอล แถมยังชื่นชมอาชีพทหารว่าช่วยปกป้องประเทศชาติ และเป็นผู้ที่เสียสละ เธอจึงตัดสินใจไปสมัครสอบทหาร โดยคิดไว้ว่าจะต้องมีชื่อของเธอสอบติดอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายกลับผิดคาด

“แน๊ตไปสมัครสอบเมื่อ 3 ปีที่แล้วเองค่ะ ไปลองดู แม่บอกให้ไปสมัครดู เขาอยากให้ทำงานเป็นหลักแหล่ง อย่างอาชีพนี้ก็ทำอาชีพนี้ไปเลย แน๊ตก็ไปสอบ มั่นใจมากว่าได้แน่ ความมั่นใจคือนามสกุล (หัวเราะ) ตอนแรกคิดว่าได้ คนสอบก็เยอะนะก็คิดว่าทำไมเยอะขนาดนี้ แต่รับแค่ 2 คน เราสมัครในสาขาภาษาไป

พอประกาศผลสอบก็เอ๊ะ ทำไมไม่มีจุลานนท์ ทำยังไงดี ไม่มีใครช่วยได้ก็เราทำไม่ได้เอง เราก็ต้องเอาใหม่ ต้องอ่านหนังสือสอบ ตอนแน๊ตไปสอบคือไม่ติว ไม่อะไรเลย เพราะคิดว่าไม่ยาก แต่สุดท้ายก็ใช่ว่าจะได้เข้าง่ายๆ ไม่ใช่ว่าเป็นลูกหลานแล้วจะได้เข้าสักหน่อย ไม่ใช่เลย”


 
คงต้องยอมรับว่ากระแสการแสดงความคิดเห็นที่มีต่ออาชีพทหาร ค่อนข้างหลากหลายในโซเชียลมีเดีย ซึ่งในฐานะที่เธอเองเป็นลูกหลานในครอบครัวทหารก็มองเรื่องนี้ว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลในการแสดงความคิดเห็น
ส่วนตัวเธอก็ไม่ได้รู้สึกอ่อนไหวแม้จะพอได้อ่านคอนเมนต์ด้านลบก็ตาม แต่จะกดดันเรื่องที่คนมองว่าเธอมีเส้นมีสายเสียมากกว่า

“ไม่ เรารู้สึกว่าไม่แคร์ จะเซ็นซิทีฟเรื่องอื่นมากกว่า แน๊ตจะกลัวเรื่องคนมาดูถูกว่าเราไม่เก่ง หรือบอกว่าเราทำไม่ได้ ไม่สวย ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่เก่ง เราอยู่ไม่ได้ เราจะต้องทำตัวเองให้ดีขึ้น เราก็กดดัน เพราะคนจะคิดว่าเรามีเส้น แต่เปล่านะถ้าเราทำผิดก็ว่าไปตามผิด ตามกฎหมาย อยู่ดีๆ จะมาช่วยเราเรื่องทำไม่ดีเหรอ

ถามว่าพอเป็นลูกหลานคนใหญ่คนโตแล้วการใช้ชีวิตจะยากขึ้นไหม ไม่ค่ะ ไม่ยาก เดี๋ยวนี้ลูกคนใหญ่คนโตก็เยอะก็ไม่มีใครรู้หรอกค่ะ แต่แน๊ตก็เข้าใจว่าคุณตาก็ออกทีวีบ่อย อาจจะมีคนรู้จักบ้าง

แต่เราก็ไม่ได้โชว์บัตรประชาชนตลอดเวลา แน๊ตก็เป็นคนธรรมดาเลย อยู่กับเพื่อน คบเพื่อนธรรมดา เพื่อนสนิทก็ไม่ใช่ดาราด้วยซ้ำ

ส่วนคนที่คอนเมนต์ แน๊ตก็เข้าใจ ยกตัวอย่าง ถ้าบอกว่าคนประเทศนี้ไม่ดีก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะไม่ดี มันก็เป็นแค่บางคน เขาบอกพวกทหารเป็นแบบนั้น แบบนี้ เขาไม่เคยมาดูเบื้องหลังว่าเป็นยังไง

รู้ไหมว่าโรงพยาบาลทหารผ่านศึกเป็นยังไง แน๊ตทำบุญทุกปี เราก็ตัดเรื่องที่บ้านออกไปนะ แน๊ตรู้สึกว่าคนเหล่านี้ทำเพื่อประเทศชาติ เขาเลยไปบาดเจ็บอยู่ตรงนั้น เขาไม่ได้เมาแล้วขับถึงได้ไปเจ็บตัว แต่ส่วนใหญ่จะผ่านสงครามกันมา ซึ่งน่าสงสารมาก แน๊ตอยากชวนให้ทุกคนไปทำบุญ เพราะพี่ๆ ทหารทำเพื่อประเทศชาติ”

สร้างแบรนด์รายได้หลักแสน ด้วยวัย 20

“กว่าจะได้รองเท้ามาคู่หนึ่ง สำหรับแน๊ต มันยากมาก ถามว่าทำลวกๆ ทำได้ไหม ทำได้นะ แต่ยาก เพราะไม่ใช่แค่สวย ไม่สวย เราต้องลองใส่ ลองเดิน ต้องใส่ใจ ต้องเก็บรายละเอียดกับมัน”

อีกหนึ่งบทบาทของชีวิตที่นอกเหนือจากการเป็นนักแสดงแล้ว เธอยังเป็นสาวนักธุรกิจที่สร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง ด้วยวัยเพียง 20 ปีเท่านั้น

จริงอยู่ที่ถึงแม้เธอจะมีความสนใจมาจากธุรกิจผลิตรองเท้าส่งออกต่างประเทศของที่บ้าน แต่การจะสานต่อจนทำให้ประสบความสำเร็จได้ ต้องมีความรักและความหลงใหลที่มากพอด้วยเหมือนกัน

“เราชอบใส่รองเท้าส้นสูงตั้งแต่เด็ก เพราะเห็นแม่ใส่ส้นสูงที่บ้าน พอโตขึ้นมาเราก็อยากจะใส่รองเท้าส้นสูงก่อนที่คนอื่นจะใส่ เวลาไปห้างเรารู้สึกว่ารองเท้าสวย สิ่งที่เราอยากซื้อที่สุดก็คือรองเท้า

เรามองว่ารองเท้าเป็นสิ่งที่สวย เราไปออฟฟิศพ่อ จะได้กลิ่นหนัง ซึ่งหอมมาก ตอนเด็กๆ เวลาไปก็จะไปดมรองเท้า มีตัวอย่างของประเทศหลายๆ ประเทศ ที่เจ้าของแบรนด์จะมาหาพ่อ มาขึ้นตัวอย่างว่าพื้นรองเท้า ส้นรองเท้า อยากได้แบบไหน มีชาร์ตสีว่าแบบไหน เราก็ต้องทำตัวอย่างขึ้นมาก่อนว่าลูกค้าจะโอเคไหม


 
เราถึงสั่งผลิต เราก็เห็นการทำงานของพ่อมาตลอด เห็นพ่อดีลรองเท้ายังไง พ่อบินไปต่างประเทศ พอพ่อเสีย เราก็ต้องบินไปคุยกับลูกค้า กว่าจะได้รองเท้าคู่หนึ่ง การทำตัวอย่างให้ก็คิดเงินเขาไม่ได้

ต้องใจซื้อใจ ลูกค้าดีลกับเราหมื่นคู่ เราจะมาขอเก็บค่าตัวอย่างก็คงไม่ได้ เราต้องทำ ถ้าไม่ถูกใจก็ต้องเปลี่ยน ต้องเสียเวลาตรงนั้น”

จากความสนใจชอบใส่รองเท้าส้นสูงในวัยเด็กนำมาสู่การสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง ด้วยความที่ได้คลุกคลีกับกระบวนการทำรองเท้ามาตั้งแต่ยังเล็ก

นี่จึงทำให้เธอมีพื้นฐานเพื่อไปต่อยอดได้อย่างไม่ลำบาก อีกทั้งพอได้เป็นเจ้าของแบรนด์เอง เธอก็ทำทุกขั้นตอนด้วยตัวเอง ตั้งแต่ออกแบบ หาวัสดุ ทำตัวอย่าง กระทั่งการตอบไลน์ลูกค้า

“แน๊ตมาเรียนรู้จริงๆ ตอนทำแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งตอนที่แน๊ตมาทำแบรนด์ พ่อเสียแล้ว จริงๆ แน๊ตเริ่มคิดชื่อแบรนด์เล่นๆ กับพ่อ ตั้งแต่ตอนอยู่ ม.4 แต่มาเริ่มขายจริงจังตอนที่อายุ 20 ปีค่ะ

โชคดีตรงที่ว่าบ้านเราทำธุรกิจรองเท้าส่งออก เรารู้ว่าต้องทำยังไง เริ่มจากที่ไหน ตอนที่พ่อเสีย เราจะมีลูกน้องที่ดีลกับพ่อเป็นประจำ เขาจะพาเราไปดูว่าต้องทำยังไง ทำตั้งแต่ดูส้น ไปหาซื้อของเอง

ส่วนใหญ่แน๊ตจะบินไปที่ฮ่องกงไปดูอะไหล่ แล้วชิปปิ้งเข้ามา อย่างพ่อจะทำงานง่าย เพราะพ่อวาดรูปสวยแล้วให้พนักงานไปหาวัสดุมาก็จะง่ายกว่า

ตอนนั้นขายดีมาก แม้เราเป็นคนวาดรูปไม่เก่ง แต่จะใช้วิธีนึกภาพในหัวแล้วบอกคนวาดว่าต้องการแบบนี้ แน๊ตทำตั้งแต่แพ็คของ ตอบไลน์ลูกค้า เช็คสต็อก ทำทุกอย่าง ดูตัวอย่าง

แน๊ตทำเองหมดเลยตั้งแต่แรก ต้องยอมรับเลยว่ามีเงินซื้อนั่นนี่ เพราะธุรกิจรองเท้า จริงๆ ได้เปลี่ยนรถก็เพราะธุรกิจนี้ รายได้ก็ราวๆ หลักแสนต่อเดือน

เราสนุกกับมัน เราอยากแพ็คของมากเลย ตอนนั้นไอจียังไม่มีร้านเยอะ คนไม่ได้เล่นไอจีเยอะขนาดนี้ เราได้รายได้จากการขายของในไอจี ซึ่งแต่ก่อนไม่มีการยิงโฆษณาหรืออะไรเลย

อาจเป็นเพราะตอนนั้นเราโฟกัสเรื่องนี้เรื่องเดียว และก็เรียนมหาวิทยาลัยไปด้วย พอพ่อเสียก็ปิดหน้าร้านไป เพราะไม่มีใครไปดู เน้นขายในออนไลน์แทน”

ไม่เพียงแต่ธุรกิจรองเท้าเท่านั้นที่เธอสร้างขึ้น ก่อนหน้านี้เธอเล่าให้ฟังว่าเธอและเพื่อนได้ลงทุนร่วมกันทำมาแล้วหลายอย่าง ทั้งการเปิดร้านอาหาร เสื้อผ้า ไปจนถึงแว่นตา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร นั่นจึงทำให้เธอเลือกที่จะโฟกัสแค่ธุรกิจรองเท้าที่เธอถนัดเพียงอย่างเดียว



์รองเท้า Natasha Shoes
 
“ที่ผ่านมาแน๊ตเคยหุ้นทำเสื้อผ้ากับเพื่อนก็ไปไม่ได้ แว่นตาก็เคยทำ ร้านอาหาร บาร์ ก็เคยทำแล้ว ตอนแรกก็ดี คนเยอะมาก แต่สักพักก็หายเหมือนกัน เราก็ต้องยอมรับตรงนี้ว่ามันอยู่ที่ปัจจัยภายนอกด้วย

ท้อนะ แต่แน๊ตก็ยังทำงานในวงการบันเทิงตลอด และเราไม่ได้หยุดหางานทำ อะไรที่ทำได้เราก็ทำ เราไม่ได้เกี่ยงว่าเป็นดารา หรือเป็นลูกคนนี้ นามสกุลแบบนี้เราจะไม่ทำมาหากิน มันไม่ได้ เขาก็มีเงินของเขา เราจะไปขอเงินเขาไหมล่ะ ก็ไม่ใช่

อย่างพ่อมีตังค์ก็มีไปสิ แม่มีตังค์ก็มีไป มหาวิทยาลัยเราก็สอบได้ทุนเอง พ่อแม่ไม่ต้องจ่ายเงิน พ่อแม่เลี้ยงเราด้วยเงินค่าเทอมตอนเราอยู่มัธยม ตั้งแต่ทำงานมาแน๊ตก็ไม่ได้ขอเลย เพราะเรามีเงินพอที่ใช้จ่ายเองได้

ส่วนเรื่องการทำธุรกิจ แน๊ตคิดว่าทำอะไรที่ถนัดดีกว่า เอาอย่างเดียวดีกว่า คือรองเท้า และอย่างอื่นเป็นตัวเสริมว่าเราสามารถแสดงละครได้ ร้องเพลงได้ รู้สึกว่าความฉลาดมันดีกว่าความสวย

การที่เรามีความรู้ เราเก่ง มีประสิทธิภาพ เข้าสังคมได้ รู้ว่าดีลงานยังไง มีหัวทางด้านธุรกิจมันสำคัญ และได้เปรียบมาก ภาษาก็เป็นอะไรที่สำคัญ แน๊ตก็ไปเรียนภาษาสเปนเพิ่ม เรียนจีนไปด้วย ซึ่งเรื่องภาษาก็นำมาใช้ได้กับการคุยงานด้านธุรกิจจริงๆ”

รับผิดชอบ-อ่อนน้อม เพราะงานบันเทิง

“ตอนอายุ 17 ซื้อรถได้เพราะรายการสตรอเบอรี่ชีสเค้กนี่แหละ ตอนนั้นคุณพ่อยังไม่เสีย ตอนแรกพ่อก็ไม่อยากให้ทำงานวงการบันเทิงนะ เพราะตอนประถมแน๊ตเป็นคนเรียนไม่เก่ง พ่อก็อยากให้ตั้งใจเรียน แต่พอได้มาทำงานจริงๆ พ่อก็สนับสนุน ช่วยแน๊ตเก็บออมเงินด้วย ทำงานได้ 2ปีก็ซื้อรถคันแรกได้เลย”

แม้เพียงระยะเวลา 2 ปี สำหรับการทำรายการวัยรุ่น “สตรอเบอรี่ชีสเค้ก” ก็ทำให้เธอเก็บออมเงินจนสามารถซื้อรถยนต์ส่วนตัวได้ด้วยวัยเพียง 17 ปีเท่านั้น นี่คงต้องยกให้กับคุณพ่อที่น่ารัก ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการช่วยให้ลูกสาวรู้จักคุณค่าของการใช้เงิน

“รายการสตรอเบอรี่ชีสเค้กจะมีโฆษณา เงินเดือนก็มีให้ เท่าไหร่ก็ว่าไป ด้วยความที่ตอนนั้นเราไม่ค่อยได้ใช้จ่ายอะไร พ่อก็เป็นคนหวงมาก เราไปเที่ยวไม่ได้ ไม่ได้ใช้เงิน เวลาไปโรงเรียนแม่จะให้เงิน 100 บาท ใช้ยังไงให้พอทุกวัน วันนี้เหลือไหม ถ้าเหลือเติมเข้าไปให้ครบ 100บาท เท่ากับว่าเราก็จะไม่มีเงินเก็บเลย

พออายุ 15 เรารู้สึกว่าเราหาเงินได้ และมันเยอะ ไม่ต้องขอพ่อแม่ สรุปแน๊ตมีเงินที่สามารถซื้อรถได้คันหนึ่ง ก็ซื้อด้วยเงินสดแบบเหลือผ่อนแค่นิดเดียว เพราะดาวน์ไปเยอะมาก รถราคาประมาณ 8 แสนบาทค่ะ ตรงนี้ทำให้รู้สึกว่ามันดีนะ มันทำให้เรามีความตั้งใจอยากทำงานในวงการบันเทิงต่อ”


 
ย้อนกลับไปสู่ไทม์ไลน์การเข้าวงการบันเทิง คงเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าเธอเริ่มเป็นที่รู้จักจากรายการสตรอเบอรี่ชีสเค้ก ด้วยการทำหน้าที่เป็นพิธีการรายการวัยรุ่นในขณะนั้น หลังจากนั้นจึงได้มีโอกาสไปแคสติ้งงานละครทำให้เธอได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงอย่างเต็มตัว

“ตอนนั้นอยู่ ม.4 ค่ะ จำได้วันนั้นโดนครูดุด้วย เพราะคุยเรื่องนี้ในห้องเรียน เพื่อบอกให้แน็ตไปสมัครรายการสตรอเบอรี่ชีสเค้ก เราก็รู้จักแหละ แต่ไม่เคยดู เพื่อนก็ช่วยส่งใบสมัครไปให้ สุดท้ายก็มีคนโทรมาจริงๆ

สุดท้ายประกาศคนที่เข้ารอบ 20 คนที่ต้องไปแข่งต่อที่เวที ตอนนั้นอายุ 15 เอง จากติดรอบ 20คนก็มาประกาศรอบ 10 คนสุดท้ายก็จะไปแข่งอีกอาทิตย์หนึ่ง สุดท้ายเราเข้ารอบ 10 คน เราก็เข้าไปเซ็นสัญญา เป็นงานชิ้นแรกเลยค่ะ หลังจากที่ทำรายการสตรอเบอรี่ชีสเค้กอยู่ 2 ปี ก็ฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย

พอออกมาก็ได้มาเจอกับ พี่ “โกโก้ นิรุณ” ก็เซ็นสัญญาอยู่กับพี่เขา 5 ปี แน๊ตถ่ายโฆษณา ถ่ายหนังบ้าง เข้าปีที่ 4 พี่โก้ก็พาไปช่อง 3 พอเข้าไปแคสติ้ง อีกวันก็เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงช่อง 3 เลย ละครที่แน๊ตเล่นก็จะมีเรื่องพ่อครัวหัวป่า พ่อยุ่งลุงไม่ว่าง ปี่แก้วนางหงส์ รักลวงใจ และรักนิรันดร์จันทรา ปีนี้อาจมีละครรอเปิดด้วยค่ะ”

ดูเหมือนว่าเส้นทางงานบันเทิงของเธอจะสามารถสวมบทบาทได้ทั้งงานพิธีกร และการเป็นนักแสดง ซึ่งเธอยอมรับว่าแม้จะทำได้ทั้งสองอย่าง แต่สำหรับเธองานพิธีกรค่อนข้างยากกว่ามาก ขณะที่สิ่งที่ชอบมากที่สุด เธอกลับไม่ได้ทำ นั่นคือการร้องเพลง

“พิธีกรยากมาก พูดตรงๆ ก็ต้องประดิดประดอย แน๊ตจะเป็นผู้หญิงตรงๆ ห้าวๆ ไม่ใช่ผู้หญิงเรียบร้อยแน่ๆ เราก็เป็นตัวเองด้วย แต่การเป็นพิธีกรก็ทำให้เราพูดรู้เรื่องมากขึ้น จริงๆ ด้านงานละคร แน๊ตชอบมากกว่า แต่สิ่งที่ชอบมากที่สุดกลับไม่ได้ทำก็คือการร้องเพลง ชอบมาก อยากประกวดร้องเพลงมาก

เราชอบร้องเพลง คิดว่าร้องเพลงมาตลอด พอโตขึ้นมาก็ขอคุณพ่อไปเรียนร้องเพลง ด้วยความที่เป็นเด็กก็ไม่ตั้งใจเรียน ไม่มีสมาธิเลยในการเรียน เข้าไปก็เล่น คุยกับเพื่อน สุดท้ายการเรียนตก พ่อก็ให้เลิกเรียนร้องเพลง แต่ไม่เป็นไร แน๊ตก็ร้องของแน๊ตเอง รู้สึกว่าการคลายเครียดคือการร้องเพลง เป็นสิ่งที่ชอบที่สุด


 
ส่วนการแสดงเป็นอะไรที่มาเสริมมากกว่า การแสดงเราต้องเล่นให้ได้ทุกบท อย่างให้เล่นบทเรียบร้อย จะยากสำหรับแน๊ต เราไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นนางเอกเลยตั้งแต่เด็กๆ เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ ต้องเป็นบทที่เป็นแบบเรานี่แหละ มีอะไรจะเป็นคนพูดตรงๆ ไปเลย”

ด้วยความที่เธอเข้าสู่วงการบันเทิงและทำงานตั้งแต่เด็ก นี่ก็อาจปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอต้องสูญเสียชีวิตวัยเด็กไปอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาแทนที่ เธอให้คำตอบว่าคือประสบการณ์ที่หาไม่ได้ ซึ่งหากว่าย้อนเวลากลับไปได้อีกครั้ง เธอก็ยังคงเลือกที่จะมาอยู่ในเส้นทางนี้อยู่ดี

“สิ่งที่แน๊ตกลัว มันก็เกิดขึ้นจริงๆ คือ เราไม่มีเวลา เราอยากสนุก อยากอยู่บ้าน ดูหนัง ดูทีวี เราพลาดช่วงวัยเด็กไป ไม่ได้อยู่กับเพื่อนคนอื่

แต่ถามว่าเราได้อะไรจากการทำงานในวงการบันเทิง สำหรับสตรอเบอรี่ชีสเค้กทำให้แน๊ตมีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักว่าวงการบันเทิงควรพูด 3 คำให้ชินปาก คือ “สวัสดี ขอโทษ และขอบคุณ”

แน๊ตรู้สึกว่าคำนี้มันต้องอยู่ในสังคมจริงๆ ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ จะเด็ก หรืออายุเยอะแค่ไหน สอนให้เรามีความรับผิดชอบขึ้น เราอาจจะดูโตกว่าคนอื่นในโรงเรียน

ถามว่าพลาดไหมก็คงพลาดแหละ ความเต็มที่ในความเป็นเด็กมันหายไป แต่แลกกับประสบการณ์ ให้ย้อนเวลาไป เราก็ยังทำอยู่ เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น”

บ้านนี้ พ่อหวง แม่ดุ

“แน๊ตเริ่มดื้อมาตั้งแต่อนุบาล 2 เอาแต่ใจมาก เพราะอาจจะโดนตามใจตั้งแต่เด็กๆ เป็นหลานคนแรกด้วย จำได้ว่าได้ของเล่นเยอะมาก พอตอนนี้ก็คิดว่าเราโชคดีนะ น่าจะเป็นคนดีกว่านี้ รู้สึกผิดตรงที่ว่าที่บ้านก็ไม่ได้เลี้ยงเราแย่เลย แต่ชีวิตมาพลิกตอนที่พ่อเสีย”

แน๊ตตี้เปิดใจเล่าชีวิตวัยเด็กให้ฟังว่าเติบโตมาในครอบครัวที่ค่อนข้างเข้มงวด โดยมีคุณพ่อที่หวงลูกสาวสุดๆ และคุณแม่ที่ดุอยู่พอควร นี่จึงทำให้เธอไม่ค่อยสนิทกับพ่อสักเท่าไหร่ แต่จะชอบอยู่กับคุณตาและคุณยาย เพราะชอบตามใจ

“ที่จำความได้ แม่ดุมาก พ่อดุมาก แต่คนอื่นในครอบครัว ปู่ ย่า ตา ยาย ตามใจมาก มีความสุขมาก มีความรู้สึกว่าเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น ทางบ้านคุณพ่อ อย่างคุณปู่ คุณย่าจะเป็นคนจีน จะต่างกับทางคุณแม่มากที่เป็นคนไทย เราจะชอบอยู่ฝั่งคนไทยมากกว่า เพราะว่าเขาจะดูแลเราดีและใจดีด้วย

กับคุณพ่อ แน๊ตสนิทแค่ช่วงที่ทำรายการสตรอเบอรี่ชีสเค้กแค่นั้น เพราะคุณพ่อรับส่งตลอด เห่อลูกมาก ตอนแรกบอกไม่อยากให้ทำวงการบันเทิง แต่พอลูกติดรอบสุดท้ายเขาก็ดีใจมากเลยว่าเราทำได้”

แม้ความสนิทสนมระหว่างคุณพ่อกับลูกสาวจะไม่ได้แนบแน่นขนาดนั้น แต่เธอก็ซึมซับนิสัยบางอย่างของพ่อมาด้วยแบบไม่รู้ตัว อาจเพราะได้เห็นการทำงานของพ่อมาตั้งแต่เธอยังเล็ก สิ่งนี้จึงติดตัวเธอมาด้วยในช่วงวัยที่เติบโตขึ้น

“จริงๆ แน๊ตกับพ่อไม่ได้เหมือนกันขนาดนั้น แต่เป็นคนชอบทำอะไรคนเดียว พ่อกับแม่จะไม่ได้ตัวติดกัน พ่อจะเป็นคนทำอะไรด้วยตัวคนเดียวบ่อยมาก เป็นคนชอบกินข้าวแบบธรรมดาๆ ก๋วยเตี๋ยว ผัดกะเพรา อาหารอีสาน เราก็กินตาม เป็นคนง่ายๆ เหมือนพ่อ



แน๊ตตี้กับคุณพ่อ
 
แต่เวลาพ่อทำงาน เขาจะทำจริงจังมาก อย่างที่พ่อทำรองเท้ามาตลอดชีวิตของเขาเลย แน๊ตก็ชอบรองเท้าตั้งแต่เด็กๆ ก็ทำตามพ่อทุกอย่าง

ส่วนใหญ่แม่จะเลี้ยง พ่อจะทำงาน แต่ด้วยความที่พ่อเป็นคนดุ ถ้ามีเรื่องอะไรแล้วแม่ไปฟ้อง แน๊ตจะโดนตีทันที พ่อไม่ให้ไปไหนเลย ของเราพ่อต้องไปส่ง ตอนนั้นแม่ไปส่งลงตรงบีทีเอสก็ดีใจมากแล้ว ได้นั่งรถเมล์ก็ดีใจมากแล้ว (หัวเราะ)

ถามว่าเกี่ยวไหมที่เป็นครอบครัวทหารเลยเข้มงวด อาจจะเป็นอย่างนั้น คงใช่ค่ะ จะมีระเบียบนิดหนึ่ง แต่ที่บ้านเป็นครอบครัวเล็กๆ แม่ดุก็จริง แต่เป็นคนชิลล์ ส่วนใหญ่แน๊ตจะสนิทกับแม่มากกว่า มีอะไรจะเล่าให้แม่ฟังทุกเรื่อง”

ชีวิตดำเนินต่อไปจนกระทั่งมาถึงวันที่คุณพ่อต้องจากไปแบบไม่หวนกลับ จากตรงนี้ทำให้เธอต้องเติบโตขึ้นในฐานะที่เป็นลูกสาวคนโตของครอบครัว แม้เธอจะยอมรับว่าช่วงวัยเด็ก คุณพ่อจะเข้มงวดกับเธอไปบ้าง แต่ทั้งหมดที่พ่อทำก็เพราะความหวังดี ซึ่งในตอนนี้ทุกอย่างที่พ่อวางแผนเอาไว้ก็นำมาใช้ได้จริงในชีวิต

“ก่อนที่พ่อจะเสีย เราก็บอกพ่อว่าเราจะทำรองเท้าต่อจากพ่อนะ แต่พ่อยังไม่ได้เห็นเลย เราเรียนจบพ่อก็ยังไม่ได้เห็นเลย เรามารู้ว่าพ่อหวังดีกับเรามาก ให้เราไปเรียนภาษาจีนตั้งแต่เด็ก ให้เรียนภาษาอังกฤษ

พ่อจะเน้นเรื่องภาษากลายเป็นว่าตอนนี้ มันก็เป็นอย่างที่พ่อว่า แน๊ตเรียนภาษาจีนกลาง เราก็พอได้ ก็เพราะพ่อ ภาษาอังกฤษก็ได้ใช้จริงๆ หลังจากที่พ่อเสีย มีช่วงหนึ่งที่เราเสียใจจนไม่อยากคิดเรื่องพ่อ พยายามหาอย่างอื่นทำให้เข้มแข็งก็เจอคนเยอะแยะเลย มีเพื่อนจริงใจบ้าง ไม่จริงใจบ้าง ได้เห็นสังคมแบบเมืองจริงๆ

เรารู้สึกว่าที่ที่สบายใจที่สุดก็คือบ้านนี่แหละ ปีนี้แน๊ตอายุ 27 ปี ก็รู้สึกว่าจะต้องดูแลครอบครัวมากขึ้น รับผิดชอบมากขึ้น ต้องเปลี่ยนตัวเองนะ ต้องหาเงินให้ได้เยอะกว่านี้อีกเท่าหนึ่ง เพราะพ่อไม่อยู่แล้ว”

แน๊ตตี้กับคุณแม่
 
“ความรักที่ดี” ผู้หญิง-ผู้ชาย เท่าเทียมกัน!

“มีคนถามว่าทำไมไม่หาแฟนรวยๆ แน๊ตรู้สึกว่าบ้านเราก็ไม่ได้แย่ หรือถึงจะแย่ เราก็ต้องมีความรับผิดชอบสิ เธอเลี้ยงเรามื้อหนึ่ง เราก็ต้องขอบคุณเขาแล้ว ครั้งหน้าเราเลี้ยงอย่างอื่นนะ เราจะรู้สึกว่าให้เกียรติกันเถอะ ทำไมเราต้องรอให้ผู้ชายจ่ายด้วย ใครเป็นคนคิดกฎนี้”

หนึ่งในมุมมองเกี่ยวกับเรื่องความรักที่แน๊ตตี้เล่าให้เราฟัง คือเรื่องของความเท่าเทียมกัน เพราะต้องยอมรับว่ามีคนอีกหลายคนที่เข้าใจว่าผู้ชายต้องเป็นฝ่ายซับพอร์ตผู้หญิงอยู่เสมอ ซึ่งต่างกับเธอที่มองว่าผู้หญิงก็ควรแสดงน้ำใจคืนกลับไปด้วยเช่นกัน

“เพราะทุกคนต้องเท่ากัน แชร์กัน ไม่ได้เลี้ยงก็ไม่เป็นไร หรือสลับกันจ่าย บางครั้งเขายังจ่ายมากกว่าเราตั้งเยอะแล้วผู้หญิงก็ทำงานหาเงินได้เยอะเหมือนกัน

อย่างบางทีผู้ชายทำงานได้น้อยกว่า แล้วผู้ชายต้องมาจ่ายเหรอ คือทุกคนต้องเท่ากันหมด หาเงินได้เท่านี้ อยากไปกินอันนี้ คือตกลงไปกินด้วยกัน เราคบกันต้องช่วยกันทำให้ทุกอย่างดีขึ้น

ความรักที่ผ่านของแน๊ตจะเป็นคนไม่ค่อยมีดวงเรื่องความรัก แน๊ตเป็นคนเอาแต่ใจ ไม่ยอมใคร เป็นคนหวงแฟนมาก นิดหนึ่งก็ไม่ได้ เราเป็นคนที่ไม่โชคดีเรื่องความรักเลย ตั้งแต่อายุน้อยๆ อาจเป็นเพราะเราเอง เราคงอยู่กับใครไม่ได้ นิสัยเราที่เป็นแบบนี้ด้วย


 
เพราะแน๊ตคบกับคนที่อยู่ด้วยแล้วอึดอัดไม่ได้ เรายอมทะเลาะกันดีกว่าให้อยู่โดยไม่ทะเลาะเลย แต่ต้องเก็บกดเอาไว้ ยอมให้พูดมาเลยดีกว่า การทะเลาะก็ทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น แน๊ตพูดถึงคนทั่วๆ ไป ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ การเป็นตัวเองดีที่สุด เราไม่ต้องพยายามเปลี่ยน

ก่อนนี้มีดราม่าในไอจีว่ากับคนนี้ (ไฮโซแชมป์) เดี๋ยวก็เลิกกัน แน๊ตก็คิดว่าถ้าเข้ากันไม่ได้ก็ต้องเลิกไหมล่ะ ให้คบต่อเหรอ แน๊ตก็ไม่คบก็ถูกแล้ว หรืออย่างมาบอกว่าคนนี้ไม่ดีนะ อ๋อ เขาไม่ดีกับเธอใช่ไหม
แต่เข้าดีกับฉันในตอนนี้ เดี๋ยวถ้าเขาไม่ดีกับฉัน ฉันจะตัดสินใจเองนะ ถ้าเลิกกันก็เลิกแหละ แต่ตอนนี้ยังไม่เลิกค่ะ เราก็ต้องพูดตรง

ถามว่าคนแบบไหนที่อยู่กับเราได้ก็ต้องเป็นคนที่กล้าแสดงออกเหมือนกัน ไม่ต้องเป็นที่รู้จักก็ได้ เพราะเราก็ไม่ใช่คนสาธารณะขนาดนั้น เราไม่ชอบมีแฟนเป็นดารา ไม่เคยมีแฟนเป็นดาราเลย เราอยากให้แฟนเราเป็นผู้ชายทำงานเก่ง เป็นผู้ชายที่ใส่ใจ เสมอต้นเสมอปลาย พูดคำหยาบได้นะ ถ้าจริงใจ เราก็โอเค”

สุดท้าย เธอได้ฝากทิ้งท้ายถึงการรักษาความสัมพันธ์ให้ยืนยาวด้วยว่า การเป็นตัวของตัวเองดีสุด ไม่ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเป็นคนอื่น ที่สำคัญคือการยอมรับในตัวตนของกันและกันได้

“ต้องเหมือนเป็นเพื่อนกันได้ อย่างแรกเลยที่จะไปเป็น Long Relationship ได้ การที่เป็นตัวของตัวเอง เขายอมรับในตัวเรา เรายอมรับในตัวเขา ต้องเข้ากันได้ และรับกันได้ แน๊ตเชื่อว่าถ้าคนเรายอมรับซึ่งกันและกันได้ ไม่โกหก ไม่ปิดบัง คบกันได้ยาวแน่ๆ แน๊ตเชื่อว่าถ้ามันจะใช่ ยังไงก็ใช่

ถ้าเรายิ่งพยายามหา เราจะยิ่งพยายามทำตัวให้ดี พอทำตัวดีก็เหมือนไม่ใช่ตัวเรา ทำอะไรที่เยอะเกิน หรือน้อยเกินไป อย่าพยายามเป็นคนอื่น อย่าพยายามหา แน๊ตเชื่อว่ายิ่งหามีโอกาสเลิกเยอะมาก แน๊ตว่าการเจอกันอย่างบังเอิญ หรือไม่ได้ตั้งใจเป็นอะไรที่ดีมากๆ”








เรื่อง พิมพรรณ มีชัยศรี
ภาพ ปัญญพัฒน์ เข็มราช
ขอบคุณสถานที่ Britannica Brasserie





** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **



กำลังโหลดความคิดเห็น