xs
xsm
sm
md
lg

“เรียนน้อย – มีรอยสัก” ไม่ใช่เหตุผลที่จะไม่ประสบความสำเร็จ เจาะใจ “แชมป์ลาเต้อาร์ตไทย” 2 สมัย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“อยากเป็นผู้หญิงคนนั้นที่มีรอยสักแล้วไปยืนถือโทรฟี่เท่ๆ ได้แชมป์โลก” เปิดใจบาริสต้าสาว จากชีวิตติดลบ จบชั้น ป.6 ต้องทำงานหนักตั้งแต่เป็นเด็กหญิง แถมโดนดูถูกสารพัด สู่แชมป์ไทยแลนด์ลาเต้อาร์ต 2 สมัยซ้อนอย่างสง่างาม วางเป้าหมายต่อไปคือการเป็นแชมป์โลก พิสูจน์ตัวเอง

แม่บ้าน-เด็กปั๊ม-สาวเชียร์เบียร์ สู่ “บาริสต้า”

“พอเราไม่ได้เรียนแล้วก็ทำงาน อยากได้เงิน เราจะได้เอาเงินนั้นมาซื้ออะไรที่อยากได้ งานอะไรก็ได้ที่ได้เงิน ทำไปเรื่อยตั้งแต่แม่บ้าน เด็กปั๊ม แคชเชียร์ เด็กเสิร์ฟ เชียร์เบียร์ เสมียน สาวโรงงาน ทำมาหมด ชอบก็ทำนานหน่อย ไม่ชอบก็เปลี่ยนไปเรื่อย”

สาวมาดเท่ ผมดำยาวสลวย ผู้อยู่เบื้องหน้าทีมข่าว MGR Live คือ “รี่ - ณัฏฐินี เจียรนันท์” วัย 30 ปี ด้วยรอยสักทั่วทั้งแขน 2 ข้าง หากมองภายนอกคนส่วนใหญ่อาจคิดว่าเธอเป็นช่างสักหรือไม่ก็คงร็อกเกอร์สาวเป็นแน่ แต่ความจริงแล้ว เธอคือนักทำลาเต้อาร์ตมือฉมัง ที่ใช้เวลาเพียงแค่ 4 ปี ก็สามารถคว้าแชมป์ Thailand National Latte Art Championship ปี 2019 และ 2020 ติดกัน 2 สมัยซ้อน รวมถึงเป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขันลาเต้อาร์ตชิงแชมป์โลกอีกด้วย

ทว่า... เรื่องราวชีวิตของเธอนั้น ไม่ได้นุ่มนวลหวานมันเหมือนลาเต้อาร์ตที่บรรจงสร้าง กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และต่อชั้นมัธยม 1 ไปได้เพียงกลางเทอม เธอก็ตัดสินใจหันหลังให้กับการเรียน ด้วยเพราะไม่ใช่ครอบครัวที่มีฐานะ จึงเลือกมาทุ่มเทกับการทำงานหาเลี้ยงตนเองตั้งแต่คำนำหน้าชื่อยังใช้เด็กหญิง ซึ่งอาจเปรียบได้ว่า ชีวิตของเธอเหมือนกับรสชาติเอสเพรสโซ่ช็อต ที่ทั้งขม เข้ม และแสนจะสตรอง!!!



“ตอนนี้รี่เป็นพนักงานอยู่บริษัท UCC&K2 อยู่ที่หน้าบาร์ของบริษัทค่ะ คอยทำเครื่องดื่มขายด้วย แล้วก็บริการให้กับลูกค้าที่มาติดต่อบริษัทค่ะ พ่อเสียชีวิตตั้งแต่รี่ยังเด็ก แม่ก็มีครอบครัวใหม่ ก็อยู่กับย่าตั้งแต่เล็กจนโต ย่าเลี้ยงมา เริ่มทำงานตั้งแต่ตอนที่ไม่ได้เรียนค่ะ

จริงๆ ตัดสินใจเรียนนะคะ ตอนนั้นพอเราทำงานได้เราก็คิดว่า มันจะต้องใช้วุฒิการศึกษา งานที่พูดมาคือไม่ได้ใช้วุฒิไง เราก็เลยทำได้ แค่เราอยากทำงานที่ดีขึ้นมาหน่อยนึง ก็เริ่มเรียน กศน. พอวันเสาร์-อาทิตย์ที่ต้องไปเรียน เรารู้สึกว่าเราเสียดายช่วงเวลา อยากทำงานมากกว่า

ถ้าเราเป็นเด็กเสิร์ฟ เสาร์-อาทิตย์ เป็นวันที่เราน่าจะหาเงินหรือหาทิปได้เยอะ ตั้งใจเรียนได้ประมาณ 2 ครั้งแล้วก็ไม่ได้เรียนเลย จริงๆ ก็เสียดาย ถ้าย้อนเวลาไปได้จะตั้งใจเรียนให้จบ ให้เป็นเรื่องเป็นราว เสียดายที่สุดในชีวิตก็คงจะเป็นเรื่องเรียน


สุดภูมิใจ แชมป์ประเทศไทย 2 สมัยติดต่อกัน

หลังจากที่คุณย่าผู้เปรียบได้กับแม่คนที่ 2 เสียชีวิต ตั้งแต่นั้นรี่ก็ต้องใช้ชีวิตตามลำพังมาตลอด แม้จะเหนื่อยแต่ก็หยุดพักไม่ได้ เพราะทุกอย่างในการดำรงชีวิตต้องใช้เงินแลกมา

“คุณย่าเสียไปค่อนข้างที่จะนานหลายปีแล้ว รี่ถึงจะมาทำกาแฟ ใช้ชีวิตคนเดียวมาตลอด ตัดสินใจเอง ทำอะไรเองทุกอย่าง ทำงานทุกวัน ด้วยความเป็นวัยรุ่น ถามว่าเหนื่อยมั้ย รี่ว่ายังไม่เหนื่อยค่ะ อยากได้เงินมากกว่า ตรงนั้นมันยังไม่เหนื่อย ไม่ท้อ ไม่คิดอะไรเลย ทำไปก่อนๆ ทุกอย่างที่เราอยากได้มันมาเราต้องใช้เงินซื้อ เราไม่มีพ่อแม่ ย่าก็ให้แต่ไม่ได้ให้ได้ทุกอย่าง ไม่ได้เป็นบ้านที่มีเงิน คือที่รี่คิดแต่ว่าหาเงิน เอาเงินเป็นที่ตั้ง ฉันจะต้องทำงานนะ ฉันจะต้องได้เงิน

โชคดีที่ยังอยู่ในยุคที่ย่าสอนเกี่ยวกับวัฒนธรรมเก่าๆ ที่ดี ที่ควรจะทำตัวยังไงบ้าง ไม่ควรทำตัวยังไงบ้าง ทำให้คนรักเรานะ ไม่ทำอะไรที่มันไม่ดีต่อสังคมหรืออะไรก็แล้วแต่ ย่าสอนให้รักตัวเอง ทุกเรื่องค่ะ ไม่ว่าจะเรื่องการใช้ชีวิต เรื่องผู้ชาย เรื่องแฟน เรื่องเงิน ย่าก็จะสอนหมด”


“ลาเต้อาร์ตมันทำให้เราเปลี่ยนจริงๆ”

ชีวิตรี่ค่อนข้างเปลี่ยน ตั้งแต่ก่อนที่จะได้แชมป์ รี่เป็นคนไม่ค่อยรู้จักใครเลย แต่พอรี่มาทำกาแฟ เราได้รู้จักคนในวงการกาแฟมากขึ้น แล้วเขาพร้อมที่จะแชร์ประสบการณ์ให้เรา รี่โชคดีที่เจอคนดีๆ เข้ามา พร้อมที่จะช่วยเหลือเรา เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากๆ เลย หลังจากนั้นมันก็คือประสบการณ์แล้ว ว่าเราทำดีขึ้นๆ เราก็จะยิ่งพัฒนา ทำให้เรามีกำลังใจและทำให้มันดีต่อไป

ที่เห็นชัดๆ มันเหมือนกับ... รี่ไม่ได้ว่าตัวเองนะคะ ไม่ได้ว่าใครด้วย เหมือนเราเป็นเหมือนขยะ เป็นคนคนนึงที่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรต่อโลกใบนี้ ไม่ได้มีประโยชน์อะไรต่อประเทศไทย หรือประโยชน์ต่อคนอื่นๆ เลย แต่พอทำตรงนี้ได้ปุ๊บ เหมือนกับว่าเป็นกำลังใจให้กับคนที่เขากำลังสู้

รี่ไม่รู้มาก่อนเลยจริงๆ ชีวิตของเราที่เคยเล่าผ่านไปแล้วมีคนรู้ เขาบอก เฮ้ย...ทำไมน้องสู้ขนาดนี้ รี่ก็ตกใจนะ คนอื่นๆ เขาก็คงลำบากกว่านี้เหมือนกันมั้ย รี่ไม่เคยคิดว่าชีวิตตัวเองต้องลำบากมากๆ ตอนนั้น รี่คิดแค่หาเงินๆ จะทำยังไง ก็ต้องหาเงิน ไม่งั้นจะเอาที่ไหนกิน ทำไมชีวิตลำบากขนาดนี้ รี่ไม่เคยคิด

พอเวลาคนรู้จักเรามากขึ้น เห็นเราแล้วมีกำลังใจมากขึ้น ลาเต้อาร์ตมันทำให้เราเปลี่ยนจริงๆ จากที่เราเป็นเด็กไม่มีอะไรเลย กลายเป็นว่าเราเป็นไอดอลให้กับคนอื่นได้บ้างแล้ว เป็นแรงบันดาลใจให้คนทำลาเต้อาร์ตหรือใช้ชีวิตไม่ให้ท้อแท้ รี่ก็ดีใจจริงๆ


ฝึกหนัก หมดนมวันละ 10 ลิตร!!

อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น กว่าที่ชื่อของ รี่ ณัฏฐินี จะเป็นที่รู้จักในวงการกาแฟอย่างในปัจจุบัน เธอต้องผ่านการทำงานมาแล้วมากมายหลายอาชีพ จนมาถึงจุดเปลี่ยนคือการได้มีโอกาสทำกาแฟ จากการชักชวนของเพื่อน แต่ในตอนนั้น เธอยังไม่เคยได้ยินชื่อหรือรู้จักศิลปะบนแก้วกาแฟที่เรียกว่า “ลาเต้อาร์ต” แม้แต่น้อย

“ตอนนั้นออกจากที่อื่นมาเรื่อยๆ ก็เริ่มมาทำงานกับเพื่อน เป็นร้านกาแฟในมหาวิทยาลัย รี่เป็นคนชอบทำอาหาร ชอบทำขนม แต่ไม่ได้หมายความว่าทำเก่ง แล้วเราไม่เคยทำงานนี้ อยากลองทำดู น่าสนุก เรากินกาแฟอยู่แล้วด้วย เพื่อนก็สอนทำ แต่ยังไม่ได้ทำลาเต้อาร์ตนะคะ ตอนนั้นยังไม่รู้จักเลย

แล้วมีร้านอาหารที่จะเปิด เขาก็รับตำแหน่งบาร์น้ำ ทำขนม ทำเครื่องดื่ม ซึ่งเรามีประสบการณ์มานิดนึงแล้วเลยไปสมัคร พอทำงานที่ร้านนี้ได้ซักพัก เราก็พอมีเวลาดูยูทูป ก็เห็น “พี่ต๋อง - อานนท์ ธิติประเสริฐ” ที่เป็นแชมป์โลก เป็นคลิปการแข่งชิงแชมป์โลก เห็นแล้วมันเท่จังเลย นี่คือลาเต้อาร์ต ครั้งแรกที่ได้เห็นเลย ทำเป็นลวดลาย ได้แข่งด้วย รี่ก็เลยลองทำเพราะมีเครื่องกาแฟอยู่แล้ว


ร่วมเฟรมกับไอดอล "ต๋อง อานนท์" แชมป์โลกลาเต้อาร์ตชาวไทย

ลองทำเลย สตรีมนมเป็นฟูๆ หนาๆ ไม่รู้เนอะว่าทำยังไง ไม่ประสบความสำเร็จ รสชาติก็ไม่ได้ด้วย มันไม่ได้เหมือนที่เห็น เราเห็นที่เขาทำเป็นรูปอลังการมาก แต่สิ่งที่ทำออกมาได้จริงๆ หัวใจเล็กๆ ซักดวงยังไม่สำเร็จเลย เพราะลาเต้อาร์ตมันมีองค์ประกอบหลายอย่างที่เราไม่รู้ในตอนแรก นั่นแหละเป็นสิ่งที่เราสนใจ เพราะมันยากแล้วจะทำยังไงให้ได้ ก็เริ่มเสิร์ชหาข้อมูลเลยค่ะว่าที่ไหนรับสอนบ้าง แล้วก็เริ่มไปเรียน”

จากคลิปวิดีโอที่บังเอิญเจอบนยูทูปเพียงคลิปเดียว แต่ทำให้ชีวิตของรี่เปลี่ยนไปทันที หลังจากลองผิดทำเองอยู่ 1-2 วัน ก็คิดได้ว่าไม่ควรปล่อยให้เวลาเสียไปอย่างสูญเปล่า เธอจึงค้นหาคอร์สสอนทำลาเต้อาร์ตทันที และใช้เงินเดือนทั้งหมดไปกับส่วนผสมในการฝึกทำลาเต้อาร์ต

“รี่เรียนเบสิกลาเต้อาร์ตกับ “พี่ผึ้ง - สุกาญจน์มณี คนกล้า” แต่สามารถถามเทคนิคพี่เขาได้ตลอด หลังจากที่เรียนมาคือทำได้เลย เราเรียนมาแล้วแค่ 1 วัน พอกลับมาสตรีมนมประมาณนี้ ช็อตกาแฟประมาณนี้ พอเทได้แล้วชิม โอเค นี่คือสำเร็จแล้ว ณ จุดที่ทำไม่ได้เลย นับตั้งแต่วันที่เรียนจนถึงวันนี้ 4 ปีกว่าแล้วค่ะ

จริงๆ กลับมาถึงทำได้เลย แล้วถ้าเกิดถามว่าให้มันสำเร็จเป็นลวดลาย ใช้เวลาค่อนข้างนาน รี่ฝึกทุกวันเริ่มจากนม 5 แกลลอน แกลลอนละ 2 ลิตร ก็ตกวันละ 10 ลิตรอย่างน้อย ส่วนใหญ่ชงเสร็จจะกรอกใส่แกลลอนเพราะว่ากินไม่ไหวแน่นอน 1 แกลลอนเทได้เป็นสิบๆ แก้ว เราก็จะกรอกแล้วเอาใส่ตู้เย็นไว้แจกคนค่ะ



ตอนนั้นรี่ได้เงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 12,000 - 15,000 เงินเดือนทั้งหมดไม่พอด้วยซ้ำ แต่พี่ผู้จัดการร้านเขาก็ช่วยรูดให้ก่อน พอเงินเดือนออกเราก็ไปจ่ายพี่เขา ชีวิตตอนนั้นไม่ต้องรับผิดชอบอะไรนอกจากชีวิตตัวเอง เราก็เลยมีเงินไปลงตรงนี้ อยากทำให้ได้ คิดแค่นี้เลย พอดีว่าที่ร้านมีข้าวให้กิน ไม่ได้ซื้ออะไรเลยในชีวิต จะเอาลาเต้อาร์ตให้ได้ก่อน

ช่วงที่อยู่ร้านอาหารยังไม่ได้เป็นลวดลายที่เหมือนทุกวันนี้ค่ะ แต่ก็ถือว่ามีความยากระดับนึงแล้ว ปกติเบสิกที่เรารู้กันก็จะมีหัวใจ ทิวลิป และใบไม้ แต่เราจะทำเบสิกให้มันเพอร์เฟกต์ ให้มันดูว้าว ไม่มีที่ติ ใช้เวลาอยู่ซักพักนึงเหมือนกัน แต่ว่าก็ทำได้ ฝึกลายประมาณนั้นมาเรื่อยๆ แล้วก็ต่อยอด เริ่มมีลายที่ยากขึ้น เราก็จะเริ่มทำมาเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ได้เริ่ม ไม่ได้สัมผัส ไม่ได้หลงเสน่ห์ เราจะไม่รู้เลย พอเรารู้เราได้เห็น ได้กลิ่นของกาแฟ มันน่าสนใจ ทำให้เราต่อยอดไปได้เรื่อยๆ”

เมื่อถามว่า เพราะเหตุใดจึงเลือกเบนเข็มเส้นทางมาที่ลาเต้อาร์ตอย่างจริงจัง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เปลี่ยนงานมาแล้วก็มาก เธอตอบว่า เพราะความยากที่อัดแน่นอยู่ในแก้วกาแฟ ทำให้คนที่ชื่นชอบความท้าทายอย่างเธอหลงรักมันเข้าอย่างจัง



“แรกเริ่มที่คิดแวบขึ้นมาก็คือ ยาก แต่ในใจตอนนั้นรี่คิดว่ารี่ทำได้ มองพี่ต๋องแล้วพี่เขาทำได้ เราไม่รู้มาก่อนว่าพี่เขาฝึกมานานแค่ไหน เห็นพี่เขาทำได้ เราต้องทำได้ ไม่เหมือนก็ใกล้เคียงแหละ คิดแค่นี้ เราก็เลยพุ่งไป แล้วยิ่งบวกสิ่งที่เรามองว่าคนอื่นยังทำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ก็เลยคิดว่า เฮ้ย...ฉันทำได้ มันเป็นความเชื่อมาตั้งแต่แรก ก็เลยทำให้เราลุย แล้วก็สู้มาตลอด

รี่ไม่เคยพูดนะว่าเรารักกาแฟนะ เรารักลาเต้อาร์ตนะ ไม่เคยพูดเลย แต่เรารู้สึกในใจว่าถ้าเราไม่รักหรือไม่ชอบ เราคงไม่ทำมันมาขนาดนี้ ตั้งใจกับมันขนาดนี้ รี่แค่มีเป้าหมาย อยากทำให้ได้ เหมือนกับว่ายิ่งอะไรที่คนทำไม่ค่อยได้ อาจจะมีคนทำได้แต่เราไม่รู้ แต่ว่ามันไม่ได้เป็นคนส่วนมากที่ทำได้ รี่มองว่าอันนี้ยาก

พูดถึงลาเต้อาร์ตแล้วได้อะไรบ้าง หลักๆ เลยที่ได้คือความอดทน ไม่ใช่รี่พูดว่าฝึกเยอะๆ ทำแล้วก็จบ ในทุกแก้วรี่ต้องดูว่าเป้าหมายของรี่อยากทำให้มันเป็นแบบไหน แก้วนี้ขาดอะไร เทใหม่ปุ๊บ ตรงนี้ได้แล้วแต่ตรงนี้ยังไม่ได้อีก มันจะเป็นอยู่แบบนี้ ความอดทนสำคัญมากๆ อดทนแล้วตั้งใจกับมันจริงๆ มันทำให้เรารู้ว่าพอมันสำเร็จได้ มันจะยิ่งดีใจในสิ่งที่เราตั้งใจทำมันมา”

แชมป์ไทย 2 สมัยซ้อนสู่เวทีโลก

“หลังจากที่เรียนกับพี่ผึ้ง 2 เดือนก็ลงแข่งเลย รายการแรกแข่งที่บ้านพี่ผึ้ง อยากรู้ความรู้สึกว่าลงแข่งมันเป็นยังไง พอแข่งครั้งแรกก็ได้ที่ 2 ก็โห...เราไม่รู้อะไรเลย แต่ตอนนั้นเหมือนเราคุมจิตใจ กำหนดตัวเองได้ จำได้เลยว่าใจเต้นแรงมาก ตื่นเต้นมาก ทั้งๆ ที่ไม่มีใครมายืนกดดันนะ ไม่เคยตื่นเต้นแบบนี้มาก่อนในชีวิตจริงๆ”

เพียงแค่สนามแรกที่ได้ลงแข่งและได้รางวัลติดมือกลับมา ก็ทำให้หญิงสาวผู้นี้ก็รู้สึกชื่นชอบและลงแข่งมาเรื่อยๆ ด้วยฝีมือที่พัฒนามากขึ้น สนามที่แข่งก็ใหญ่ขึ้นตาม จนมาถึงเวทีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และเป็นเวทีที่สร้างชื่อให้กับเธอก็คือ Thailand National Latte Art Championship ปี 2019 และ 2020

“จบครั้งแรกปุ๊บ ก็จะมีเรื่อยๆ รายการ SmackDown คือ 2 คนยืนเทต่อหน้ากรรมการ แต่เขาก็จะมีเกณฑ์การตัดสิน ดูว่าลายนี้มีความยากง่ายแค่ไหน แก้วที่ยากกว่าก็จะชนะไป ก็แข่งอย่างนี้มาเรื่อยๆ เกือบ 10 เวที พอแข่งได้ปีสองปีแรก ก็จะมีรายการใหญ่อย่าง CP-Meiji Speed Latte Art รี่ลงทุกปี ได้ที่ 2 สองปี ที่ 3 หนึ่งปี


"นางฟ้ากระต่าย" ลายที่ส่งให้เธอได้แชมป์ประเทศ

บ้านเราจะมีรายการแข่งคือ Thailand National Latte Art Championship เพื่อเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งเวทีโลก รี่ก็ลองลงปี 2016 ตอนนั้นรี่ลงไปโดยที่ยังเทไม่สวยเลยด้วยซ้ำ แต่พี่ๆ เขาเชื่อในตัวเรา ก็บอกว่า ไม่ต้องรอความพร้อมหรอก อยากทำก็ทำเลย ไม่มีอะไรจะเสีย เรามีฝีมือ รอพร้อมก็รอไปเหอะ ก็ลองดู รู้เลยนั่นคือเวทีใหญ่มากที่สุด ก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลยค่ะ แต่สิ่งที่ได้คือเราพัฒนามากขึ้น เรามีเป้าหมายในใจ จากที่เราเคยได้เท่านี้ มันก็จะแอดวานซ์มากขึ้นทุกครั้งที่แข่ง

พอจบปีนั้นก็ไม่ได้แข่ง มาแข่งปี 2018 ก็ได้แชมป์เลย แล้วก็เป็นตัวแทนไปแข่ง World Latte Art Championship 2019 ที่เยอรมนีค่ะ รี่ไม่คิดเลยว่าจะได้ไปไกลขนาดนั้น จริงๆ ไม่มีใครกดดันเรา ไม่มีใครบอกว่าต้องได้แชมป์นะ ต้องทำเพื่อประเทศไทยนะ แต่พอไปแล้วเอาจริงๆ องค์ประกอบอื่นๆ ทำอะไรรี่ไม่ได้เลย สภาพอากาศหรือการนอนหลับ ไม่มีอะไรที่เป็นข้ออ้างได้ ทั้งหมดที่ทำพลาดอยู่ที่ตัวเราล้วนๆ ก็ได้ที่ 14 รี่ต้องกลับมาแข่งในปีนี้ ก็ได้แชมป์อีก เพื่อที่ปีหน้าเราจะได้ไปแข่งที่โปแลนด์

เราขาดคนที่คอยแนะนำเรา รี่หาโค้ชค่ะ อันนี้สำคัญมากสำหรับรี่ในการแข่ง เพราะโค้ชคือคนที่มองเราเวลาซ้อม เขาจะบอกเราได้ว่าเราควรจะทำยังไง โชคดีที่ได้โค้ชที่เหมือนกับเขาก็อินในเรา เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นคนมาเลเซียชื่อลูคัส ตรงนี้ทำให้เรามั่นใจขึ้น เขาก็จะบอกเราให้คิดอย่างนี้ ลองทำอย่างนี้ดู รี่ดีใจมากที่ได้เจอแต่คนดีๆ”



นอกจากนี้ แชมป์ลาเต้อาร์ตประเทศไทย 2 สมัย ยังได้เล่าประสบการณ์เมื่อครั้งเป็นตัวแทนประเทศไปแข่งขันชิงแชมป์โลก ณ ประเทศเยอรมนี แม้จะไม่ได้รางวัลกลับมา แต่ก็ถือว่าเป็นแรงผลักดันให้กลับมาคว้าแชมป์ในประเทศ เพื่อกลับไปเวทีโลกอีกครั้ง

“เวลาเราขึ้นไปแข่ง ต้องปรับเครื่องบดเอง การเตรียมพร้อมหน้างานมีเวลาให้เราแค่ 5 นาทีซึ่งน้อยมาก แค่เอาของออกจากรถเข็น ย้ายไปที่สเตจก็กินเวลาเป็นนาทีแล้ว รี่ก็ปรับไปอย่างมีสติค่ะ ปรับให้ผงกาแฟมันละเอียดขึ้น ให้น้ำกาแฟมันไม่ไหลเร็ว แต่พอเราปรับไปที่เลขน้อย มันกลับกลายเป็นว่ายิ่งไหลเร็วขึ้น เราสติแตก

พอมีสติแล้ว ทำไมเราถึงไม่หยุดเวลาก่อน แล้วเรียกช่างขึ้นมาดู มันมีกฎ ทำไมไม่ทำแบบนั้น แต่มันผ่านมาแล้ว พอถึงเวลา 5 นาทีจบปุ๊บรี่ก็เริ่มแข่งเลย พอแข่งปุ๊บ เราคุมสติตัวเองไม่อยู่ แล้วก็รวนไปหมด ทำอะไรก็ช้า ทั้งหมดทั้งมวลมันก็เกิดจากที่เราไม่ได้ทำให้ทุกอย่างมันดีก่อนที่เราจะแข่ง อันนี้คือข้อที่เราพลาด


ประสบการณ์ระดับโลก World Latte Art Championship

การตัดสินคือลายที่เราคิดขึ้นเอง แล้วนำไปพรีเซนต์ให้กับกรรมการในรอบแรก เกณฑ์การตัดสินระดับโลก คนที่จะเป็นกรรมการจะต้องมีการสอบระดับโลกเหมือนกัน ไม่ใช่ตัดสินด้วยความใคร่ ตัดสินว่าชอบคนนี้ ชี้คนนี้ชนะไม่ได้ จะเป็นกฎสากลเลย บนเวทีจะแบ่งเป็น 2 พาร์ตใหญ่ๆ ก็คือคนที่อยู่ข้างหน้าเราที่เราเสิร์ฟเขา จะเป็นเรื่องของลวดลายในแก้ว แล้วอีกพาร์ตนึงจะเป็นคนที่ดูความสะอาด ดูการที่เราขยับตัว เดินยังไงบ้าง สะอาดดีมั้ย

ปัญหาที่เจอที่เยอรมันคือปัญหาที่เราไม่ได้เตรียมเอาไว้ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง นั่นแหละค่ะ คำว่าขาดประสบการณ์คือแบบนี้ เข้าใจเลย เสียใจมากที่ตอนนั้นที่ไม่ได้เข้ารอบเซมิไฟนอล เราได้รับโอกาสนี้ ทุกคนซัปพอร์ตเรา ทำไมเราถึงทำไม่ได้ มันมีอารมณ์ที่โทษตัวเองอยู่แล้ว แต่มองไปที่ไอดอลเราคือพี่ต๋อง พี่เขาก็สู้มาตั้งหลายปี เราก็สู้ใหม่มั้ยล่ะ”

จากที่เคยเห็นกันโดยทั่วไป สัดส่วนคนทำกาแฟมักจะเป็นผู้ชายเสียมากกว่า จึงมาถึงคำถามที่ว่า การที่เธอเป็นผู้หญิง มีข้อได้เปรียบหรือเสียเปรียบอะไรบ้างหรือไม่ ทั้งในการแข่งขันและในสายอาชีพนี้



“ผู้หญิงสนใจเยอะนะคะ แต่ถึงจุดที่ต้องอดทนก็อาจจะถอดใจไปส่วนนึง เขาอาจจะไม่มีเวลาในการซ้อม หรืออยากไปทำอย่างอื่นมากกว่า รี่เคยลองถามพี่ๆ ผู้ชายว่าทำไมผู้หญิงน้อยจัง มันไม่ใช่แค่ลาเต้อาร์ต ทั้งงานฝีมือหรืออะไรหลายอย่าง เขาก็ตอบว่ามันอยู่ที่การกำหนดสมาธิหรือควบคุมจิตใจตัวเองในการแข่ง ผู้ชายน่าจะทำได้ดีกว่า

เพราะการแข่งรี่ยอมรับเลยว่าสั่น เหมือนกับเราเป็นคนละคน เราซ้อมหลังบาร์แบบนี้ แล้วตอนขึ้นสเตจ เราคุมตัวเองไม่ได้ มันตื่นเต้นไปหมด คุมเรื่องการสั่นได้น่าจะดีกว่า คนเราเวลาตื่นเต้นมือจะสั่น แต่ลาเต้อาร์ตต้องใช้มือในการแข่ง ส่วนตัวรี่คิดว่าผู้ชายน่าจะทำได้ดีกว่า นั่นแหละคือข้อยากของการแข่ง

แต่รี่ไม่น่าใช่ผู้หญิงที่เป็นแชมป์คนแรก เพราะมีพี่เล่าให้ฟังว่าแชมป์ผู้หญิงเคยมีมาแล้วแต่ไม่แน่ใจว่าเป็นปี 2000 ต้นๆ รึเปล่า ลวดลายมันตัดสินยากขึ้น ช่วงหลังๆ แทบจะไม่ค่อยมีผู้หญิงเลย ผู้ชายล้วนมาเรื่อยๆ จนมาถึงตอนนี้ค่อยมีผู้หญิง”


เปรียบรสชาติชีวิตดั่ง “เอสเพรสโซ่”

(หัวเราะ) ถ้าเปรียบรี่เป็นกาแฟนะ เอาจริงๆ รี่คงเปรียบตัวเองเป็นเอสเพรสโซ่ รี่ว่าเมนูลาเต้เป็นอะไรที่อ่อนหวาน มันเป็นอะไรที่มีศิลปะนะ มันเป็นอะไรที่ใจเย็น แล้วก็รสชาติของลาเต้มันไม่ได้เข้มข้นเท่า ก็คงเป็นเอสเพรสโซ่ร้อน เป็นช็อตดำๆ เลย กินเข้าไปแล้วมีพลังงาน รี่มองว่าชีวิตรี่มันค่อนข้างที่จะเข้มแข็งนิดนึง เอสเพรสโซ่ช็อตมันเป็นลักษณะนั้น


ก้าวข้ามคำดูถูก “เรียนน้อย -มีรอยสัก”

“รี่จะค่อนข้างเจอคนที่มีเงินดูถูกบ่อย จะใช้คำพูดไม่ดีกับเรานิดนึงตรงที่เราเรียนน้อยแล้วเราก็สักเนอะ เราจะชอบคิดในใจเสมอว่า “ฉันจะทำในสิ่งที่พวกคุณมีเงิน คุณก็ซื้อมันไม่ได้ คุณก็ทำมันไม่ได้” อันนั้นคือในใจรี่ที่ยังเป็นเด็ก ยังค่อนข้างก้าวร้าวนิดนึง ในใจตอนนั้นรู้เลย เราคิดอย่างนี้ เราต้องทำให้ได้ ตอนนั้นคิดอย่างนี้จริงๆ”

แม้จะมีดีกรีเป็นถึงแชมป์ลาเต้อาร์ตประเทศไทย 2 สมัยซ้อน แต่สิ่งหนึ่งที่คอยรบกวนหัวใจของเธอ ก็คือคำดูหมิ่นดูแคลนต่างๆ ด้วยเพราะเธอเรียนจบเพียงชั้น ป.6 ประกอบกับรอยสักบนร่างกาย จึงทำให้บางคนที่มีอคติเกี่ยวกับเรื่องนี้ใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีเธอ และทำให้ถูกปฏิเสธโอกาสครั้งสำคัญมากมาย โดยเฉพาะเรื่องงาน


สะท้อนตัวตนผ่านศิลปะบนร่างกาย

“รี่เริ่มสักตั้งแต่ตอนที่ไม่ได้เรียนค่ะ เห็นเพื่อนๆ เขาเอาเข็มมาจิ้มก็อยากลองบ้าง ลายแรกน่าจะเป็นที่กลางมือ แค่กิ่งก้านดอกไม้เล็กๆ ไม่ได้สวยอะไร ปัจจุบันก็แขน 2 แขน หลัง แล้วก็มีข้อเท้านิดนึงค่ะ ส่งผลกระทบตั้งแต่เริ่มสักเลย แน่นอนอยู่แล้วว่าสมัครงานก็ยากมากๆ นอกเสียจากว่าเขาจะช่วยเรา ไม่ว่าสมัครที่ไหนก็แล้วแต่ เขาก็จะไม่อยากให้มีรอยสักอยู่แล้ว

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ก็สักนะคะ(หัวเราะ) รี่มองว่า โอเค...งานนี้ไม่ได้ ต้องมีซักงานที่ได้ แต่ก่อนอยากทำมากเลยคืออยากเป็นพนักงานเซเว่น พนักงานวัตสัน พนักงานในห้าง นั่นล่ะค่ะ ไม่มีทางที่จะทำงานที่นั่นได้เลย แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็สักอยู่ดี แต่ก็คงจะเลือกเวลาสักที่เหมาะสมกว่านั้น”

นอกจากนี้ นักทำลาเต้อาร์ตสาว ยังได้เปิดเผยถึงเหตุการณ์ในอดีตในสมัยที่ยังทำงานเป็นพนักงานร้านอาหาร ที่เคยถูกลูกค้าแสดงพฤติกรรมไม่ดีใส่ แม้เธอจะทำอ่อนน้อมถ่อมตนขนาดไหน เพียงเพราะมีรอยสัก



“ที่จำได้ก็คืองานร้านอาหารที่รี่ทำลาเต้อาร์ต เสิร์ฟด้วย ช่วยในร้านด้วย ร้านนี้ค่อนข้างที่จะมีลูกค้าระดับมีเงินที่มาทั้งครอบครัว พอเราไปเสิร์ฟปุ๊บหรือไปแนะนำอาหาร เขาแทบจะไม่ได้มองหน้าเราเลย แทบจะไม่ได้ฟังที่เราพูดเลยด้วยซ้ำ เขาจะมองมาที่รอยสักเรา ตอนนั้นเริ่มสักเยอะแล้ว

เขาจะประพฤติกับเราต่างกับคนที่ไม่มีรอยสัก ทั้งที่เราคุยกับเขาดีๆ นอบน้อม รูปลักษณ์ของเราอาจจะดูน่ากลัวหรือดูก้าวร้าว แต่เราจะพยายามพูดกับเขาให้ดีที่สุด รี่จะเจอคนแบบ...ไม่ค่อยอยากคุย แสดงท่าที สีหน้าที่ไม่ค่อยดีกับเรา หรือถ้าพูดจะใช้คำพูดไม่ดี เป็นคำถามทั่วๆ ไปของคนที่มีรอยสักแล้วโดนถาม เช่น สักทำไม พ่อแม่ไม่ว่าเหรอ แก่ตัวไปทำยังไง จะไปทำงานอะไรได้ในอนาคต มีลูกจะสอนลูกว่าอะไร ทั้งๆ ที่เราไม่รู้จักกันมาก่อนนะ

รี่ก็จะตอบดีๆ ตลอด ยิ่งเขาเห็นว่าเราเกรงใจ แต่เขาจะไม่เกรงใจเรา เขาก็จะใช้คำถามที่มันแรงขึ้นๆ คือสิ่งที่รี่เจอบ่อยมากๆ จนทำให้เราต้องหันไปทำอย่างอื่น แล้วก็หลบไปเลย เพราะเขาเป็นลูกค้า เราไปทำอะไรเขาไม่ได้ เราก็คือเด็กเสิร์ฟ”

แต่ด้วยอายุและประสบการณ์ชีวิตที่มากขึ้น ความคิดของเธอก็เริ่มเปลี่ยน จากเดิมที่อยากพิสูจน์ตนเองให้คนที่เคยดูถูกได้เห็น ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นการทำเพื่อตัวเองและคนที่รักแทน และเลือกก้าวข้ามคำดูหมิ่นเหล่านั้นด้วยการ “ปล่อยวาง”



“รี่เคยเอาคำพวกนั้น เอาคนพวกนั้นมาตั้งเป็นอันดับแรกว่า เราจะทำให้รู้ว่าเราทำได้ เราจะทำให้พวกคุณเห็นว่าเราแม่งเจ๋ง เราทำได้ ดีกว่าพวกคุณอีกในเรื่องนี้ แต่พอระยะเวลาผ่านไป ความคิดรี่เปลี่ยน รี่มองว่าถ้าเราเอาเขามาตั้ง เหมือนเราทำเพื่อเขาเลยอะ เหมือนเราทำเพื่อลบล้างคำพวกนั้น ทำทำไม เขาก็ไม่ได้มาเห็นเพราะเขาเชื่อแบบนั้นไปแล้ว คุณจะพูดอะไรกับเราก็แล้วแต่ เราก็เหมือนเดิมนั่นแหละ แต่แค่เราไม่ได้เก็บตรงนั้นมาเป็นที่ตั้ง

คนเราทุกคนรี่เชื่อว่ามีความรักตัวเอง พอเราทำเพื่อตัวเองปุ๊บ ผลมันดีขึ้นเรื่อยๆ เราก็ยิ่งอยากทำเพื่อตัวเอง พอมองย้อนกลับมาถึงคำพูดคนพวกนั้น ก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร เป็นความคิดของพวกเขา เราไปห้ามเขาไม่ได้ เราแค่ทำตัวเองให้ดี เราไม่ทำเขาเดือดร้อน ต่างคนต่างอยู่

รี่มองว่าเรื่องของเวรกรรมมันมีอยู่จริง คนที่เขาชอบว่าคนอื่น สุดท้ายแล้วก็จะตกไปที่ลูกหลานของเขา เราไม่จำเป็นต้องไปตอบโต้หรือไปโกรธแค้นอะไรเลย ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่นะคะ คำพวกนั้น ถึงแม้เราจะเป็นแชมป์แล้ว แต่ก็นั่นแหละค่ะ ต้องค่อยๆ สงบจิตสงบใจ บอกตัวเองว่าเขาอาจจะถูกเลี้ยงมาให้แอนตี้คนที่สักก็ได้ เราไม่สามารถที่จะไปบอกให้เขาอย่าคิดแบบนี้ ส่วนใหญ่ทุกคนก็โกรธแหละ แต่ก็แวบเดียวแหละที่โกรธ ปล่อยเขา เราเองแหละที่เครียดเปล่าๆ”

เมื่อบทสนทนาดำเนินมาจนถึงช่วงสุดท้าย สาวนักสู้คนนี้ก็ได้ฝากกำลังใจเล็กๆ ส่งไปยังผู้ที่กำลังท้อแท้ หรือหมดแรงการสู้ต่อ รวมทั้งขอกำลังใจจากชาวไทยส่งให้เธอ ในการแข่งขันลาเต้อาร์ตชิงแชมป์โลกที่ประเทศโปแลนด์ในปีหน้า



“ถ้าสมมติว่าใครที่ได้เห็นเรื่องราวของรี่ผ่านทางไหนก็แล้วแต่ ก็ให้กำลังใจทุกคน กำลังใจของรี่เองไม่ได้มีเยอะนะ แต่ก็จะเป็นกำลังใจให้ทุกๆ คนที่อยากสู้ คำว่ายังหาตัวเองไม่เจอ รี่ว่าลองทำไปเรื่อยๆ ทำไปหลายๆ อย่าง มันจะต้องมีซักอันนึงที่ โอเคฉันชอบ

แต่พอชอบแล้วปุ๊บ ก็อาจจะเปลี่ยนได้อีก แค่เราลองทำหรือว่าไปทำในสิ่งที่คิดว่าเราไม่ชอบ คุณอาจจะชอบก็ได้ ก็ทำไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่ที่เราพร้อมแล้ว สำหรับรี่ รี่จะมองคนที่เขาแย่กว่าเรา เราคิดว่าชีวิตนี้เราแย่แล้ว เราไม่มีเงิน เราไม่มีอะไรเหมือนคนอื่นเขา รี่จะชอบมองคนที่ข้างทาง บางคนไม่มีบ้านนอน แต่เรายังมีข้าวกิน ยังไหว พยายามให้กำลังใจตัวเอง พยายามรักตัวเองเยอะๆ พยายามให้ค่ากับตัวเองเยอะๆ จะมีแรงสู้ต่อไป ก็ให้สู้ๆ กันทุกคน

ในปีหน้าก็มีการแข่งที่เป็นตัวแทนประเทศไทยไปประเทศโปแลนด์ เป็นรายการชิงแชมป์โลกที่อยากได้ น่าจะประมาณกลางเดือนมิถุนายน ตอนนี้รี่คุยกับโค้ช อยู่ที่การคิดลาย เพราะว่าต้องครีเอตลายเอง แล้วก็คิดอะไรใหม่ๆ รี่ต้องฝึกซ้อมยาวไปถึงแข่ง ฝากติดตามผลงานด้วย แต่ก็จะทำให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด อยากเป็นแชมป์โลก อยากเป็นผู้หญิงคนนั้นที่มีรอยสักแล้วไปยืนถือโทรฟี่เท่ๆ ได้แชมป์โลก อยากประสบความสำเร็จในสายงานที่เราทำ ยังคิดเป้าหมายตรงนี้อยู่ เป็นกำลังใจให้กันด้วย ขอบคุณค่ะ”

สัมภาษณ์โดย : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ภาพ : ปัญญพัฒน์ เข็มราช
ขอบคุณภาพ : เฟซบุ๊ก “Nutthinee Jearranan”
ขอบคุณสถานที่ : ร้าน A4C Coffee และ ร้าน 10ml. วิภาวดี 16/6




** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **



กำลังโหลดความคิดเห็น