ใจเย็นๆ ก่อนนะ! เหล่าโคนันโซเชียลฯ สังคมดึงสติ หลังกระแสคดี “โจรปล้นทอง” ความเห็นปั่นป่วนหลายทิศทาง เรื่องจริง-เรื่องปลอมพากันแชร์ส่งต่อ ขณะที่ล่าสุดคำแถลงการณ์จากทีมสืบสวนทำหงายเงิบ “ไม่ได้ใช้เหงื่อ-ไม่ใช่แพะ” เก็บเศษหน้าแทบไม่ทัน ย้ำ ฟังจากปากเจ้าหน้าที่ดีที่สุด
1. คนร้ายเป็นทหาร-ต่างชาติ
“ปล้นร้านทองลพบุรีเป็นการก่อการร้าย ไม่ใช่โจรธรรมดา”
ข้อความในเฟซบุ๊ก “สุทิน วรรณบวร” อดีตผู้สื่อข่าวประจำสำนักข่าวต่างประเทศ วิเคราะห์กรณีโจรปล้นร้านทองในช่วงวันแรกๆ ที่เกิดเหตุสะเทือนใจ โดยได้เผยข้อสันนิษฐานไว้ว่า อาวุธที่ใช้เป็นปืนเก็บเสียงที่ไม่มีใช้ในหมู่โจรทั่วไป แถมลักษณะกราดยิงยังเป็นการยิงแบบไม่มีเป้าหมายอยู่ที่คนใดคนหนึ่ง และยิงอย่างเลือดเย็น
พฤติกรรมการทำร้ายแสดงให้เห็นว่าได้รับการฝึกใช้อาวุธมาอย่างดี ที่สำคัญไม่น่าจะใช่คนไทย ซึ่งมีข้อสันนิษฐานสอดคล้องกับผู้คนในสังคมออนไลน์จำนวนมากว่ามีรูปร่างสูงใหญ่ดูไม่ใช่คนเอเชีย
แต่หลังจากที่มีประกาศออกมาว่าทราบตัวและจับกุมคนร้ายได้สำเร็จก็ทำเอาสังคมช็อกไปตามๆ กัน เพราะหลังจากเปิดเผยประวัติออกมาแล้วนั้นเป็นคุณครูที่มีดีกรีถึงผู้อำนวยการโรงเรียน ไม่ได้เป็นทหาร หรือคนต่างชาติแต่อย่างใด
ขณะที่เจ้าตัวผู้ก่อเหตุได้ออกมาตอบคำถามเรื่องการยิงเหยื่อจนเสียชีวิตว่า “ตั้งใจยิงเพื่อเปิดทาง ไม่ให้ใครเข้ามาใกล้เรา แต่กระสุนพลาดไปโดนเด็ก ซึ่งกระสุนที่ยิง รปภ.ไปแล้ว กระสุนพลาดไป”
“คนร้ายปิดบังใบหน้าและใส่ถุงมือมิดชิดทำให้ไม่มีรอยนิ้วมือ แต่ตอนที่ขึ้นไปยืนบนตู้ทองและทุบตู้ เพื่อกวาดทองออกมา เหงื่อของคนร้ายหยดลงบนตู้ และยังมีเหงื่อติดอยู่ที่ประตูทางออกของห้าง ตอนที่คนร้ายกระแทกประตูให้เปิดออก เจ้าหน้าที่คงเก็บหลักฐานจากเหงื่อไปพิสูจน์ DNA”
อีกหนึ่งข้อสันนิษฐานที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ เกี่ยวกับการเทียบ DNA จากหยดเหงื่อ จนเกิดเป็นกระแสพูดถึงหนักมากในสังคมออนไลน์ จากเหตุการณ์ที่คนร้ายกระแทกประตูห้างเพื่อหลบหนี จึงทำให้มีคราบเหงื่อของคนร้ายติดอยู่
สอดคล้องกับเพจดัง “Drama-addict” เองได้ออกมาให้ความรู้เรื่องนี้ด้วยว่าสามารถทำได้ โดยใช้เหงื่อในการตรวจหาตัวตนของผู้ต้องหาที่ทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุ ซึ่งเวลาที่เหงื่อออก นอกจากน้ำ เกลือแร่แล้ว จะมีเซลล์ผิวหนังติดออกมาด้วย จึงสามารถนำเซลล์ผิวหนังไปตรวจหา DNA ได้
ขณะที่ผลการแถลงข่าว จาก “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” รอง ผบ.ตร. ได้ออกมาตอบความสงสัยต่อสังคมแล้วว่าไม่ได้มีการใช้เหงื่อแต่อย่างใด จากตรงนี้ทำเอานักสืบโซเชียลฯ ที่มั่นใจการจับคนร้ายด้วยเหงื่อทั้งหลาย ต้องหน้าเสียไปตามๆ กัน
“รายละเอียดมีนะครับ เพียงแต่ว่าที่เป็นเหงื่อตรงนี้ไม่ใช่นะครับ ผมตัดปัญหาไปที่คนพูดเรื่องเหงื่อกัน ไม่มีนะครับ การเก็บหลักฐานต่างๆ ในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ทำละเอียดหมด แต่ที่พูดกันว่าจากเหงื่อ ผมขออนุญาตพูดว่าไม่มี ไม่มีแบบนั้น”
3. ปล้นเพราะท้าทาย เบื่อชีวิต อยากตาย
ถือว่ายังเป็นเรื่องที่สังคมแคลงใจสำหรับมูลเหตุที่คนร้ายใช้ก่อเหตุสะเทือนขวัญครั้งนี้ จึงทำให้มีการแสดงความคิดเห็นและคาดเดากันไปต่างๆ นานาว่า เหตุจูงใจเกิดจากความต้องการลองวิชาด้านการยิงปืน เนื่องจากคนร้ายชื่นชอบการยิงปืนด้วยหรือไม่ บ้างก็ว่าเกิดจากปัญหาส่วนตัวถึงขั้นอยากตายจึงก่อเหตุเพื่อให้ตำรวจวิสามัญ
แน่นอนว่ามูลเหตุที่โซเชียลฯ สันนิษฐานกันนั้นได้กระจายออกไปในวงกว้าง จนกระทั่งล่าสุดในคำแถลงการณ์จากผู้ต้องหาเองได้ออกมาตอบคำถามต่อเรื่อง ก่อเหตุเพราะอยากตายแล้วว่า “ยืนยันว่าไม่จริง ไม่ได้เป็นไปตามข่าวลือแต่อย่างใด”
ขณะที่ “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” รอง ผบ.ตร. ได้ยืนยันเรื่องนี้เพิ่มเติมว่าให้การกระทำเป็นตัววัดเจตนา เนื่องจากผู้ต้องหามีการยิงผู้อื่นจนเสียชีวิต ปล้นทองและนำไปซุกซ่อน นี่จึงเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าก่อเหตุเพราะประสงค์ต่อทรัพย์
“ตำรวจยืนยันตามกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา การที่เขาเข้าไปเอาปืนยิงคนตาย เอาทองไปเก็บ ไปซุกซ่อน เราก็ฟันธงเลยว่าเขาเจตนาฆ่า เจตนาชิงทรัพย์ ส่วนที่อ้างอะไรก็เป็นเรื่องของผู้ต้องหา ขอให้ชัดเจนว่าเราตั้งข้อหาตามการกระทำ ไม่ได้ตั้งข้อหาเพราะว่าผู้ต้องหาพูดว่าอะไร ตอนนี้รับสารภาพทุกข้อหา
ผมเรียนแล้วว่าเราฟันธงตามกรรม เขาเดินเข้าไปยิงคนตาย เอาทองไป ไปซุก แต่ถ้าจะบอกว่าอยากฆ่าตัวตาย มันก็เรื่องหนึ่งนะครับ ท่านลองชั่งน้ำหนักกันดู สมมุตมีข่าวจริงเท็จไม่รู้นะบอกว่าอยากฆ่าตัวตาย เราไม่ได้ฟังตรงนั้น
เราต้องฟันธงเรื่องประสงค์ต่อทรัพย์ครับ ไม่มีเรื่องอื่น มูลเหตุเขาประสงค์ต่อทรัพย์ ส่วนจะเป็นเหตุเจตนาจากนั้นไปอยู่ในสำนวน”
4. บ้านรวย การงานดี “จับแพะ” แน่ๆ
“ข่าวออกมาว่าจับได้แล้ว รอดูอยู่เหมือนกันว่าเป็นตัวจริงหรือเปล่า กลัวจับแพะอยู่นะเพราะเป็นคดีที่หลายคนจับตามอง”
“พ่อคนร้ายเป็นถึงตำรวจ แม่เป็นครู ผู้ก่อเหตุเองก็เป็นครู เป็นถึง ผอ.โรงเรียนเลยด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะฆ่าคนได้โหดร้ายขนาดนี้ เขาเองก็สอนเด็กๆ ต้องอยู่กับนักเรียนทำไมถึงฆ่าคนได้”
ทันทีที่มีการประกาศออกมาว่าจับตัวผู้ร้ายปล้นร้านทองได้แล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือการตั้งคำถามของสังคมเวลานั้นต่อการจับกุมตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีทิศทางไปในทางเดียวกันว่า “จับแพะ” หรือไม่
กระทั่งการสืบค้นฐานะทางบ้านของผู้ก่อเหตุจากนับสืบโซเชียลฯ ว่ามีฐานะการงานดีเป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียน ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทองจนทำให้เกิดคำถามว่าใช่คนร้ายตัวจริงหรือไม่นั้น
ด้าน “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” รอง ผบ.ตร. ได้ออกมาแจงว่าตามวัตถุพยานและหลักฐานต่างๆ มีความเชื่อมโยงไปสู่การจับกุมผู้ต้องสงสัยรายนี้เป็นที่แน่ชัด
“เป็นเบาะแสในสำนวนนะครับ อย่างที่ทางกองปราบฯ ชี้แจงว่าได้รับข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูล ประกอบกับการสังเคราะห์วัตถุพยานต่างๆ ที่หน่วยต่างๆ ร่วมกันก็มีความเชื่อมโยงกัน และมีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ด้วยก็เป็นเหตุให้ออกหมายจับ”
สอดคล้องกับ “พล.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมาตอบคำถามเรื่องการจับผิดตัวด้วยว่า “ถ้าจับแพะ พวกผมไม่รู้จะยืนอยู่ที่ไหนในสังคม”
กลายเป็นเรื่องราวตลกร้าย หลังศิษย์เก่าและนักเรียนออกโรงมาปกป้องผู้อำนวยการโรงเรียนของตน ซึ่งถูกสังคมเข้าใจผิดคิดว่าเป็นโจรปล้นร้านทอง เนื่องจากกระแสข่าวในช่วงแรกๆ มีการระบุว่าผู้ต้องหาเป็น ผอ.โรงเรียนสิงห์บุรี ซึ่งที่จริงคือ ผอ.โรงเรียนแห่งหนึ่งของ จ.สิงห์บุรี
เรื่องนี้ทำเอาบรรดาเด็กนักเรียนต้องออกมาเรียกสติโลกออนไลน์ด้วยแฮชแท็ก #Saveปราโมทย์ แถมยังมีการเขียนข้อความปนตลกไว้ด้วยว่า ผอ.ฉันเป็นคนดี ชอบสวดมนต์และเดินเก็บขยะ ชอบแจกผ้ายันต์ที่มีคาถามงกุฎพระพุทธเจ้าให้แก่นักเรียนอีกด้วย
อีกทั้งอาวุธประจำตัวมีเพียงจักรยานคันหนึ่ง และจะชอบปั่นจักรยานไปทักทายนักเรียนเป็นประจำ จนทำให้แฮชแท็กนี้ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 ในโลกทวิตเตอร์เป็นที่เรียบร้อย
6. ยิงซ้ำเพราะสัมพันธ์ชู้สาว
หลังจากที่มีภาพหลุดคล้ายบทสนทนาของคนวงใน โดยมีใจความสำคัญระบุไว้ว่า “โจรปล้นร้านทองเป็น ผอ.โรงเรียนที่สิงห์บุรี ตั้งใจไปยิงสาวร้านทองที่เป็นภรรยาเก่า แต่แกล้งปล้นร้านทองเบี่ยงประเด็น” เปิดเผยออกมานั้น จึงทำให้นักสืบออนไลน์พากันตีข่าวและแชร์ต่อไปในวงกว้าง
โดยให้ความเห็นกันว่า ผอ.ผู้ก่อเหตุนั้นเคยคบหากับ “กวาง” พนักงานร้านทองที่ถูกยิงถึง 4 นัดจนเสียชีวิต แต่เลิกรากันไปก่อนที่จะไปคบหา และแต่งงานใหม่กับครูสาว
ล่าสุด “ร.อ.สุรกิต ทองทิพย์” พ่อของกวาง ได้ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ว่า ตนดีใจที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคนร้ายได้แล้ว แต่โดยส่วนตัวแล้วไม่เคยเห็นคนร้ายรายนี้มาก่อนเลย
“หลังจากที่จับได้ก็มีกระแสในโซเชียลฯ ว่าผู้ก่อเหตุเคยคบหากับลูกสาว ขอยืนยันเลยว่าลูกสาวไม่เคยคบกับคนๆ นี้ และทางครอบครัวก็ไม่เคยเห็นหน้า ไม่รู้จักมาก่อน ยืนยันว่าการก่อเหตุครั้งนี้ตัดเรื่องชู้สาวไปได้เลย”
7. ครอบครัวสมรู้ร่วมคิด
อีกหนึ่งข้อสันนิษฐานที่นักสืบโซเชียลฯ กระพือข่าวกันออกไป นั่นคือความน่าสงสัยเกี่ยวกับครอบครัวผู้ก่อเหตุ สืบเนื่องจากการพบทองที่ซุกซ่อนไว้ที่บ้านของพ่อผู้ต้องหา รวมถึงปืนที่ให้ก่อเหตุปล้นร้านทองก็ยังเป็นปืนของพ่อ และรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งเป็นรถของพ่อตา
จากตรงนี้ทำให้สังคมออนไลน์พากันฟันธงไปแล้วว่าต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิดอย่างแน่นอน เป็นไปได้จริงหรือที่ครอบครัวและคนใกล้ชิดจะไม่ทราบข่าว หรือพาหนะ-อาวุธที่ใช้ก่อเหตุ ทั้งที่เป็นข่าวใหญ่ครึกโครมถึงเพียงนี้
เรื่องนี้ “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” รอง ผบ.ตร. แถลงการณ์ในคดีปล้นร้านทองว่า ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานว่ามีคนอื่นประกอบ รวมถึงการสอบสวนก็ยังไม่พบ แต่เรื่องยังไม่จบแค่นี้
“ถึงวันนี้เรายังไม่พบว่าพ่อเกี่ยวข้องหรือเปล่า เรื่องปืนต้องเรียนตามตรงนะครับข้อมูลปืน CZ รุ่น SP100 ที่เข้ามาในไทยมีกว่าแสนกระบอก ซึ่งเป็นตัวเลขจากโรงงานที่ส่งเข้ามา รุ่นนี้มีเป็นพัน ฉะนั้น การจะตรวจสอบต้องมีเหตุพอสมควร ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ จะไปเที่ยวจิ้มใครเอามาตรวจก็คงไม่ได้ แต่ก็อยู่ในรายการอยู่แล้ว”
ขณะที่ผู้ก่อเหตุได้ให้สารภาพว่า “มีความคิดอยากมอบตัว แต่ไม่ได้ปรึกษาใคร เพราะทำคนเดียว จึงไม่ได้ปรึกษาใคร โดยคิดไว้ว่าหลังวันที่ 24 จะมอบตัว เนื่องจากมีภารกิจที่ ร.ร. จึงต้องเป็นวันดังกล่าว”
อย่างไรก็ตาม “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” รอง ผบ.ตร. ได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญเรื่องคำให้การของผู้ต้องหาด้วยว่าต้องแยกออกจากหลักฐาน เพราะคำสารภาพของผู้ต้องหาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด
“คำให้การของผู้ต้องหานั้น ต้องแยกคำให้การกับหลักฐานออกจากกัน คำพูดเรื่องเหตุจูงใจจะเกิดจากอะไรจริงเท็จยังไม่ทราบ คำพูดเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ เป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหา แต่ตำรวจยืนยันตามกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา”
ข่าวโดย MGR Live
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **