"เรามีความคิดอย่างเดียวว่าเราเป็นคนพิการ เราออกกำลังกายไม่ได้” เปิดใจสาวขาเหล็กสุดแกร่ง ป่วยเป็นมะเร็งปอด-กระดูก จนต้องตัดปอด -ขาข้างซ้ายทิ้ง ตั้งแต่อายุ 14 ปี แต่ไม่ท้อแท้ สิ้นหวังกับโชคชะตา ล่าสุดตัดสินใจลงวิ่งมาราธอน 10 กิโลเมตร พิชิตใจตัวเอง
ตัดขา-ตัดปอด รักษาชีวิต!!
[ขอบคุณภาพจากอนันตกาล photo]
“วันที่ 10 พฤศจิกายน ที่ออยวิ่ง 10 กิโลเมตรจบ ด้วยบรรยากาศ ด้วยงาน ด้วยอะไรต่างๆเราไม่รู้สึกว่าเราเหนื่อย เราไม่รู้สึกว่าเราเค้นพลังอะไรเลย การที่เราเดินช่วง 2 กิโลเมตรแรกมันชิลมาก จนถึงกิโลเมตรที่ 4 เรายังไม่รู้สึกว่าเราเหนื่อย ถ้าสิ่งที่พูดกับตัวเองประจำคือ อีกนิดนึงๆ มันก็ไปของมันต่อได้”
กลายเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สร้างพลังบวกให้แก่ผู้พบเห็น เมื่อภาพสาวขาเหล็ก ใจสู้ “ออย - ยุวดี พันธ์นิคม” วัย 34 ปี ถูกแชร์ออกไป ในขณะที่กำลังวิ่งสู่เส้นชัย 10 กิโลเมตร ในงาน “วิ่งสู่ชีวิตใหม่สตอรี่ Run for a New Life Story”
“ออย” เปิดใจกับทีมข่าว MGR Live ถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้ลุกขึ้นมาสู้ด้วยการวิ่ง ให้ฟัง อีกทั้งเคยผ่านประสบการณ์เลวร้ายของชีวิต ด้วยการป่วยเป็นมะเร็งปอด และมะเร็งกระดูก จนกระทั่งต้องตัดปอด และขาซ้ายออกไป
“ออยตรวจพบเป็นมะเร็งกระดูกตั้งแต่อายุ 14 ในเวลาเดียวกันตรวจพบด้วยว่าตัวเองเป็นมะเร็งปอด หมายความว่าเป็นมะเร็งกระดูก แล้วลามขึ้นปอด มีก้อนเนื้อที่ปอด 3 จุด จุดหนึ่งประมาณ 1 เซนติเมตร หลังจากนั้นคุณหมอบอกว่าต้องยับยั้งที่จุดกำเนิดก่อน ก็คือจะต้องตัดขา
เมื่อตัดขา หมอเขาก็บอกว่าเดี๋ยวให้คีโมต่อ เพื่อที่จะดูว่าก้อนเนื้อที่ปอดมันยุบลงมั้ย พอให้คีโมมาสักพัก ปรากฎว่าก้อนเนื้อที่ปอดมันยุบลงไปแค่ก้อนเดียว หมอเขาก็บอกว่าร่างกายเรามันรับไม่ไหวนะ คือยังไงต้องขอตัดปอด เราก็โอเค เพราะเรารู้สภาพเราตอนนั้นว่าร่างกายเรารับไม่ไหวแล้วจริงๆ
พอเราตัดปอดเสร็จ ก็ได้ให้คีโมต่อ แต่พอให้คีโมต่อปรากฎว่า ตอนนั้นเลือดออกในตาดำแล้ว คุณหมอต้องหยุดให้คีโม เพราะว่าถ้าให้ต่อตาเราจะบอด
คือคอร์ทของออยทั้งหมด เขาต้องให้ทั้งหมด 12 คอร์ท แต่ว่าออยได้แค่ 8 คอร์ท หมอเขาเลยบอกให้ที่บ้านทำใจ คือร่างกายเรามันไม่ไหวแล้วจริงๆ ร่างกายเราไม่สามารถให้คีโมต่อได้ก็เลยเป็นจุดกำเนิดของความพิการด้วยโรคมะเร็งตั้งแต่อายุ 14 ปี”
โดยตอนนั้นออยอายุเพียง 14 ปี ทางเลือกเดียวที่จะรักษาชีวิตของเธอได้ คือการตัดขา ซึ่งปัจจุบันนี้หมอบอกว่า เธอมีค่ามะเร็งเป็นปกติ เท่ากับว่าหายขาดแล้ว แต่อย่างไรก็ดีจะต้องมาพบคุณหมอตามเวลานัด
“สิ่งที่เรารอดจากตรงนั้นมาได้ คือตอนนั้นเรายังไม่อยากตาย เพราะว่าเราหันไปมองหน้าพ่อ แล้วพ่อเหมือนเขาจะร้องไห้ เพราะคุณหมอบอกว่าถ้าไม่ตัด คุณก็อยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี พ่อเขาก็ตัดสินใจให้ตัด
“ตอนนั้นเราอายุ 14 ปี ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ พ่อเขาก็บอกหมอว่ายังไงก็ต้องตัด แล้วเราก็ยังไม่อยากตาย และเกิดมาแค่ 14 ปี ยังไม่ได้ทดแทนพ่อแม่เลย เราก็ตัดขา และรักษาตามที่คุณหมอให้รักษาเลย คุณหมอให้ทำอะไรก็ทำตามนั้น
ผ่านมาประมาณ 20 ปี มีปีนี้คุณหมอก็บอกว่าเชื้อของมะเร็งมันน่าจะไม่มีแล้ว เพราะเทียบเท่ากับคนปกติ คือเรียกว่าหายได้แล้ว แต่ว่าเราก็มีการ Follow up อยู่ตลอดเวลา คุณหมอนัดก็ไปตามนัด มีการ CT Scan ปีละครั้ง และคุณหมอก็นัด x-ray ปอดทุก 6 เดือน”
[ออยตอนฝึกในโครงการวิ่งสู่ชีวิตใหม่สตอรี่ Run for a New Life Story]
เมื่อลองถามสาวแกร่งรายนี้ว่า อะไรที่ทำให้เธอตัดสินใจวิ่ง เพราะดูจะเป็นสิ่งที่ยากลำบากสำหรับเธออยู่เหมือนกัน “เรามีความคิดอย่างเดียวว่าเราเป็นคนพิการ เราออกกำลังกายไม่ได้” ออยบอก
โดยเธอเริ่มต้นจากการอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น บวกกับแฟนชวนให้ออกกำลังกาย เลยหันมาเดิน หลังจากนั้นได้รู้จักกับโครงการของสสส. ซึ่งเขาต้องการให้คนที่ไม่เคยวิ่งออกมาวิ่งถึง 10 กิโลเมตร จึงตัดสินใจลงสมัคร
“ออยเริ่มจากเดิน เมื่อก่อนการเดินของออย เป็นอะไรที่ต้องเดินให้น้อยที่สุด เท่าที่ตัวเองจะเดินได้ คือเราใส่ขาเทียม เวลาเดินที่ 200-300เมตรเราก็เจ็บแล้ว แต่ด้วยความที่เราวิ่งไม่ได้ เราก็อดทนเพื่อที่เราจะออกกำลังกาย เพื่อบอกรักตัวเอง เพื่อสุขภาพที่ดี เราก็เลยกัดฟันเดิน จากตอนแรกเวลาที่เราเจ็บขา เพราะขาเทียมมันกดขาเรา มันเจ็บที่ประมาณ 200 เมตร พอเราเริ่มทำไปเรื่อยๆ มันเริ่มเปลี่ยนจากเจ็บที่ 200 เมตร กลายเป็นเจ็บที่ 500-600 เมตร
พอทำไปเรื่อยๆก็เปลี่ยนเป็นเจ็บที่ 1 กิโล 2 กิโล คือมันเหมือนมีพัฒนาการความเจ็บ แสดงว่าร่างกายมันมีพัฒนาการ เราเลยรู้สึกว่าถ้าเกิดเราทำต่อ มันอาจจะไปเจ็บตอน 3 กิโล 5 กิโล 6 กิโลก็ได้ ออยก็เลยทำต่อ ก็เลยเดินของตัวเองไปเรื่อยๆ”
จนประมาณกรกฎาคมปีนี้ ออยเห็นโครงการวิ่งสุ่ชีวิตใหม่ของสสส.แล้วมีพี่คนหนึ่งแนะนำออยว่าออยลองส่งเรื่องตัวเอง เข้าโครงการนี้ไปนะ ออยก็ลองส่งชื่อตัวเองเข้าโครงการไป แล้วปรากฎว่าได้รับคัดเลือก ให้เป็น 8 บุคคลต้นแบบของโครงการวิ่งสู่ชีวิตใหม่สตอรี่ Run for a New Life Story ซึ่งเป้าหมายของการนี้เขาต้องการให้คนที่ไม่เคยวิ่งออกมาวิ่งถึง 10กิโลเมตร
ออยก็เลยมีโอกาสเข้าโครงการ ได้อยู่ในการดูแลของโค้ช ของนักโภชนาการ ของทีมงาน สสส. และมีผู้เชี่ยวชาญต่างๆเข้ามาดูแลเรา วางแผนการเดิน วางแผนการออกกำลังกายให้ ก็เลยสามารถจบ 10 กิโลเมตรได้ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ค่ะ”
ยิ่งต้นทุนไม่เท่าคนอื่น ต้องยิ่งพยายาม!!
“เราอยากจะทำให้ได้ โดยที่ตัวเองก็ไม่ได้เค้น หรือรุนแรงกับตัวเองมากเกินไป และช่วงที่อยู่ในโครงการ 3 เดือนที่ผ่านมา ร่างกายเรามีพัฒนาการจริงๆ คือมันแข็งแรงขึ้นจริงๆ จากที่ก่อนเข้าโครงการเราจะเดินเจ็บอยู่ที่ประมาณกิโลที่ 3แล้วมันก็ไปต่อไม่ได้
แต่เมื่อมาเข้าโครงการ แต่ตอนนี้ 5 - 6 กิโลเมตร สำหรับออยมันไม่ได้ไกลไปสำหรับออยไปแล้ว แล้วเมื่อวันที่ 13 -14(ตุลาคม) ที่ผ่านมามันมีเวิคช็อบ ของทางการนี้ ซึ่งพี่นงค์ ทนงศักดิ์ ศุภทรัพย์ เขาเป็นคนสอนท่าวิ่งให้ออย คือเขาบอกว่าช่วงประมาณเดือนครึ่ง เขาให้ออยไปหัดเดินให้แข็งแรงก่อน เพราะเมื่อก่อนออยเป็นคนที่เดินไม่แกว่งแขน คือใครมองก็ดูว่าเดินไม่แข็งแรง เดินก็จะล้มแล้ว"
หลังจากเข้าโครงการ สิ่งที่สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตนเอง รวมทั้งเจอการฝึกเดิน วิ่ง และหายยใจ ในขณะที่ต้องใส่ขาเทียมกับทำให้เธอรู้สึกท้ออยู่เหมือนกัน
“พอได้โครงการก็ได้โค้ชเป้า-อุ้มยศ กิจอุดม อดีตนักกรีฑาทีมชาติไทย เป็นคนสอนการเดิน การหายใจ ให้มันดี คือใครจะคิดว่าการเดินมันจะต้องเรื่องมากอะไรขนาดนี้ คือเราคิดว่าเกิดมาเดินกันได้อยู่แล้ว แต่พอเข้าโครงการมันก็เลยมีคนสอนต่างๆ
แล้ววันที่ 13-14 พี่นงค์มองเห็นว่าออยเดินแข็งแรง เขาก็เลยสอนออยวิ่ง ซึ่งท่าวิ่งจะเป็นท่าวิ่งพิเศษเฉพาะสำหรับคนพิการที่มันคล้ายๆกับการกระโดดกระต่าย ซึ่งเวลาเราวิ่ง มันจะเหนื่อยกว่าคนปกติทั่วไป มันเหมือนเรากระโดดอยู่ตลอดเวลา แต่มันก็เร็วขึ้นกว่าที่เราเดิน”
จากการที่เธอผ่านเหตุการณ์ และจุดพลิกชีวิต จนทำให้เธอเป็นคนแกร่งคนหนึ่งได้นั้น สิ่งสำคัญที่สุดของคนพิการ คือกำลังใจ ซึ่งเธอไม่คิดว่าวันหนึ่ง จะมีคนเห็นสิ่งที่ทำนั้น เป็นแรงบันดาลใจ และพลังบวกให้มีชีวิตต่อ
“ตื่นเต้นค่ะ มันไม่ชิน รู้สึกขนลุกว่าจากที่เมื่อก่อนเราเป็นคนพิการ เราเป็นคนต้องการกำลังใจ จากคนปกติทั่วไป แต่ตอนนี้เราอยู่จุดล้ว นี้เห็นข้อมูลที่คนเข้ามาให้กำลังใจเรา หรือหลายๆข้อความที่บอกว่าขอบคุณนะที่มาเป็นกำลังใจ เป็นแรงบันดาลใจให้เขา หรือแม้กระทั่งคนที่เขาบอกว่า พี่รู้มั้ยว่าผมออกกำลังกายเพราะพี่นะ หรือบางคนที่กำลังล้มเลิกการออกกำลังกายแล้ว เพราะเขาเจ็บ เขาเห็นเรา เขารู้สึกว่าเขาล้มไม่ได้ เขาหยุดออกกำลังไม่ได้ เพราะเขาเห็นเรา”
ไม่เพียงแค่นั้น“นักวิ่งขาเหล็ก”คนนี้ ยังฝากถึงข้อคิดและกำลังใจไปยังผู้ป่วยทุกๆ ท่าน รวมถึงคนทั่วไปที่ไม่เคยออกกำลังกาย ให้เปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ด้วยการหันมาดูแลตัวเอง และไม่ย่อต่ออุปสรรคต่างๆ
“เมื่อก่อนออยเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนพิการ ออกกำลังกายไม่ได้ คนพิการต้องรอรับความช่วยเหลือจากคนปกติเสมอๆ ซึ่งจริงๆมันไม่ผิดที่เราคิดแบบนี้ คือมันคิดได้ แต่บางครั้งเราต้องลุกขึ้นมาช่วยตัวเองก่อน มาดูแลให้ตัวเองแข็งแรงก่อน มันก็จะทำได้ ในชีวิตประจำวันของเรามันก็จะไปต่อได้
ออยมีคำพูดนึง ที่ออยรู้สึกติดค้างในใจตัวเองมาตลอดระยะเวลา 3 เดือน ออยเคยบอกตัวเองว่าแค่ใจมันไม่พอว่ะ คือช่วงที่ออยท้อแท้ ออยเจ็บ เพราะมันเป็นแผล เวลาขามันถลอก หรือพอง ออยเคยคิดว่าการวิ่ง 10 กิโลเมตร มันใช่ที่ของเราจริงๆเหรอ กิจกรรมนี้ มันเหมาะสมกับเราจริงๆเหรอ ออยคิดว่ามันใช่มั้ยกับสิ่งที่เราทำอยู่ นี่เรามาทำอะไรอยู่วะ ในใจที่คิดนะคะ
มันก็เป็นคำถามมาเรื่อยๆว่าแค่ใจมันจะพอจริงๆเหรอ จนเราก็พยายามของเรา ยิ่งเรารู้สึกว่าต้นทุนไม่เท่าคนอื่น เราก็ยิ่งพยายามให้มากขึ้นๆ ในแบบที่เราคิดว่าเราทำได้ แล้วสุดท้ายออยก็ทำสำเร็จในเป้าหมายที่ออยว่าไว้
ออยอยากจะฝากบอกว่าถ้าหัวใจเรามันแข็งแกร่งพอ ร่างกายมันไม่ใช้อุปสรรค ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ทั้งเรื่องของความพิการ หรือแม้แต่คนแกติทั่วไปที่เขารู้สึกว่าเขาท้อ คือมันอยู่ที่ใจเรา ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตามคือขอให้มีความพยายาม มันจะสำเร็จจริงๆ"
ข่าวโดยทีมข่าว MGR Live
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **