“ถ้าวันหนึ่งไม่มีคำว่าวชิรบรรจง เราจะเป็นยังไง” เปิดตัวตน “บีบี - เอกนรี” ลูกสาวคนเก่งของ “อ๊อฟ -พงษ์พัฒน์” และ "แดง - ธัญญา” กับการเป็นแขน - ขา ให้พ่อ หลังล้มป่วย ล่าสุดกับบทบาทนางแบบ เฉิดฉายอยู่บนรันเวย์ชื่อดัง กระทั่งถูกยกให้เป็นดาวรุ่งแห่งแคตวอล์ก จนใครต่างก็ชื่นชมว่า “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” จริงๆ เพราะเธอมาพร้อมความสามารถ บวกกับเครื่องหน้าที่สวย ลุคเท่ๆในคนเดียวกัน และบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้จะทำให้รู้จักมิติตัวตนมากยิ่งขึ้น
เขย่ารันเวย์ “New Face” วงการแฟชั่น!!
“2019 ของบีปีนี้ เป็นปีที่สนุกมากๆ ได้ทำในหลายสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้ทำ แบบเต็มตัวขนาดนี้ ทั้งเดินแบบ ถ่ายแบบไปด้วย ผสมกับการทำละคร ซึ่งมันก็เป็นประสบการณ์ชีวิต ที่ถือว่าเป็นปีที่น่าจดจำพอสมควรเลยค่ะ”
สาวมาดเท่ ผมซอยสั้น ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ในชุดเสื้อแจ็กเก็ตยีนส์ ผู้นั่งอยู่ตรงหน้าทีมข่าว MGR Live คนนี้คือ “บีบี - เอกนรี วชิรบรรจง” ลูกสาวคนโตวัย 25 ปีของ “พ่ออ๊อฟ-พงษ์พัฒน์” และ“แม่แดง-ธัญญา”
ที่นอกจะช่วยงานเบื้องหลังละครของคุณพ่อ คุณแม่แล้ว ล่าสุดยังมากับอีกหนึ่งความสามารถ สลัดลุค ใส่เดรส เปรี้ยวแซ่บเดินสับฉับ ๆ ในลุคนางแบบบนแคตวอล์ก พร้อมกับลุคเท่ๆ เฟียร์สๆ สร้างความฮือฮาต่อวงการแฟชั่นไทยอย่างมาก
เธอย้อนเล่าวินาทีที่ได้ขึ้นไปเดินบนรันเวย์ให้ฟังอย่างภาคภูมิใจ และเผยให้ฟังว่าไม่คาดคิดเหมือนกันว่าจะรับโอกาสได้มาเป็น “นางแบบ” และจะได้รับโอกาสเดินให้กับหลายๆแบรนด์ หลายๆสไตล์เยอะขนาดนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ใหม่ และเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีของเธอ
“ความจริงเริ่มเดินแบบมาได้สักพักแล้วค่ะ ปีแรกๆ ของบีก็เดินให้กับ Issue 2 งาน และเดินให้กับป้าตือ
ป้าตือเป็นคนชวนไปเดินครั้งแรกๆ มีงานถ่ายแบบกับคุณพ่อคุณแม่ แต่ถ้าโซโล่เดี่ยว ปีนี้ก็เป็นปีแรก ที่ได้เดินของ ELLE Fashion Week แล้วก็เดินอีกหลายๆงาน ของพี่ๆ แฟชั่นหลายๆคนด้วยค่ะ”
ถามว่ากดดันบ้างไหม “ไม่ค่อยกดดันนะคะ” เธอเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม และการมองโลกในแง่ดีว่าเราทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ณ ตอนนั้น เราต้องควบคุมตัวเองให้ได้
“เรารู้สึกเราทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราเอาตัวเองดีกว่าว่าเราแฮปปี้กับตรงนั้นรึเปล่า เรากดดันใคร เรากดดันตัวเอง จากใคร จากตัวเองมากกว่า ไม่ใช่จากคนอื่น เพราะคนอื่นมอง เขาไม่รู้ชีวิตเราหรอกว่าเป็นยังไง เจออะไรมาบ้าง เราต่างหากที่เป็นคนคุมตัวเองว่า เราได้ประมาณไหน ไม่เครียดเกินไป ไม่กระทบคนรอบข้าง
เคยคิดว่าเราอยากเดินแบบนะ มันก็เป็นอะไรที่ใหม่สำหรับเรา แต่ไม่คิดว่าจะได้รับโอกาสเดินเยอะขนาดนี้กับหลายๆแบรนด์ หลายๆแบบ หลายๆสไตล์ด้วยค่ะ ก็ถือเป็นอะไรที่ respect มาก
ถ้าเดินแบบครั้งแรกไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ เพราะว่าทางแบรนด์จะให้เดินเป็นแนวสไตล์ตัวเองมากกว่า แต่ที่เครียด และเราฝึกเยอะมาก คืองานของ ELLE Fashion Week ครบรอบ 25 ปี
คือโชว์นั้นเป็นโชว์ที่มีนางแบบ 24 คน โปรมาก คือทุกคนเป็นที่รู้จักในหลายปีที่ผ่านมาของวงการแฟชั่น แล้วเราก็ติดตามหมดทุกคนเลย เรารู้สึกว่าเราเป็นหน้าใหม่ เป็นน้องใหม่ที่เข้าไปเดิน รู้สึกกังวล บวกกับชุดที่เราได้รับเป็นชุดที่เดินยากมาก และส้นสูงก็สูงมาก
บีรู้สึกว่าค่อนข้างกดดันตัวเองนะ เราต้องทำให้ได้ดิวะ ผลักดันตัวเองให้มันรู้สึกว่าเฮ้ย!! ต้องทำได้ดิ ตอนแรกเรารู้สึกว่าจะทำได้ไหมๆ ฝึกทุกวันๆ จนมันเดินได้ แล้วเราก็มีโอกาสแค่รอบเดียว มีแค่โชว์เดียว เอามา!! (พูดกับตัวเอง) หลังจากนั้นก็มีอีกหลายๆ โชว์เลย
สิ่งสำคัญในการเดินแบบ… ยากนะ ตอนแรกที่เราไม่ศึกษางาน Fashion Week เรารู้สึกว่าการเดินแบบมันก็คือการเดินแบบธรรมดา คือ ไปกลับ จบ แต่พอไปรู้ลึกมากขึ้น เราศึกษามากขึ้นว่าการเป็นนางแบบที่ดีคืออะไร ก็คืออินเนอร์ต้องมา คุณต้อง confidence (ความมั่นใจ) คุณมีแค่ one walk ที่จะดึงทุกสายตามาอยู่ที่ชุดที่สวมใส่ และเทคนิคการเดิน การมองสายตา โพสเจอร์ทุกอย่าง
ไม่ใช่คุณเดินไปแล้วคุณเดินกลับ มันมีอะไรมากกว่านั้นที่ว่า มันไม่ใช่แค่การเดิน ไม่งั้นดีไซเนอร์เขาจะไม่เลือกคุณให้มาเดิน เพราะถ้าคุณไม่มีอินเนอร์ในการสวมชุดเสื้อผ้า คุณไม่เชื่อว่าคุณใส่เสื้อผ้านั้นได้ มันก็คือไม้แขวนเสื้อธรรมดาชิ้นหนึ่ง”
เธอยอมรับว่างาน "ELLE Fashion Week Fall/Winter 2019" เป็นอีกหนึ่งเวทีแฟชั่นโชว์สุดยิ่งใหญ่ ที่จะรวมนางแบบชื่อดังในประเทศไว้มากมาย ซึ่งสำหรับเธอเองไม่เพียงแค่แบรนด์ “แลนด์มี่” (Landmeé) เท่านั้น ยังมีแบรนด์ “เกรย์ฮาวด์” (Greyhound) ที่เจ้าของเครื่องหน้าสุดเก๋รายนี้ ต้องทำการบ้านอย่างหนัก เพราะแบรนด์ทั้งสองมีลักษณะเฉพาะตัว ต้องมีคาแรกเตอร์ ทั้ง "หวาน” และ “เท่”
[บีบีกับลุคสุดปังบนรันเวย์ ]
“2 ครั้งแรกที่เราเดินด้วยรองเท้าบูต เป็นอะไรที่เราเดินอยู่แล้ว แต่มันมีงานหนึ่งที่ป้าตือให้ใส่ส้นสูงเดิน แล้วเราเดินไม่ได้ เราก็แบบเฮ้ย ยังไงดี แล้วก็มีรุ่นพี่คนหนึ่งเขาบอกว่า เธอต้องไปฝึกเดินส้นสูงมาใหม่นะ พอเราเริ่มออกงาน บีก็เริ่มใส่ส้นสูงบ้าง ก็เดินยังไม่ค่อยสวย
จนมาถึงงาน ELLE Fashion Week มันเป็นงานที่ใหญ่ ส้นสูงหนาแบบโอ้โห!! หนาเป็นส้นตึก แล้วเดินยากมากกับชุดที่ยาวลากพื้น เราเลยไปฝึกซ้อมตลอด ก็มีพี่ๆทีมงานคอยช่วยฝึกเดิน บอกมีทริคอย่างนี้ ให้เราเดินอย่างนี้ ให้เรารู้สึกมั่นใจมากขึ้น และเป็นธรรมชาติมากขึ้นในการเดินส้นสูง
ถือว่าปรับตัวเยอะ (ย้ำให้ฟังว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ) ซึ่งปกติใส่ผ้าใบ รองเท้าแตะเดินในกอง เราเลยไม่ค่อยชิน แต่ได้มาใส่อะไรที่แปลก ก็รู้สึกสนุกดีเหมือนกัน
อย่างงาน Elle Fashion Week บีได้มีโอกาสเดินทั้งหมด 2 แบรนด์ ของ Landmeé กับของ Greyhound ซึ่งต่างกันมาก
Landmeé ก็จะหวานมาก และก็มีความเปรี้ยว เป็นสาวนิดนึง เราก็ใส่กระโปรง ส้นสูง แต่พอเป็น Greyhound ป้าตือเขาจัดลุคให้บี คือให้ใส่สูท แล้วก็เดินแบบคนเมาๆจิตตก เพราะมันต้องขายงานคาแรกเตอร์ ซึ่งมันก็มีอะไรที่ท้าทายเราตลอดเวลา ไปอีกงานหนึ่ง เขาจะให้บรีฟอีกงานหนึ่ง เราก็รู้สึกมันก็มีอะไรสนุกเหมือนกัน ในการเดินแต่ละโชว์ ซึ่งไม่เหมือนกันเลย”
ถึงแม้ลุคภายนอกของผู้หญิงคนนี้ จะดูเท่ และหลายๆคนจะให้คำจำกัดความว่า “นางแบบ unisex” เพราะใส่เดรสก็เปรี้ยวแซ่บ ใส่กางเกงก็หล่อดิบ สำหรับเธอแล้วนั้น กลับมองเรื่องนี้ว่ามันเป็นเพียงแค่คำนิยาม ซึ่งคำว่า unisex ไม่ได้หมายความว่าเธอเป็น แต่เป็นเพียงคาแรกเตอร์ที่ทุกคนมอง ว่าเป็นลุคเท่ๆ
“คำว่า unisex ในสมัยนี้บีว่ามันคือเป็นอะไรก็ได้ที่คุณมีความสุข ไม่จำเป็นต้องระบุเพศ ซึ่งบีก็เชื่อตรงนี้ว่ามันจริงมาก
คุณชอบแต่งตัวเป็นผู้ชาย แต่ว่าคุณก็ยังเป็นผู้หญิง มันก็ไม่ได้ผิด ไม่ได้แปลก หรือคุณอยากจะแต่งเป็นผู้หญิง แต่คุณมีนิสัยที่ห้าว แมนมาก มันก็ไม่ได้ผิด คือคำว่าเพศมันอาจจะถูก definition (คำนิยาม)อันนี้เพศหญิง อันนี้เพศชายแค่นั้น แต่ว่าคุณไม่ได้ไปสนใจตรงนั้น มันก็คือตัวเราเอง คือคาแรกเตอร์ที่เราอยากจะสื่อออกมาก แล้วเป็นตัวเองมากที่สุดค่ะ”
หลีกทางให้ ไม่ขอสู้ “แม่” เดินแบบยุคคุณแม่ กับเดินแบบยุคบี ไม่เหมือนกัน เคยมีโอกาสได้ไปเห็นรูปเก่าๆของคุณแม่ รู้สึกว่าโหสวยมาก คือคนสมัยก่อน เหมือนเขาจะมีคาแรกเตอร์สวยมาก แล้วเขาเป็นที่จับตา เราไม่มองไม่ได้ คือเขาแบบสวย แบบสวยของแท้เลย แต่ยุคของบีคือเป็นยุคของความแปลกตา ใหม่ เรารู้สึกว่าสแตนดิ้ง นางแบบรุ่นแม่ คือได้ยินมาก็ยากมาก เพราะนางแบบหนึ่งคนต้องเดิน 5 ชุด คือเรายังโชคดีที่เดินชุดสองชุดแค่นี้ สามชุดมากสุด รุ่นแม่คือรุ่นที่แบบ wow คุณแม่ไม่เคยมาดูโชว์เลย คือเป็นการเดินแบบครั้งแรกของเรากับแบรนด์นี้ แล้วเชิญคุณแม่มา คุณแม่มาเจอนอกรอบมาให้กำลังใจ แล้วกลับเลย (หัวเราะ) |
คุณพ่อยอดนักสู้ ไม่คิดยอมแพ้!!
“บีพ่อไปแล้วนะ” บีบีลูกสาวสุดหวงของผู้กำกับมากฝีมือ “อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” นึกย้อนเหตุการณ์ วินาทีที่คุณพ่อพูดขึ้น และล้มป่วยด้วยโรค “เส้นเลือดในสมองตีบ” ผ่านเส้นตายของชีวิต ให้ทีมข่าวฟังอีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่เห็น และเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน คือสีหน้า มีน้ำตาคลอเบาๆ และน้ำเสียงที่จริงจังระหว่างบทสนทนา
“เราขับรถกันมาไปที่กองละครที่หนองแขม แล้วอยู่ดีๆคุณพ่อบ่นนู่นนี่ว่าปวดไหล่ ปวดบ่า บีก็ถามว่าเป็นอะไรรึเปล่า เข้าโรงพยาบาลมั้ย คุณพ่อบอกว่าเดี๋ยวนวดดีกว่า ไม่เป็นไร
พอไปถึงหน้ากอง เขาก็ไปเซ็ตนักแสดง เขาก็คุยกับพี่ใหม่ เจริญปุระ ยังปลอบพี่ใหม่เรื่องน้องสุนัขเขาเสียอยู่เลย แล้วอยู่ดีๆเขาก็มีอาการบ้านหมุน เขารู้สึกเซ็ตหมุน แล้วเขาก็งง จากนั้นเขาก็กลับมาที่หน้ามอนิเตอร์ เขาก็บอกทีมงานหน้ามอนิเตอร์ที่อยู่ตรงนั้นเยอะพอสมควร คุณพ่อก็บอกว่าพี่รู้สึกอยู่ดีๆบ้านหมุน แล้วปวดบ่า ไหล่ ทีมงานเขาก็คิดว่าขาดสารอาหารรึเปล่า เพราะคุณพ่อไม่ค่อยทานข้าวเช้า
อยู่ดีๆเขาก็หันมาบอกบีว่า พ่อไปแล้วนะ แล้วบีก็อ้าว!!ไปไหน คือเราไม่เข้าใจว่าไปแล้วนะ คือจะไปโรงพยาบาล หรือว่าจะไปไหน อยู่ดีๆเขาก็เซ โชคดีที่พี่อู๋ ธนากร อยู่ข้างๆเขาพอดี เขาก็รับ ทีมงานทุกคนก็รุม พยุงคุณพ่อเลย จากนั้นบีก็คว้ากุญแจรถ และไปสตาร์ทรถ
คือโชคดีอย่างหนึ่งที่ว่าปกติละครเรื่องกรงกรรม ส่วนใหญ่เราจะถ่ายต่างจังหวัด ถ่ายทุ่งนา แล้วถ่ายในสถานที่ที่ไกลมาก แต่วันนั้นถ่ายที่เซตสตูดิโอ ซึ่งมีโรงพยาบาลอยู่ข้างหน้าเซ็ตพอดี
บีคิดแค่ว่าขับออกไปให้เร็วที่สุด ปรากฏว่าจุดที่คุณพ่อเป็นอยู่ลึก ยาที่ฉีดเข้าไป ไปไม่ถึง ก็เลยโทร.ถามคุณแม่ที่ถ่ายละครอยู่ที่อยุธยา ว่าจะเอายังไง จะย้ายโรงพยาบาลมั้ย โรงพยาบาลไหน คุณแม่ก็เครียด ว่าอยู่ๆเกิดอะไรขึ้น ก็ตัดสินใจย้ายโรงพยาบาล รักษาก็ผ่านพ้นมาด้วยดีจนมาปัจจุบันนี้ค่ะ
คือเราพยายามคุมสติให้ดีที่สุด เพราะว่าเรามีหน้าที่สื่อสารทั้งหมด คุยอาการกับคุณแม่ บอกน้อง บอกทุกคนว่าตอนนี้อาการคุณพ่อเป็นยังไงบ้าง ซึ่งโชคดีมีน้องสาวคุณพ่ออยู่ที่กองด้วย เพราะว่าเขาทำงานกับกองละคร ก็จะคอยบอกบีว่าต้องทำแบบนี้ อะไรแบบนี้ค่ะ ตอนนั้นเราก็มีนิดนึงนะ เฮ้ย!! ยังไงดี เพราะสำหรับคุณพ่อ คุณแม่ เป็นอะไรที่เซนซิทีฟกับบีมาก คือถ้าเกิดคุณพ่อ คุณแม่ เราจะบางมาก”
ด้วยความประหม่า คิดว่าเป็นคนแข็งแรง เพราะออกกำลังกายด้วยการวิ่งทุกวัน บวกกับงาน และกำลังจะขึ้นคอนเสิร์ต ทำให้นอนน้อย เครียดสะสม โดยไม่รู้ตัว
“คือทุกครั้งที่ได้มีโอกาสไปโรงพยาบาล อย่างเช่นบีปวดท้อง หรือคุณแม่เป็นอะไร ก็มีไปเช็ก คุณพ่อก็จะเหมือนไปวัดความดันเล่นๆกับพยาบาล พยาบาลก็ตกใจ เพราะความดันมันขึ้นมา 200 เขาก็จะ โอ้ย!! ผมไม่เป็นหรอกโรคนี้ ก็ประหม่ามาก ที่ว่ามันไม่ได้อะไรขนาดหรอก คนอะไรความดันจะขึ้นตั้ง 200
คุณพ่อเขาก็พยายามออกกำลังกาย ไม่กินข้าวเย็น เพราะวันนั้นจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ ซึ่งมันไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ ในการที่จะระงับความเครียดตรงนั้น
ถ้าข้างในเรายังเครียด ข้างนอกแข็งแรงแค่ไหน มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร แต่โชคดีที่ว่าตอนrecovery (การฟื้นตัว)การวิ่งของคุณพ่อ ทำให้คุณพ่อกลับมาเร็วมาก ฟื้นตัวเร็วมาก เพราะว่ากล้ามเนื้อนักกีฬาที่เขาเคยมีอยู่ มัน physical(กายภาพ) ดีขึ้น”
ย้อนกลับไป สิ่งที่ผ่านนาทีชีวิตช่วงนั้นมาได้ นอกจากกำลังใจที่ครอบครัว “วชิรบรรจง” มีให้กัน จนพาก้าวผ่านวิกฤตช่วงนั้นไปได้ เธอเชื่อว่าเป็นเพราะตัวคุณพ่อเป็นคนสู้ และอยากกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม
“เราจะผลักดันคุณพ่อให้สู้ แต่คุณพ่อเขาสู้อยู่แล้ว เพราะเขาต้องการจะกลับมาเหมือนเดิมทุกอย่าง ทำงานได้ ไม่เป็นภาระใคร เขาก็ฝึกด้วยตัวเอง แต่เราก็มีหน้าที่ตอบรับเขาในด้าน physical มากกว่า ที่ว่าคุณพ่อไปตรงนี้ไม่ได้ เราก็เข้าไปจัดการให้ ขับรถให้ เราตอบรับตรงนี้ด้วย และทางด้านอารมณ์จากเป็นคุณแม่มากกว่า
เขาเป็นคนสู้มาก สู้ตั้งแต่หนุ่มๆ แล้ว เท่าที่ได้ยินมาคุณพ่อเป็นคนที่ทำงานเพื่อครอบครัวมาแบบเต็มที่ คือสุดมาก แล้วเขาก็ไม่อยากให้ลูกจะต้องไปเหมือนเขา แต่เราแฮปปี้นะที่จะไปเป็นเหมือนเขา แต่เขาก็มองว่าเขาก็ไม่อยากให้เราไปอยู่ตรงนั้น เขาก็ไม่อยากให้เรามาเครียดแทนด้วย
ตอนแรกๆที่รักษา ก็มีทางด้านอารมณ์ของคุณพ่อ ซึ่งเป็นปกติของคนที่เป็นโรคนี้เพราะมันคือโรคที่หายไปครึ่งหนึ่ง คือคุณพ่อเป็นคนที่แอกทีฟมาก แล้วอยู่ดีๆเขาเดินไม่ได้อย่างที่เขาได้ดั่งใจ พูดไม่ได้ สื่อสารไม่ได้ เขาอารมณ์เสียเป็นธรรมดา
แต่ทางครอบครัว คุณแม่ บี น้อง ก็รับมือที่ว่าทุกคนต้องเข้าใจตรงกันนะ ทำงานเป็นทีม คุณพ่อเป็นแบบนี้ เราต้องตอบรับเขา ตอบรับอารมณ์ให้ได้ แรกๆรับไม่ได้ เพราะว่าบีไม่เคยโดยดุจากคุณพ่อมาก่อน ส่วนใหญ่มักจะเป็นคุณแม่ที่เหมือนตักเตือนเราในด้านต่างๆ
คุณพ่อจะเป็นสายซอฟต์ ซึ่งเราไม่ค่อยชินที่ว่าถ้าคุณพ่อเสียงดังใส่เรา แต่คุณแม่ก็จะบอกบีเข้มแข็ง ต้องเห็นใจพ่อนะ พ่อเขาเป็นแบบนี้ เขาก็ไม่ได้อยากจะทำหรอก แต่เขาคุมไม่ได้ มันเป็นอาการของโรค เราก็โอเค ทำความเข้าใจ ตอนนี้ก็เลยชัตดาวน์ความรู้สึกได้ ในความรู้สึกหลายๆอย่าง ถ้ามันมีอะไรกระทบ เราต้องตัดค่ะ”
แม้ปัจจุบันนี้อาการของเขาจะมีอาการที่ดีขึ้น ไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไหร่ จนสามารถกลับไปกำกับละครเป็นปกติ แต่อย่างไรก็ดี ลูกสาวคนนี้ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี เพราะด้วยสถานที่ และเวลาในการถ่ายทำ ไม่ค่อยเอื้ออำนวย ซึ่งบีก็มีไม้เด็ด ที่ดูทีเล่นทีจริงด้วยคำพูด “ฟ้องแม่นะ” จนผู้สัมภาษณ์อดหัวเราะตามเธอด้วยไม่ได้
หากถามถึง เหตุการณ์เหล่านี้ ทำให้เธอรู้สึกโตขึ้นมั้ย และได้รับบทเรียนอะไรบ้างจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่าเธอได้เรียนรู้ และโตขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เราไม่รู้ตัวเอง แต่เรารู้สึกพัฒนาและโตขึ้น ทั้งด้านความคิด และอารมณ์ คือเมื่อก่อนเราอาจจะมีความเป็นลูกคุณพ่อ ลูกคุณแม่จ๋า คือเราจะมีอะไรก็ปรึกษาเขา
แต่ตอนนี้เราก็ต้องหัดกรองเอง หัดคิดเอง หัดคุมอารมณ์ด้วยตัวเอง ซึ่งก็รู้สึกว่าเราโตขึ้น แต่เราไม่รู้ว่าเราโตขึ้นในด้านไหนบ้าง แต่พี่ๆหลายคน ทีมงานก็บอกว่าบีโตขึ้นเนอะ เหมือนสถานการณ์มันบีบบังคับด้วย ว่าเราจะเป็นเหมือนเดิมไม่ได้”
“ผู้จัดน้อย” สุดชิล แห่งค่าย “Act Art”
“คุณพ่อก็สอนเราตลอดนะว่าฝึกตาย แต่เราก็ยังทำใจไม่ได้ เราก็พยายามคิดว่ามันเป็นสัจธรรมชีวิตมากที่ว่ายังไงก็มีเกิด มีดับ แต่ส่วนตัวยังรับไม่ได้ เพราะเราสนิทกับคุณพ่อ คุณแม่มาก ถ้า…เป็นอะไรขึ้นมา (เสียงสั่น)”
ในวัย 25 ปี กับบทบาทมินิโปรดิวเซอร์ ที่ก้าวเข้ามาสานงานต่อหลังจากคุณพ่อล้มป่วย ทำให้เธอเป็นที่จับตา มองในฐานะคนรุ่นใหม่ ที่สานฝันคุณพ่อต่อในการมาคุมบังเหียนค่ายละคร "แอค-อาร์ตเจเนเรชั่น จำกัด”
“เป็นมินิโปรดิวเซอร์ กับผู้จัดน้อย คือเราควบ 2 ตำแหน่ง เราก็เหมือนเป็นหูเป็นตาให้กับคุณแม่ กรงกรรมก็เป็นเรื่องแรกที่เราเข้าไปเรียนรู้งานจริงๆในกองถ่าย ซึ่งปกติเราจะไปเดินเล่น วิ่งเล่น แต่กรงกรรมเป็นเรื่องที่เราค่อนข้างไปฝึกงานเต็มตัว ในการที่ว่าเรียนรู้งาน จากหลายๆฝ่าย ส่วนลายกินรีเป็นเรื่องแรก ที่เราเหมือนต้องเก็บทุกเม็ดของในกอง”
ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับ การที่เธออยู่กองถ่ายละครตั้งแต่เด็กๆ ทำให้บีบีซึมซับ และไม่ได้รู้สึกมันยากลำบาก หากจะต้องเข้าไปดูแล ศึกษางานในกองถ่าย พร้อมทั้งให้คำตอบ ถึงข้อสงสัยการขึ้นเป็น “เสาหลัก”ของบ้านวชิรบรรจงด้วยว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เธอเพียงรับหน้าที่ โปรดิวเซอร์เท่านั้น
“ยังเป็นคุณพ่อ คุณแม่ ที่ยังเป็นเสาหลักของบ้าน คือเรายังฝึกงานอยู่ อาจจะเรียกว่าเต็มตัว แต่อยู่ในสถานะฝึกงาน เพราะว่าคุณพ่อคุณแม่ใช้เวลากี่ปี กว่าจะมีถึงจุดที่ทำงานแล้วคุมคนได้
เราอยู่ในฐานะที่เป็นเด็กน้อยของกอง เราก็ต้องใช้เวลาสั่งสมมากขึ้น ซึ่งจะเรียกว่าเสาหลักมั้ย ยังไม่ใช่ค่ะ เพราะคุณแม่ก็ยังเป็นคนคุมงานอยู่ แต่เราแค่ตอบรับในหลายๆอย่างที่ว่า ขับรถให้คุณพ่อ ตอบรับงานคุณแม่ คือเหมือนเราเป็นงานมากขึ้นมากกว่า
คือหน้าที่ที่บีได้รับมอบหมายคือผู้จัดน้อย มินิโปรดิวเซอร์น้อยในกองถ่าย ซึ่งเราก็ต้องดูภาพรวมของกองทั้งหมด
ในการออกกองแต่ละครั้ง เราต้องเป็นสายรายงานคุณแม่ว่า ซีนนี้ช้าเพราะอะไร เกิดอะไรขึ้นในกองถ่าย มันมีอย่างนี้ๆนะ เราต้องเป็นหูเป็นตาให้คุณแม่ค่ะ เพราะคุณแม่ก็ต้องจัดการปัญหานอกกองด้วย แล้วเราก็ต้องจัดการปัญหาในกอง ที่ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นบ้าง
และถ้าไปออกงานแทนได้ก็จะไป เพราะว่าเราก็เป็นส่วนหนึ่งในทีมงานที่รู้จักงานพอสมควร ก็ไม่จำเป็นต้องรบกวนคุณพ่อ คุณแม่ให้ไปอะไรอย่างนี้ค่ะ เราก็เป็นสายออกงานให้ เพราะว่าโอเคกับตรงนี้ เราชอบเจอผู้คนด้วย เราเป็นคนชอบพูดคุย ก็ไม่ได้ติดใจอะไรว่าทำไมฉันต้องไปออกงานนี้ รู้สึกว่าก็ทำได้ ก็ทำ
ส่วนการไปเดินแบบ ไม่ได้เป็นงานที่เป็นงานหลัก ถือเป็นงานประสบการณ์ของบีมากๆ ที่เรายังใหม่ในสาขานี้ ซึ่งเราก็ได้รับโอกาส ในการที่หาประสบการณ์ตรงนี้”
สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เราเห็นตลอดบทสนทนา คือความตั้งใจ และการเปิดโอกาสให้กับตัวเองเจอสิ่งใหม่ๆ เช่นเดียวกับทัศนคติการทำงาน และการใช้ชีวิต ในฐานะมินิโปรดิวเซอร์ เธอมักพูดตลอดสนทนาว่าเธอชอบการเรียนรู้ ตอบรับสิ่งใหม่ๆเสมอ
“งานเบื้องหน้า กับเบื้องหลังมันคนละแบบ คือเราโตมากับงานเบื้องหลัง แต่เราก็ไม่มายด์งานเบื้องหน้า ซึ่งเราทำได้หมด ถ้ามันไม่ได้ลำบากจนเกินไป หรือว่าสงสัยว่าทำไมเราต้องทำ คือถ้าเราทำได้ ไม่ปิดโอกาส
คือเหมือนเราผูกพันกับทีมเบื้องหลังด้วย เราไม่ได้รู้สึกไม่อยากทำ หรืออยากทำ คือเราได้หมดเลย คุณแม่บอกมา…ทำ เราก็ทำ
แต่ถ้ามันมีอีกงานหนึ่งที่เราชอบมากกว่า เราก็ไป หรือถ้าไปมาแล้วไม่ชอบ ก็กลับมาเบื้องหลัง คือเราเปิดโอกาสให้หลายๆอย่าง ไม่ใช่เบื้องหลังทำแล้ว อยู่ตลอดไป อาจจะมีอีกงานหนึ่งที่รอเราอยู่ในอนาคตที่อาจจะถูกใจเรามากกว่า ทำงานเหมือนไม่ได้ทำงาน”
นอกจากนี้เมื่อให้เธอเลือกระหว่าง การเป็นผู้กำกับอย่างคุณพ่อ หรือการเป็นผู้จัดแบบคุณแม่ เธอชอบและอยากทำสิ่งไหนมากกว่า บีบีให้คำตอบไว้ว่าเปิดรับงานทุกฝ่าย กองถ่ายเป็นงานที่สนุก และใจต้องรักก่อน ถ้าใจไม่รักจริง อยู่ยาก
“เราได้หมด แต่คุณแม่อยากให้ไปทำโปรดิวเซอร์ เป็นฝ่ายจัดการมากกว่า แต่เราก็ไม่มายด์เหมือนกันเพราะว่าจะไปให้กำกับก็ได้ หรือจะให้ลงไปทำหน้าที่สายกำกับก็ได้ หรือสายโปรดิวเซอร์ก็ได้ มันก็คือการทำงานเหมือนกันหมด อยู่ที่ว่าเราเข้าใจแบบไหน ลึกซึ้งแบบไหนมากกว่า
เรายังไม่เคยได้มีโอกาสฝึกงานแบบผู้กำกับ เพราะตอนนี้เราทำอยู่สายผู้จัด เราเลยไม่รู้ว่าแบบไหนคือสิ่งที่เราชอบ”
ยอมรับจากใจ มีวันนี้ได้เพราะ “วชิรบรรจง”
“บีเป็นคนที่ตามใจพ่อกับแม่มาก คือเราตอบรับเขาทุกอย่าง แต่มันจะโมเมนต์ที่ว่าเราก็น้อยใจ คือเราบาง"
เมื่อเปิดประเด็นวัยเด็กรวมทั้งครอบครัว รอยยิ้มและความสุขกลับมาเปื้อนบนใบหน้าอีกครั้ง สำหรับเธอแล้ว เธอยอมรับว่าเป็นคนตามใจพ่อกับแม่มาก และไม่เคยมีเหตุการณ์เข้าห้องเย็น มีวีรกรรมจนต้องเรียกมาคุย
“คุณพ่อ คุณแม่เข้าใจมาก เราก็บอกเขาตรงๆเลยว่าเรารับตรงนี้ไม่ได้ ทางด้านอารมณ์ คุยกันดีๆมั้ย เขาโอเค เขาลืมมองมุมนี้ไป คุยกันแบบครอบครัวมั้ย เราน้อยใจ เพราะว่าเราตอบรับเขาทุกอย่าง เพราะว่าเราคิดว่าเราให้เขาเต็มร้อย
เหมือนแบบเขาเป็นคนแบบนี้ด้วย พ่อก็เป็นสายชิล แล้วเขาเห็นว่าเขาสนิทกับเรา ทั้งคู่สนิทกันหมด เหมือนเรากับเพื่อนสนิทอย่างนี้ เราก็เต็มที่กับเพื่อนสนิท แต่บางทีเราก็ลืมคิดถึงตรงนั้นไป เพื่อนสนิทมันก็แบบทำไมต้องกูขนาดนี้ อะไรแบบนี้ เรารู้สึกเป็นฟีลนี้มากกว่าค่ะ”
ถามขำๆว่าจริงมั้ยว่าคุณพ่อกลัวคุณแม่มาก ในจอ-นอกจอ ต่างกันมากมั้ย หรือเป็นเพียงการหยอกล้อขำๆของสามีภรรยาคู่นี้ หญิงที่นั่งยิ้มอยู่ตรงหน้าคนนี้ให้คำตอบเอาไว้ว่าคุณพ่อมีความเกรงใจคุณแม่มากกว่า ทั้ง 2 คน ในจอทีวีเป็นแบบไหน นอกจอแบบนั้น สำหรับลูกเขาก็มีมุมน่ารักๆให้เห็นอยู่เสมอ ซึ่งพ่อจะมีความชิลชิล ส่วนแม่จะมีความแมน เป็นผู้นำสูง
“คุณพ่อพูดแต่อะไรตรงๆ คือออกทีวียังไงก็อย่างนั้น คุณแม่ก็ยังไงก็อย่างนั้น คือเราไม่ได้มีลุคว่าฉันพระเอก นางเอก ผู้จัด ผู้กำกับ เราตรงๆ ชอบก็บอก ไม่ชอบก็บอก
คือคำว่ากลัวมันไม่ใช่นะ เพราะว่าเท่าที่เรารู้สึกได้คือความเกรงใจ คุณพ่อเกรงใจคุณแม่ คือคุณแม่เป็นคนเฉียบขาด เขาเป๊ะมาก
คุณพ่อยังมีหย่นนะ แต่คุณแม่เขาเป๊ะ และมีความเป็นผู้นำสูง ด้วยความที่เป็นผู้นำสูง ในครอบครัวส่วนมากก็จะตามคุณแม่ค่ะ
คือเราคุยกับคุณพ่อ คุณแม่คนละอย่าง หรือบางทีพร้อมกัน ปรึกษาทั้งคู่ ขอคำคิดเห็นทั้งคู่ บางเรื่องเราอาจจะปรึกษาคุณพ่อ บางเรื่องเราปรึกษาคุณแม่ อยู่ที่ว่าเรื่องไหน เราคุยกับคนไหนได้มากกว่า
แต่ถ้ามุมของบีมันไม่มีใครดุ เพราะว่าดุเราต้องเสียใจ แต่เป็นเชิงสอนมากกว่า คุณพ่อจะสอนอีกแบบหนึ่ง ให้เราคิดเอาเอง คุณแม่จะสอนแบบตรงๆ บีอย่างนี้นะ มันก็จะเป็นคนละแบบ ซึ่งเราไม่ได้มองว่าเขาดุ เรามองที่ว่าเขาสอนเรา เมื่อก่อนเด็กๆอาจจะคิดว่าเขาดุ แต่เรามองอีกที มันคือการสอน”
สำหรับมุมมองผู้ชายที่เป็นสามี กลัวผู้หญิงที่เป็นภรรยา เธอมองว่าไม่จำเป็นว่าต้องกลัว เพศเป็นสิ่งที่เราปั้นกันขึ้นมาว่า สิ่งนี้คือเพศหญิง หรือเพศชายต้องมีความเกรงใจ แต่สิ่งที่ควรมี คือการให้เกียรติซึ่งกันและกัน
“ครอบครัวเราไม่ได้โห…เกร็งขนาดนั้น คืออยู่กันหน้าทีมงาน คุณพ่อเขาจะเล่นมุกกับคุณแม่ แบบเธอๆอะไรแบบนี้
คือเขาจะมีมุมน่ารักของเขา ซึ่งทีมงานก็ขำ เพราะว่าเหมือนเราอยู่เป็นครอบครัว เราไม่ได้รู้สึกว่านี่พี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ นี่พี่แดง คือคุณแม่เขาใจนักเลงพอ คุณแม่ก็มีอะไรก็เสนอมา เอออันนี้ไม่ได้ โอเค จบ คุณพ่อคือจะเป็นคนละสายกันมากกว่า”
หากถามถึงเธอเหมือนใครมากกว่ากัน สำหรับลักษณะนิสัยระหว่างพ่อกับแม่ที่เธอได้รับมาจากทั้งสอง เธอคิดก่อนที่จะบอกกับเราว่าหน้าตาค่อนไปทางคุณแม่ ส่วนความชิลที่เห็น ได้มาจากคุณพ่อ
“มีคนบอกว่าบีหน้าเหมือนแม่ แต่ได้พ่อมากกว่า คือเราได้บุคลิกความเป็นผู้หญิงจากคุณแม่ แต่นิสัยอาจจะเหมือนคุณพ่อ เป็นสายชิล
ส่วนน้องจะได้เป็นสายคุณแม่มากกว่า คือเป็นสายลุย เราจะเป็นลุยอีกแบบหนึ่ง ส่วนเขาจะลุยอีกแบบหนึ่ง
ก็แล้วแต่คนมองค่ะ บางคนบอกว่าเธอเหมือนแม่มากเลย บางคนเธอเหมือนพ่อมากเลย อยู่ที่ว่าคนๆนั้นสนิทกับพ่อหรือแม่มากกว่าค่ะ”
ไม่เพียงแค่นั้น การเป็นลูกศิลปินชื่อดัง มักมาพร้อมกับความกดดัน และคำครหาต่างๆ ด้านบีบีเผยให้ฟังว่าเคยผ่านจุดนี้มาแล้ว แต่เธอเลือกที่จะก้าวผ่านสิ่งเหล่านี้ไป
“กดดันมั้ย เมื่อก่อนก็มีนิดนึง เพราะรู้สึกว่าทำงานยังไงให้ดีเท่าคุณพ่อ กับคุณแม่ แต่หลังๆไปมันคือแรงผลักดันที่ว่าเราทำงานไม่ได้เหมือนเขาหรอก เราก็ต้องทำงานของเรานั่นแหละ มันจะเป็นชื่อเรา ไม่ใช่ชื่อคุณพ่อคุณแม่แล้วเป็นฝีมือเรา มันไม่ใช่ คือถ้าเป็นชื่อเราก็คืองานเรา
คนจะมองเป็นลูกพี่อ๊อฟ แต่มันคนละคน มันตัดสินไม่ได้ว่างานจะดีเท่ากันมั้ย ดุเท่าคุณแม่มั้ย เข้มงวดเท่าคุณแม่มั้ย มันคนละคนกัน
เรารู้ตัวตลอดเวลานะ เรามีทุกวันนี้ได้เพราะว่านามสกุล เราไม่ได้เริ่มจากศูนย์ เพราะว่าเราเข้าวงการตั้งแต่เด็กๆ
คำว่าวงการในที่นี้หมายความว่า คนในวงการบันเทิงรู้จักเราตั้งแต่เด็ก ซึ่งเราเกิดมาเราเจอสภาพสังคมอย่างนี้เลย เราเลยไม่ได้รู้สึกว่าฉันดัง
บีรู้สึกว่าเรามีพ่อกับแม่ เราเคยจินตนาการนะว่าถ้าวันหนึ่ง ไม่มีคำว่าวชิรบรรจง เราจะเป็นยังไง อาจจะเป็นอีกเส้นทางเลยก็ได้ แต่เราแฮปปี้ที่จะอยู่ตรงนี้ เราก็แค่รักษาคำว่าวชิรบรรจงให้ดี เพราะเราได้รับเกียรติตรงนี้มาแล้ว ในการจะใช้นามสกุลของเขา
ทุกอย่างมีข้อดี ข้อเสียหมดค่ะ อยู่ที่คุณมองข้อไหนมากกว่า แล้วเสียความเป็นตัวเองมั้ย เราแค่ต้องรู้จักการประพฤติมากกว่า หน้ากล้องคุณต้องพูดยังไงไม่ให้กระทบหลายฝ่าย
หลังกล้องคุณก็ไม่ควรพูดนินทาลับหลัง เพราะว่ามันกระทบ วงการมันแคบ อยู่ที่ว่าเราจะประพฤติตัวว่าเราต้องการให้คนมอง และเข้าใจเราแบบไหน"
เรียน "Fine Art" เปิดมุมมองโลก!! บีเรียนจบด้าน Fine Art- Photography เป็นสายถ่ายรูป บีไปเจอตัวเองอีกที ตอนไปเรียนเมืองนอก ความจริงก็เจอตัวเองนานแล้วล่ะ เพราะว่าเรารู้ ว่าเราไม่ใช่สายวิชาการ เราเป็นสายอาร์ต เราก็เลยขอคุณแม่ไปเรียนต่อต่างประเทศ เพื่อจริงจังกับสายอาร์ตโดยเฉพาะ เพราะเราก็เลือกเรียนสายอาร์ต แล้วเราก็แฮปปี้ที่จะอยู่ตรงนั้น เราไม่ได้กดดันตัวเองว่าฉันต้องเรียนได้ 4 แค่ว่าเราทำงานออกมาแล้วมันดี หลังจากที่ได้เรียนมา บีเพิ่งมาเข้าใจทุกอย่างในปีสุดท้าย (หัวเราะ) เพราะปีแรก และปีที่ 2 เราไม่เข้าใจอะไรเลย เราเข้าไปอะไรคือ Fine Art เราไม่รู้ เฮ้ยเขาเรียนอะไรกันวะ งง พอปีที่ 3 เราเริ่มเข้าใจ เราเริ่มเก็ต มันจะจบอยู่แล้ว เราเพิ่งเข้าใจงาน จนครูบอกว่าเฮ้ย!! งาน You ดีมาก ดีกว่า 2 ปี ที่ผ่านมา รู้สึกภูมิใจ Fine Art มันทำให้บีมองโลกได้กว้างจริงๆ เรารู้สึกว่าเราตีความ และเรามองเห็นอะไร มันคือการตีความทั้งหมดว่า สิ่งที่เราแคปเจอร์มาหนึ่งอย่าง มันหมายความว่าอะไรสำหรับคุณ คนดูอาจจะไม่เก็ต แต่เราเข้าใจ แล้วเราแค่เขียนอธิบายให้คนอื่นเข้าใจด้วย ถ้าคนอื่นเข้าใจก็ดี คนอื่นไม่เข้าใจก็เรื่องของเขา เพราะเราตั้งใจผลิตงานนี้มาจากเรา สำหรับแรงบันดาลใจตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ เพราะว่าเราเพิ่งมาได้ เข้าใจ เพราะเราเพิ่งเข้าใจความหมายของ Fine Art ปีสุดท้าย ซึ่งเราก็ยังไม่ได้มีความแกร่งเท่าคนอื่นเท่าไหร่ เราได้ไปปรึกษา เหมือนได้ไปเจอช่างภาพคนอื่นในกองที่ถ่ายแบบ เราก็จะเข้าไปชวนคุย เพราะว่าบีก็อยากรู้ในสิ่งที่เป็นคนอื่น แล้วเราก็เป็นคนที่ชอบถามคนอื่น ชอบถามเกี่ยวกับชีวิต ได้มีโอกาสคุยกับคนๆหนึ่ง แล้วเขามองว่าเราโชคดี ในการที่คุณจะทำอะไรก็ได้ แต่เราดันมองคนๆนั้นโชคดีว่าคุณหา สิ่งที่คุณรักเจอ ในขณะที่เราอาจจะยังหาไม่เจอ เขาก็เออเนอะ มันก็มีความคิดที่อยู่ ที่ว่าคนมองว่ามันจะเป็นโชคดี หรือโชคร้ายของเขา และเราได้รู้ว่าการที่เราคุยกับคนเรื่อยๆ ทำให้เราเปิดกว้างมากขึ้น ในการมอง และการเข้าใจในคนๆหนึ่ง ซึ่งการไปคุยกับช่างภาพ แน่นอนอยู่แล้วคุณได้ความคิดใหม่ เพราะว่าช่างภาพเขาชอบคุย เพราะคุณต้องคุยกับแบบว่าคุณต้องสื่ออารมณ์แบบนั้น คุณต้องเข้าใจตัวละครที่คุณจะเป็น สิ่งที่คุณจะเป็น ความฝันบีไม่ค่อยมีนะ เพราะว่าเราเปิดรับทุกโอกาส เราทำได้หมด เราอยากทำ มีอะไรใหม่ทำ ไปถ่ายรูปมีคนชวน เราก็ไป มีคนชวนไปเดินแบบ ถ่ายแบบก็ไป ไปถือรีเฟกซ์กล้องก็ไป ไปหมดเลย คือเราไม่ปิดโอกาส ไปเล่นโยคะอะไรใหม่ๆไป คือไปให้รู้ว่าชอบ หรือไม่ชอบ มันจะได้มีเรื่องมานั่งคิดไตร่ตรองในชีวิตว่าหรือว่าเราชอบแบบนี้ หรือเราทำมา เราจะมาค้นพบอีกที 5 ปีหลัง เราไปหมด ไม่ได้ปิดค่ะ |
"เป็นคนแปลก" ที่เข้าใจโลก!! ถ้าพูดถึงบี บีว่าบีเป็นคนแปลก ชอบคุยกับคนแปลกหน้า เราได้อะไรใหม่เยอะมากๆ เลยนะ เพราะว่าชีวิตแต่ละคนเจอมาไม่เหมือนกัน อย่างเช่นเราไปทำงานเสิร์ฟ เราเจอลูกค้า ลูกค้าทักเราก็คุย เราก็ถาม เป็นยังไงบ้าง เราไปเจอสิ่งนี้มา เฮ้ยจริงเหรอ เออเราไม่เคยรู้ มันก็ได้เปิดโลกไปอีก มันคือการเอาความรู้หลายๆอย่างเข้าตัวเรา หรือการที่เราไปนั่งคาเฟ่ เราไปเจอคนข้างๆหันไปทักทายเขา เราก็ได้เพื่อนใหม่ หรือการนั่งรถสาธารณะเราไปเจอคนๆหนึ่ง อยู่ดีๆก็ชมเราว่าชอบตาคุณนะ บีไม่รู้สึกกลัว กลับรู้สึกว่าทำไม เราก็ถามกลับว่าทำไม คือลุคเขาก็มีความเซอร์มาก แต่พอเราคุยไปเขาเป็นอาร์ตติสท์ข้างถนน เขาบอกว่าเขาอยากสเก็ตหน้าเรา เราก็เออแปลก มันมีความใหม่ตลอดเวลา จนเรารู้สึกว่าเป็นการเข้าใจคนมากขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้นค่ะ |
เปิดรับ “ความคิดเห็น” ทำงานเป็น “ทีม” การทำงานของคนสมัยก่อน และปัจจุบันต่างกันมั้ย บีว่าต่างและไม่ต่าง ต่างในที่นี่คือด้วยยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ความคิดคนสมัยก่อนกับใหม่ จะไม่ค่อยลงลอยกัน แต่ไม่ต่างที่นี่คือ เราเห็นงานชิ้นเดียวกัน เราต้องพุ่งไปเหมือนกัน มา 5 เส้น คุณต้องจบที่เดียว เพราะมันคืองานทีม ซึ่งมันก็เลยมีความขัดแย้งกันในทีมอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ ยิ่งเถียงยิ่งดี เพราะมันยิ่งได้สิ่งใหม่ๆขึ้นมาค่ะ เหมือนเราปรึกษากันมากกว่า ว่าพี่อ๊อฟอย่างนี้ได้มั้ย เฮ้ยพี่หนูว่าอย่างนี้ คือเป็นแนวเสนอ เพราะคุณพ่อเขาเหมือนเป็นหัวหลักของกองถ่าย ในการตัดสินใจอะไรทั้งหมด ซึ่งทุกคนเคารพจุดนี้ ซึ่งไม่มีการไปคุยกันเอง เราตกลงกันเอง คือทุกคนต้องผ่านคุณพ่อก่อน |
สัมภาษณ์โดย ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
ภาพ : ปัญญพัฒน์ เข็มราช
ขอบคุณภาพ : อินสตราแกรม @bewachi
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **