“ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาไกลได้ขนาดนี้” เจาะใจ “แจน ใบบุญ” เจ้าของความสูง 180 ซม. นางแบบไทยคนแรกบนรันเวย์ Burberry ท่ามกลางซูปเปอร์โมเดลระดับโลก แต่กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผิดหวังจากเวทีใหญ่,แบกพอร์ตลุยงานในต่างแดน แถมถูกบูลลี่สารพัด “สูงเหมือนเปรต-หน้าแบน-หน้าผากกว้าง” แล้วยังไง พิสูจน์ตัวเองให้เห็น ฉันนี่แหละ Born to be a Model!!
กวาด 4 แบรนด์ใหญ่ Fashion Week 2019!!
“Burberry เป็นแบรนด์แรกที่แจนไปแคสต์ใน London Fashion Week แจนไปเตรียมตัวที่ลอนดอน 1 เดือน หลังแคสต์ 1 อาทิตย์ เขาก็คอนเฟิร์ม แต่แจนไม่เชื่อ ได้จริงเหรอ Burberry เลยนะ แล้วแจนได้เป็นนางแบบ เอ็กซ์คลูซีฟ หมายถึงว่า ได้โชว์นี้ปุ๊บเขาจะล็อกให้เป็นโชว์เดียว ห้ามไปแคสต์แบรนด์อื่น แจนก็ว่าทำไมเราไม่ได้แคสต์เหมือนเพื่อนรูมเมต เขาไปแคสต์กันทุกวัน วันละเป็น 10 โชว์ แจนก็สงสัยเราได้ Burberry แล้วสุดท้ายก็ได้จริงๆ(ยิ้ม)”
เจ้าของเครื่องหน้าสุดเก๋ กับความสูง 180 ซม. ในชุดเดรสสีน้ำเงินดีไซน์สวย ผู้อยู่เบื้องหน้าทีมข่าว MGR Live คือ “แจน - ใบบุญ อรุณปรีชาชัย” นางแบบชาวไทยวัย 24 ปี
เธอสร้างความฮือฮาต่อวงการแฟชั่นไทย ด้วยการปรากฏตัวบนรันเวย์ Burberry ในชุดเดรสลูกไม้สีเทาสไตล์วิกตอเรียน จากคอลเลกชัน Spring / Summer 2020 ใน London Fashion Week ครั้งล่าสุดที่ประเทศอังกฤษ เมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นนางแบบชาวไทยคนแรกและคนเดียว ที่มีโอกาสร่วมงานกับแบรนด์ Hi-End ชื่อก้องโลกนี้
แจนกับลุคสุดปังบนรันเวย์ Burberry
นางแบบสายเลือดไทย ย้อนเล่าถึงประสบการณ์สุดพิเศษบนเวทีระดับโลกครั้งนี้ว่า “ตื่นเต้นค่ะ แล้วก็ไม่เชื่อว่าตัวเองจะได้ เกินคาดกว่าที่คิด ในยุโรปแจนถือว่าเป็นโนเนม ตอนที่แจนเดิน Burberry ก็มีซูปเปอร์โมเดล Bella Hadid,Gigi Hadid,Kendall Jenner ตัวท็อปเยอะมาก นางแบบประมาณ 100 กว่าคน แจนได้ลุคที่ 101 พอดี ก็รู้สึกตื่นเต้นแล้วก็กดดัน
แบ็กสเตจเขาจะมีทีวีให้ดูก่อนออกไปเดิน เห็นว่า เบลล่า จีจี้เดินสับมาก แล้วเราจะทำยังไง แต่ในใจก็คิดว่าอย่าเดินเซ ต้องมีสติ แล้วก็เดินให้ดีให้ได้ แต่แจนว่าแจนทำดีที่สุดแล้ว ด้วยประสบการณ์ 7 ปีที่แจนทำงานมา แจนก็ทำเต็มที่”
เมื่อทีมข่าวถามว่า คิดว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้แบรนด์ยักษ์ระดับโลก ‘เลือก’ เธอให้มาเป็นหนึ่งในการนำเสนอคอลเลกชันนี้ เจ้าของริมฝีปากอวบอิ่มตรงหน้าก็ตอบว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ “เธอเป็นคนไทย”
“Burberry เขาแคสต์จากแคสติ้งไดเรกเตอร์ก่อนถึงจะเข้ารอบไปเจอดีไซเนอร์ ซึ่งยากมาก เหมือนแคสติ้งไดเรกเตอร์คนนี้จำแจนได้จากโชว์ Chanel Cruise ที่กรุงเทพฯ เมื่อปีที่แล้ว เขาก็แอบเชียร์นิดนึงว่า เมื่อไหร่ยูจะมายุโรป แล้วก็พยายามช่วยพูดให้ว่า คนนี้มาจากประเทศไทยนะ ไม่ใช่คนจีน เพราะว่าหน้าแจนจะดูเหมือนคนจีน
ดีไซเนอร์คือ Riccardo Tisci เขาก็สนใจมากขึ้นกว่าเดิม เขาบอกแจนเลยว่าอยากคุยด้วย จริงๆ แจนติดตามอินสตาแกรมเขามานานแล้ว เขาเปลี่ยนแบรนด์ Burberry ให้ดูเก๋ขึ้น แจนไม่คิดว่าเขาจะมาคุยกับเรา อยากเจอแล้วสุดท้ายก็ได้เจอตัวจริง ตอนนั้นเขาถามแจนว่า เคยเดินแบรนด์อะไรมาก่อนรึเปล่า มาจากไหน แต่ตอนนั้นแจนตื่นเต้นมาก จำไม่ค่อยได้ ก็ตั้งสติแล้วก็ตอบเขา ให้รู้เรื่องมากที่สุดค่ะ
แจนว่า Burberry มันมีความเบาแต่ดูมีอะไร เขาจะมีชุดที่เป็นบอยๆ กับเป็นชุดที่ดูผู้หญิงแต่ก็ยังมีความติดเท่อยู่ แจนว่าลุคแจนมันก็ได้ด้วย จริงๆ แบรนด์ Hi-End เขาไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำ เขาไม่ได้ขอดูพอร์ตเลยว่าคุณทำอะไรมา ทำงานมากี่ปี เขาดูแค่ลุคเราตอนนั้นว่าชอบหรือไม่ชอบ ดูคาแรกเตอร์เราว่าโอเคกับแบรนด์มั้ย เดินมาแล้วดูมีอะไร คลิกกับแบรนด์เขารึเปล่าค่ะ”
ไม่เพียงแค่ Burberry เท่านั้น เพราะหลังจากจบ London Fashion Week สาวแจนก็ได้กวาดงานอีก 3 แบรนด์ดัง ใน Milan Fashion Week อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการโกอินเตอร์ในยุโรปครั้งแรกของเธอนี้ ถือได้ว่าประสบความสำเร็จไปอีกขั้น
กวาดอีก 3 แบรนด์ใน Milan Fashion Week
“ระบบแฟชั่นวีกจะมี นิวยอร์ก-ลอนดอน-มิลาน-ปารีส จะไล่มาเรื่อยๆ แต่แจนไปเริ่มที่ลอนดอนเพราะแจนได้เอเยนซีที่ลอนดอน แล้วหลังจากนั้นก็มีเอเยนซีที่มิลานติดต่อมา ก็บินไปเลย มิลานเสร็จก็เป็นปารีส เป็นครั้งแรกที่ได้มีประสบการณ์ในการวิ่งแฟชั่นวีก เพราะพอจบ Burberry ปุ๊บ แจนก็บินแล้วก็ไปแคสติ้งวันแรกเลย แคสต์ประมาณ 10 กว่าที่ ที่มิลานสรุปแจนได้ 3 โชว์ คือ Peter Pilotto,Frankie Morello แล้วก็ Dolce & Gabbana
ของ Dolce & Gabbana เขาจำแจนได้ แจนเคยถ่าย Lookbook กับเขาปีที่แล้ว แจนไม่ได้ไปแคสต์ เขาเรียกให้ไปฟิตติ้งแล้วก็ให้เดินเลย แต่หลังจากจบ Milan Fashion Week เหมือนไปชนกับวันแรกของ Paris Fashion Week กว่าแจนจะไปถึงปารีส มันช้าไป เขาแคสติ้งกันไปหมดแล้ว ที่ปารีสแจนเลยไม่ได้โชว์ค่ะ
พอเราเรียนรู้จากแฟชั่นวีกครั้งนี้ว่าเราพลาดอะไรไปบ้าง เราไม่เคยเดินทางต่อไฟลต์จากลอนดอน มิลาน ปารีสเยอะขนาดนี้ ถึงเราจะสู้ยังไงแต่พลังข้างในมันไม่ได้เต็มที่ ครั้งหน้าต้องเตรียมตัวดีกว่านี้ ก็จะทำมันให้ดีที่สุด ตอนนี้แจนมีเอเยนซีที่ลอนดอน มิลาน แล้วก็ปารีสครบแล้ว ต้องมีเอเยนซีก่อนเพื่อที่จะได้ Working Visa ไม่งั้นไม่สามารถไปทำงานได้ เหลือที่นิวยอร์กยังไม่มี กะว่าจะลองในยุโรปให้ดีที่สุดก่อน ถ้ามีโอกาสก็อยากไปนิวยอร์กค่ะ”
แตกต่างแค่ไหน งานไทย VS งานนอก "ในไทยกับต่างประเทศจะมีความต่างในเรื่องของวัฒนธรรม อย่างเรื่องโป๊เปลือยอะไรแบบนี้ แต่จริงๆ ในวงการแฟชั่น เวลาเขาถ่ายมันก็เป็นงานอาร์ตมากกว่า มันไม่ใช่โป๊เพื่อไปมีความเซ็กซี่หรือว่าอะไร เมืองนอกเขาจะถามว่าลิมิตเราได้ขนาดไหน ถึงขั้นนู้ดรึเปล่าหรือแค่บิกินี เขาจะถามเราก่อนเพราะเข้าใจวัฒนธรรมเอเชีย ของแจนก็บอกเขาว่าขอไม่นู้ดแล้วกัน บิกินีเรายังโอเค มันยังเป็นชุดว่ายน้ำ หรือว่าเป็นชุดสปอร์ตก็ยังรับได้ ความต่างก็จะมี อย่างเรื่องแฟชั่นโชว์ ที่ไทยจะนัดทั้งวันเลย เพื่อโชว์ประมาณหัวค่ำ แต่ที่เมืองนอก โชว์ตอนบ่าย เขาจะนัดแค่ครึ่งวัน แจนคิดว่ามันเป็นวิธีการทำงานของคนแต่ละประเทศมากกว่า สิ่งแวดล้อมก็เกี่ยวค่ะ อากาศ บ้านเราร้อนกว่า เขาก็ต้องใช้เวลาในการทำนู่นทำนี่ แล้วก็เรื่องแคสติ้งค่ะ ที่ไทยบางทีลูกค้าจำแจนได้ ดูจากรูปแล้วก็ให้งานเราเลย แต่ที่ต่างประเทศมันยากมากที่แคสติ้ง บางทีแจนไปนั่งรอ เขาเดินออกมาแล้วชี้เลยว่า ยูไปได้เลย ไม่เอาจ้ะ มันจะมีความเหนื่อย ความที่ต้องต่อสู้ ด้วยภาษาแจน แจนเป็นคนพูดอังกฤษได้เลเวลกลางๆ ไม่ได้พูดเก่งอะไรมาก เวลาไปเราต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง ไปทำงานกับชาวต่างชาติ มันจะอีกฟีลนึง อย่างช่างภาพที่ลอนดอน เขาก็จะปล่อยให้นางแบบอยากทำอะไรทำ เดี๋ยวฉันถ่าย เขาจะบอกแค่สตอรี่ว่าประมาณนี้ แต่แจนเคยเจอที่ไม่บอกเลยก็มี บอกแค่ Sit Down แล้วแจนก็คิดในใจว่าให้เราทำอะไร ไม่บรีฟค่ะ เขาปล่อยเราเลย เขาก็ถ่าย แล้วรูปก็ออกมาดี เหมือนให้เราคิดเองว่าอยากทำอะไร หรือให้เป็นตัวเราไปเลย แค่นั้นจบ บ้านเราจริงๆ มันง่ายด้วยความที่เราพูดภาษาไทย แล้วเราคุ้นเคยกับพี่ๆ ทีมงาน มันก็จะทำงานได้ลื่นไหลมากกว่า แต่พอไปต่างประเทศเราไม่รู้ว่าช่างภาพคนนี้แนวไหน เขาถ่ายแบบไหน สไตลิสต์คนนี้เขาชอบสไตล์อะไร เราก็ต้องไปเรียนรู้ใหม่หมดเลย แจนพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง แจนก็ใช้วิธีการตั้งสติแล้วก็ฟังให้เข้าใจมากที่สุดว่าเขาต้องการอะไร แต่ด้วยประสบการณ์ที่แจนเรียนรู้จากในไทย มันทำให้แจนเรียนรู้ได้เร็วขึ้น" |
ก้าวข้ามคำบูลลี่ “สูงเหมือนเปรต-หน้าแบน-หน้าผากกว้าง”
แม้รูปร่างที่สูงระหงและใบหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ จะเป็นใบเบิกทางให้เธอก้าวสู่วงการนางแบบในระดับโลกได้ แต่ในอดีตนั้น กลับเป็นสิ่งที่ถูกเพื่อนรังแกด้วยคำพูดต่างๆ นานา เพียงเพราะเธอ ‘แตกต่าง’ จากคนอื่น ทำให้เธอกลายเป็นคนขาดความมั่นใจ และเลือกที่จะเก็บซ่อนความพิเศษของตนเองไว้แทน
“ตอนมัธยมก็จะโดนเพื่อนล้อมาตลอดว่า ตัวสูงจัง สูงเหมือนเสาไฟฟ้า หน้าแบนบ้าง หน้าผากกว้าง แต่ละคำที่พูดมาไม่มีอันไหนที่ไปในทางสวยเลย(หัวเราะ) แจนก็แบบ...เฮ้ย เราเป็นขนาดนั้นเลยเหรอ แต่เราเป็นคนฟังแล้วปล่อยๆ มันไป
แต่พอเพื่อนพูดบ่อยขึ้นมันมีผลกระทบกับเรา อย่าง ตอน ม.ต้น แจนสูง 173 ซม.แล้ว ปกติแจนเป็นคนที่เดินหลังตรง กลายเป็นเดินหลังค่อมเลย เพื่อนก็จะบอก “ไปเดินไกลๆ ไม่อยากเดินด้วย สูงเกินไป” ตอนที่โดนเพื่อนล้อว่าหน้าผากกว้าง ก็ไปตัดหน้าม้า จะพูดในแนวพูดเล่นๆ มากกว่า ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนที่ไม่สนิทค่ะ
ฉายแววนางแบบตั้งแต่สมัยมัธยม
เรียกแทนชื่อเลยก็มีตอนนั้น เพื่อนจะเรียก “ไอ้เปรตมานี่ดิ๊ ไอ้โย่ง” อะไรแบบนี้ แจนค่อนข้างเป็นคนคิดบวก เวลาคนพูดอะไรแบบนี้มาก็คงเรียกชื่อแหละมั้ง แจนก็เลยแล้วแต่เขา อยากเรียกอะไรก็เรียก
ที่เกิดมาสูง ไม่เคยเสียใจเลย แต่แค่เสียบุคลิกภาพเท่านั้น เพราะแม่จะคอยบอกว่า “สูงก็ดีแล้ว ไม่เหมือนใคร” เราก็ดีใจ ไม่เหมือนใคร เวลาไปเดินตามถนน ป้าข้างบ้านก็จะทัก สูงดีเนอะ คนใกล้ชิดจะพูดไปในทางที่ดีมากกว่า
จริงๆ มันเพิ่มแค่ความสูงแต่น้ำหนักไม่ได้เพิ่ม ตอนนี้แจนหนัก 53 กก. สูง 180 ซม. แจนเป็นคนทานเยอะที่รู้ว่ามันพอดีว่าอิ่มแล้วก็หยุด แล้วไม่ชอบทานนมเลย คุณพ่อสูงประมาณ 178 ซม. แม่ประมาณ 168 ซม. แจนมีน้องสาวคนนึงแต่จะไม่สูงเท่าแจน แจนสูงที่สุด ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสูงได้ยังไง แต่ตอนเด็กๆ แจนชอบโหนราวตากผ้า น่าจะเกี่ยวนะทำให้แขนแจนยาว”
แต่เมื่อเธอได้มีโอกาสก้าวเข้ามาในเส้นทางสายอาชีพนางแบบ ก็ทำให้มุมมองความคิดเปลี่ยนไป จากเด็กสาวขี้อายที่แม้แต่สยามฯยังไม่กล้าเดิน กลายเป็นนางแบบสุดมั่นที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยเพราะเธอเคารพและภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น
“หลังจากนั้นเราก็คิดได้ว่า เราไม่ต้องหน้าม้าก็ได้นี่ มันไม่ใช่ตัวเรา เราไม่ได้สะดวกสบายในการมีหน้าม้าขนาดนั้น พอเริ่มเข้ามาวงการนางแบบ จากที่เดินหลังค่อมก็ต้องเดินหลังตรง เพราะนางแบบเขาไม่เดินหลังค่อมกัน
นางแบบก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สอนให้แจนเป็นตัวของตัวเอง ได้มาเรียนรู้ตัวเอง รู้จักตัวเองมากขึ้น ได้เป็นตัวเองแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ แจนคิดว่าต้องเป็นตัวเองให้ได้มากที่สุดค่ะมันถึงจะมีเสน่ห์ ถ้าคุณยิ่งไปฟังคำวิจารณ์คนอื่นแล้วเอามาใส่ในตัวเองมากไป แจนว่ามันไม่ค่อยธรรมชาติเท่าไหร่
ต้องขอบคุณแจนในวัยเด็ก เพราะว่าแจนในวัยเด็กทำให้แจนในปัจจุบันได้เรียนรู้ว่าที่ฟังคนอื่นมาแล้วเอามาใส่ตัวเองมากเกินไป มันไม่โอเค ไม่เป็นตัวเองเลย ทำให้มาเป็นแจนในวันนี้ คำแนะนำดีๆ มีเข้ามาก็ฟังได้ แต่อันไหนที่มาว่าเรา แบบว่า วันนี้เดินไม่ดีเลยนะ ทำไมก้าวขาแบบนี้ล่ะ เราก็เอากลับมาดูเป็นคำแนะนำแล้วเอามาพัฒนาตัวเองได้ถ้าเราเดินไม่ดีจริง แต่ถ้าคำนั้นมันไม่จริงก็อย่าไปฟัง ลืมๆ ไป”
เพราะ “ความสวย” ไม่ได้มีแบบเดียว “แจนเคยเจอเพื่อนที่เป็นคล้ายๆ โรคคลั่งผอมหรือโรคอะนอเร็กเซีย (Anorexia Nervosa) เขาทานขนมขบเคี้ยวเสร็จแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำ ไปล้วงคอ ล้วงแบบจริงจังเพื่อให้อ้วกออกมา เห็นเลยค่ะเขาเปิดประตูอยู่ แจนก็ช็อก เลยเดินไปคุยกับเขาว่า ยู โอเคมั้ย ล้วงคอแบบนี้ประจำเลยเหรอ มันไม่โอเคนะ ทำไมยูไม่ออกกำลังกายล่ะ แจนก็เป็นคนทานขนมเกือบทั้งวัน แต่แจนเป็นคนออกกำลังกาย ล้วงคอแบบนี้มันอาจจะเวิร์กสำหรับเขา แต่แจนว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพ ตอนนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้วค่ะ อย่างที่ลอนดอนเขาจะเปิดกว้างมากๆ เรื่องนางแบบพลัสไซส์ นางแบบที่เป็นทรานส์เจนเดอร์ นางแบบพลัสไซส์คือไซส์แบบเท่านี้เลย(อ้าแขนกว้าง) เซอร์ไพรส์เหมือนกัน แล้วไม่ใช่มีคนเดียวนะคะ แต่ละโมเดลลิ่งจะมีเยอะมาก เป็นพลัสไซส์ที่มีเซลลูไลต์ เขาใส่แค่บรากับกางเกง โชว์ให้เห็นรูปร่าง หรือแม้แต่ที่ไทยแจนก็เจอนางแบบคนนึงมาจากรัสเซีย ร่างกายกับผมเขาจะเป็นสีขาวคล้ายๆ เผือกค่ะ เขาเป็นตั้งแต่เกิด ตาสีขาว ผมสีขาว ตัวสีขาว ก็เป็นนางแบบได้ เพราะว่าตอนนี้มันเป็นยุค Diversity(ความหลากหลาย) ไม่จำเป็นแล้วว่านางแบบจะต้องสวย หุ่นเพรียวอีกต่อไปแล้ว แจนคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมากๆ และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้คนเปลี่ยนความคิดได้ สำหรับคนที่ยังไม่มั่นใจ ให้เลิกความคิดนั้นไปก่อน แล้วก็ใช้ชีวิตเชื่อมั่นในตัวเอง อย่างที่แจนบอก เขาไม่ได้บอกว่านางแบบต้องผอม คนที่อ้วนพลัสไซส์ ผิวสี หรือหน้าเป็นเอเลี่ยน ในเมืองนอกเยอะแยะ ทุกคนมีดีในตัวเอง ไม่ต้องไปเหมือนใครหรือไปตามใคร เราอยากทำอะไรเราสามารถทำได้ จะใส่ถุงเท้าคู่ละสี หรือว่าแต่งตัวเอาเสื้อผ้าผู้ชายมาใส่ เป็นตัวของตัวเอง คิดว่าอันไหนเราทำแล้วมีความสุข ใส่แล้วมั่นใจก็ทำเลยค่ะ” |
ไม่แข่งกับใคร แต่แข่งกับตัวเอง
ก่อนที่ชื่อของ แจน ใบบุญ จะเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในแวดวงแฟชั่นไทย บอกเลยว่าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะนอกจากจะเจอเหตุการณ์ถูกบูลลี่ในอดีตแล้ว เจ้าของความสูง 180 ซม.ก็ไม่มีความรู้ความเข้าใจในเส้นทางสายอาชีพนี้แม้แต่นิดเดียว แถมยังเคยผิดหวังจากเวทีการประกวดชื่อดังอีก แต่อะไรที่ทำให้เธอกลายเป็นนางแบบดังได้ ติดตามจากบรรทัดต่อจากนี้
“แจนเริ่มต้นจากการไปประกวดไทยซูปเปอร์โมเดล 2011 ตอนอายุ 16 ปี ก่อนที่จะมาประกวด แจนก็เป็นนักเรียนในโรงเรียนมัธยมรัฐบาลปกติ แจนเป็นคนโดนยุงกัดง่าย น้ำเหลืองไม่ดี จุดด่างดำที่ขา หน้าเราไม่ได้สวยตามฉบับไทย ไม่มีใครเคยบอกเลยว่าเราสวย มีแต่แม่บอกว่าลูกฉันสวยนะ แล้วก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจ ขี้อายมาก ไม่รู้จักเลยว่านางแบบคืออะไร เปิดแมกกาซีนอยู่ยี่ห้อเดียวคือ Cheeze รู้แค่นางแบบคือคนที่โพสท่า แล้วก็ไม่รู้จักเรื่องใดๆ เลย
จนมีเพื่อนและครูที่โรงเรียนบอกว่า “สูงจัง ทำไมไม่ลองเป็นนางแบบดู” พูดทุกวัน เราก็เห็นว่ามีเวทีนี้เลยชวนเพื่อนคนนึงสูงเหมือนกันแต่แจนจะสูงกว่า ก็ชวนกันไป ไม่เคยฝึกเลย เปิดยูทูบดูค่ะว่าเขาเดินยังไง แล้วก็เดินตาม แต่ตอนนั้นแจนไม่ได้เข้ารอบไปในการแข่งขันของเขาค่ะ
ตอนไปประกวดไม่ได้คาดหวังเลย พอไม่ได้เข้ารอบก็ไม่ได้เสียใจอะไรค่ะ เราคงไม่เหมาะกับการแข่งขันหรือการประกวดอะไรแบบนี้ เหมือนใจมันไม่ไปค่ะ พอไปลองทำแล้วแบบ...รู้สึกไม่ค่อยคลิกเท่าไหร่ คงไม่ได้หรอกเวทีนี้ แล้วก็ไม่ได้คิดด้วยว่าตัวเองจะมาเป็นนางแบบ”
หลังจากอกหักจากเวทีเฟ้นหานางแบบ เธอตระหนักได้ว่าเส้นทางสายการประกวดอาจไม่เหมาะกับตนเอง แต่ถึงอย่างนั้นเส้นทางนางแบบยังอ้าแขนเปิดรับ ด้วยหน้าตาและความสูงที่หาตัวจับยาก ทำให้ไปสะดุดตาแมวมองคนหนึ่ง เป็นผู้นำพาเด็กสาวผู้นี้มาเจียระไน และได้มาเป็นเพชรเม็ดงามมาประดับวงการนางแบบไทยตราบเท่าทุกวันนี้
“ตอนนั้นแม่กลัวถูกเขาหลอก เพราะมันมีข่าวโมเดลลิ่งหลอก แต่พอไปเจอไปพูดคุยกับพี่เขา ก็ไว้ใจได้ พี่เขาก็ส่งงานให้ แรกๆ มีงานเดินแบบเป็นธีสิสนักศึกษาให้ทำ ก็รู้สึกชอบเดินแบบเลย พอใส่ส้นสูงแล้วชอบ เหมือนได้ฝึกเดินแบบจากงานนั้น เป็นประสบการณ์ ก็มี ELLE Fashion Week ตอนนั้นไปแคสต์ แจนจำได้ว่าได้เกือบทุกโชว์เลย เราก็แบบ...เราก็เป็นนางแบบได้นี่ ก็ทำงานมาเรื่อยๆ ก็เป็นโอกาสดีที่ได้เข้ามาในวงการแฟชั่น
ตอนนั้นแจนก็ได้พี่คนนี้อีกเหมือนกัน ชื่อพี่ฟลุค เขาเป็นโค้ชให้แจนด้วย แจนก็เรียนเดินแบบกับเขา เขาก็สอนฟรีเพราะเขาอยากดันแจนไปให้ไกลกว่านี้ แจนก็ฝึกเดินแบบ แล้วก็ดูจากยูทูบ แล้วก็มีพี่ๆ ช่างแต่งหน้า เขาก็แนะนำว่า แจนลองเปิดแมกกาซีนมั้ย ลองศึกษาจากหนังสือ หลังจากนั้นก็มีอินสตาแกรมเข้ามา โซเชียลฯก็ช่วยได้เยอะเลยค่ะ เราได้ศึกษาเทรนด์ แล้วก็ได้ศึกษาว่าโลกเขาไปถึงไหนแล้ว
จะลุคไหนก็เอาอยู่
มีคนบอกว่า “แจน Born to be a Model” แจนก็ว่าจริงเหรอ เราก็เป็นแค่คนธรรมดาที่เดินแบบได้ ด้วยความที่เราไม่ได้เรียน ใช้ประสบการณ์แล้วก็ฝึกเอง เดินไปด้วยฟีลลิ่งที่เป็นตัวเราเอง มันก็เลยทำให้ไม่เหมือนใคร กับมีคนชมเรื่องหน้าเก๋ ถึงหน้าจะแบนแต่ก็เก๋ หน้าแจนเหมือนเป็นกระดาษแผ่นนึงที่คนจะวาดอะไรลงไปแล้วมันก็จะเปลี่ยนไปตามฟีลลิ่งที่คนวาด แล้วพอหลังๆ คนชมเยอะ แจนก็เริ่มมาดูตัวเอง เราก็ทำได้เหมือนกันเนอะ เราก็มีคาแรกเตอร์ของตัวเอง
สำหรับใครที่ตั้งใจไปประกวดมากๆ แจนคิดว่าทุกคนอย่าคาดหวังอะไรมากเกินไป เวทีมันไม่ได้มีเวทีเดียว มันยังมีเส้นทางอื่นที่เราจะไป เวทีในไทยเยอะมาก แล้วคนที่ให้โอกาสแจนว่าก็มีเยอะถ้าเราลุคได้ และมีความพยายาม ก็อย่าเสียใจและอย่าคาดหวังเยอะ”
โอกาสมา...ต้องคว้าไว้ “แจนมีเรื่องเล่า วันนั้นแจนไปถ่ายแบบแล้วโพสท์ท่าไม่ได้ เขาบรีฟมาว่าเป็นแบบสตรอง ให้แข็งแรง แต่แจนไม่รู้ว่าแข็งแรงในที่นี้อินเนอร์ต้องทำยังไง โพสต์ไปพี่ช่างภาพก็บอกยังไม่ได้ๆ กดดันมาก ตอนนั้นแต่งหน้ากับ พี่เป็ด (อภิชาติ นรเศรษฐากรณ์) พี่เขาก็เป็นช่างรุ่นใหญ่อีกคนที่ทุกคนนับถือแต่เสียชีวิตไปแล้ว พี่เป็ดจูงแขนแจนออกจากเซ็ต พาไปนั่งแล้วบอก “แจน แกคิดนะว่ามีคนอยากเป็นแบบแกกี่คน แกได้มีโอกาสตรงนี้แล้วทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ” จำได้ตลอดชีวิตเลย ตอนแรกแจนร้องไห้หนักมาเพราะโพสต์ท่าไม่ได้ หลังจากนั้นหยุดร้องไห้ พูดแล้วขนลุก แล้วก็คิด ทำไมเราจะทำไม่ได้ ในเมื่อคนอื่นทำได้ ทำไมไม่ลองทำดู กลับไปโพสต์ ก็ทำออกมาได้ดี เหมือนตอนแรกเราปิดกั้นตัวเองมากๆ ว่ามันไม่ได้ แล้วเรากดดันตัวเอง มันทำให้เราไม่เปิดใจแล้วก็ไม่รับรู้สารที่ช่างภาพและสไตลิสต์ต้องการ ตอนแรกแจนไม่รู้ว่าเขาแข่งขันอะไรกันสูงขนาดนี้ อยากมีคนเป็นนางแบบเยอะขนาดไหน เพราะแจนเข้ามาแบบงงๆ มาจากศูนย์จริงๆ ต้องบอกก่อน เข้ามาใหม่ๆ แจนโพสท์ท่าไม่เป็นเลย เวลาไปถ่ายแบบแจนยืนตรงแบบนี้(เอาแขนแนบลำตัว) ตรงแบบไม่ทำอะไรเลย จนพี่เขาบอกแขนแบบนี้ ขาแบบนี้ หลังจากนั้นแจนก็เริ่มเปิดแมกกาซีน เปิดอินสตาแกรมศึกษา ตอนนี้แจนรู้สึกภูมิใจค่ะ เพราะว่าแจนตั้งเป้าหมายว่าอยากไปขึ้นอยู่ในเว็บ Model.com หรือว่าเดินโชว์ใหญ่ๆ ซักแบรนด์นึงในแฟชั่นวีกระดับโลก วันนี้ทำได้แล้ว แต่แจนมองไปว่ายังสามารถทำอะไรต่อได้อีกค่ะ เราไม่ได้จบแค่นี้ เรายังมีโอกาสไปต่อ เพราะแจนเคยพลาดโอกาสในอดีต เคยมีพี่ๆ ให้โอกาสแจนหลายๆ งาน แล้วแจนปฏิเสธไป แจนคิดว่าถ้าโอกาสมาแล้วควรคว้าไว้ จริงๆ อันนี้คือประสบการณ์จริง ไม่ว่าจะเป็นโอกาสอะไรก็ตาม ไม่ควรปล่อยไป แล้วทำมันให้ดีที่สุด” |
ชีวิตนางแบบในต่างแดน “ท้อ-กดดัน-แข่งขันสูง”
อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นด้วย รูปร่างหน้าตาและสเต็ปการเดินอันเป็นเอกลักษณ์ ส่งให้แจนได้มีโอกาสร่วมงานในเวทีระดับโลกอย่าง Fashion Week 2019 แต่นั่นไม่ใช่งานในต่างแดนครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้ นางแบบเลือดไทยได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการ โกอินเตอร์ในแถบเอเชียมาก่อนแล้ว
“แจนทำงานที่ไทยได้ประมาณ 3 ปี ก็มีคนจากฮ่องกงมาเฟ้นหานางแบบที่ไทย แล้วแจนก็ได้ไปเจอตัวเขา ก็ได้คุยกันแล้วเขาสนใจ แจนก็ตกลงแล้วลองไปอยู่ฮ่องกง 2 เดือน มีเพื่อนนางแบบอีกคนนึงที่เป็นคนไทยไปด้วยกัน
ครั้งแรกที่โกอินเตอร์ก็ตื่นเต้นค่ะ เหมือนได้ไปอยู่โมเดลอพาร์ตเมนต์ ได้ไปใช้ชีวิตเป็นนางแบบในต่างประเทศจริงๆ ต้องวิ่งแคสติ้งทุกวัน กว่าจะได้แมกกาซีนอันนึงคือยากมาก แจนก็แบกพอร์ตไปเองเวลาไปแคสต์งาน แล้วก็มีคอมการ์ดใบเล็กๆ เป็นกระดาษ A5 ที่มีรูปเรา มีสัดส่วน และเบอร์ติดต่อของเอเยนซี เพื่อให้เขาจำเราได้ว่าคนนี้มาแคสติ้งแล้วนะ
นางแบบที่ต่างประเทศส่วนใหญ่เวลาไปแคสต์ไปด้วยตัวเอง แบกพอร์ตไปคนเดียว เพราะมันไม่มีใครพาไป แจนว่านางแบบเป็นอาชีพที่ต้องใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเองให้ได้ถึงจะอยู่ได้”
แม้การโกอินเตอร์จะเป็นความฝันของใครหลายๆ คน แต่เมื่อได้ลงสนามจริงกลับพบว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งการใช้ชีวิตตามลำพังในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก ทั้งยังต้องแข่งขันกับนางแบบคนอื่นๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งงานสักชิ้นหนึ่ง เวลานับถอยหลังวันแล้ววันเล่า แจนยอมรับว่าท้อ แต่เมื่อได้รับโอกาสมาแล้วก็ต้องฮึดสู้
“ตอนฮ่องกงแจนขอไปช่วงปิดเทอม แจนเอาเรื่องเรียนเป็นหลัก จำได้ว่าเดือนแรกไม่มีงานเลย แคสติ้งอย่างเดียวค่ะ เพราะว่าเราโนเนม ไม่มีใครรู้จักเรา จริงๆ มันท้อแต่ต้อง Keep Going เราต้องไปต่อให้ได้ แจนคิดว่าถ้าเราท้อ มันก็จะไม่มีอะไรดีขึ้น อันนี้คือประสบการณ์ที่แจนเรียนรู้จากการใช้ชีวิตมาเอง ถึงแม้จะท้ออยู่ในใจแต่ยังไงก็เดินหน้าต่อไปให้ได้
แจนเป็น Homesick ตลอด เวลาไปที่ไหนจะคิดถึงบ้าน แต่โชคดีที่มีโซเชียลฯ คุยกับแม่เกือบทุกวัน แล้วเวลาบินไปต่างประเทศ เวลาไม่ค่อยตรงกัน ถ้าเป็นไปได้จะคุยกับแม่มากที่สุด แม่แจนจะเป็นคนไม่ได้พูดเหมือนรักลูกแนวโอ๋ แม่จะพูดแบบว่า ถ้าไปก็ระวังตัว แล้วก็เวลาใครชวนไปปาร์ตี้ก็ให้ระวัง จะเป็นแบบเตือนมากกว่า
แจนไม่ได้คาดหวังเลย เป็นคนไม่ค่อยคาดหวังเพราะรู้ว่าครั้งแรกเราคงไม่ได้หรอก แต่พออยู่ได้ซักเดือนนึง มันเริ่มมีเรื่องค่าใช้จ่ายเข้ามาเยอะขึ้น ก็เริ่มคิดแล้วว่าจะทำยังไง แต่หลังจากเดือนแรกเขาเริ่มรู้แล้วว่าคนนี้มาจากประเทศไทย ก็ค่อยๆ มีงาน ได้ถ่ายแมกกาซีนบ้าง เป็นพวก Lookbook เสื้อผ้า เริ่มมีงานก็รู้สึกดีขึ้น รู้สึกว่าเราทำได้”
หลังจากการทำงานในฮ่องกงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี โอกาสในการไปต่างแดนครั้งถัดไปก็มาถึงอีกครั้ง เธอได้ร่วมงานแฟชั่นวีกที่สิงคโปร์ และมีงานถ่ายแบบในต่างแดนเข้ามาไม่ขาดสาย
“หลังจากฮ่องกงแจนก็ไปได้ที่สิงคโปร์ 2 เดือน เป็นเหมือนเดิมค่ะ เดือนแรกไม่มีงานเลย คือแบบ...เราก็มีพอร์ตจากเมืองไทย จากฮ่องกงมาแล้วนะ ทำไมไปแคสติ้งแล้วเขาไม่สนใจเราเลย เริ่มท้อแล้วก็แอบเครียดเหมือนกัน แต่พอเดือนที่ 2 เป็นช่วงแฟชั่นวีกพอดี ที่ฮ่องกงกับสิงคโปร์ ถ้าใครไม่สูง 180 ซม. เขาจะไม่เรียกเข้าไปแคสต์ แม้แต่จะเจอตัวจริงเขาก็ไม่เลย แจนสูง 180 ซม. เลยสามารถไปแคสต์ได้ โชคดีได้แฟชั่นโชว์เกือบทุกวัน”
และเมื่อบทสนทนาดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย แจนได้กล่าวถึงการเตรียมตัวสู่รันเวย์แฟชันวีคในครั้งหน้า ที่นอกจากจะต้องพกความมั่นใจไปด้วยแล้ว เธอยังต้องดึงความเป็นตัวของตัวเองออกมาให้มากกว่านี้ เพื่อที่จะไปแข่งกับนางแบบอีกนับพันชีวิตที่มีเป้าหมายเดียวกัน
“ตอนนี้แจนตั้งเป้าว่าจะไปให้สุดในยุโรป อยากลองดูว่าซีซันหน้าจะเป็นยังไง แจนจะไปลองแฟชั่นวีกอีก แต่ด้วยรูปร่างที่มาจากทั่วทุกมุมโลกมากองรวมกันอยู่กับแฟชั่นวีกงานเดียว เขาก็มีหลายตัวเลือก แล้วคนมาเยอะมากเป็นพันๆ คน นางแบบจีนก็เป็นร้อย เราก็ยิ่งหน้าจีน เขาก็เหมารวมว่าเราเป็นคนจีน
เราเตรียมเอเนอจี้เราไปสุดแล้ว คิดว่าเราทำดีที่สุดแล้ว แต่จริงๆ ไม่ใช่ พอไปเวทีระดับโลกมันยังมีคนที่ดีกว่าเรา แต่จะเตรียมตัวไปให้ดีที่สุด แจนก็เลยคิดว่าต้องพัฒนาตัวเองเรื่องคาแรกเตอร์ให้ชัดพอที่จะไปอยู่ในนั้น ที่แจนจะพัฒนาคือเรื่องเดินแบบ ให้มันสตรองกว่านี้ เพราะว่าโดยลึกๆ แล้วแจนเป็นคนเรียบๆ เบาๆ พอไปเวลาระดับโลกบางแบรนด์คาแรกเตอร์ต้องชัดมากๆ แจนก็จะพัฒนาแล้วลองกลับไปอีกครั้ง
7 ปีที่เป็นนางแบบมา ประสบการณ์สอนแจนเยอะมาก อาชีพนางแบบทำให้แจนเป็นแจนอย่างทุกวันนี้ แล้วก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาไกลได้ขนาดนี้ แล้วก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาเป็นนางแบบ แต่พอได้เป็นแล้วเราก็ภูมิใจที่ตัวเองทำได้ค่ะ”
“บ้านอรุณปรีชาชัย” กำลังใจของใบบุญ “แจนมาเป็นนางแบบตอนอายุ 16 เริ่มหาเงินได้ ก็เก็บๆๆ พอช่วงเข้ามหาวิทยาลัยก็ขอแม่ว่า เดี๋ยวค่าเทอมขอส่งตัวเองนะ ถ้าเราเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยก็สามารถเรียนให้จบได้ จริงๆ อยากเป็นนางแบบให้สุด แต่ที่บ้านต้องการให้แจนจบปริญญา แจนก็จบ 3 ปีครึ่ง(คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ) ก็เอาใบปริญญาให้แม่ ที่บ้านแจนฐานะปานกลาง พ่อกับแม่ก็ยังทำงานอยู่ แม่ทำอาชีพเสริมสวย พ่อทำเกี่ยวกับอะไหล่รถยนต์ญี่ปุ่น เซียงกงค่ะ รายได้ก็พอเลี้ยงดูครอบครัวได้ แต่แจนคิดว่าเราหาเงินได้ ก็ขอแม่ว่าจ่ายเอง แม่กับป๊าไม่ต้องออก อยากให้ป๊ากับแม่เอาเงินที่หามาไปใช้ในชีวิตตัวเองบ้าง ไม่ต้องส่งเรา การเรียนจบกับอาชีพนางแบบแจนคิดว่าจำเป็นนะ พอมันผ่านมาทุกอย่างแล้วขอบคุณแม่มาก เพราะมันจะได้จบเป็นอย่างๆ เราจะได้ไม่ต้องมากังวลว่าเป็นนางแบบแล้วต้องกลับไปเรียนอีก เพื่อนก็จบกันหมดแล้ว สมมติว่าเราไม่มีอาชีพนางแบบ เราก็ยังเอาความรู้ตรงนี้ไปทำงานได้ แจนเรียนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวมา แจนว่าเอาความรู้ไปใช้ได้ หรือว่าเราจะต่อปริญญาโทเราก็ต่อได้เลย ตอนนี้ก็เหลือน้องคนนึง ก็ขอแม่เหมือนกันเดี๋ยวส่งน้องเอง แล้วค่าใช้จ่ายที่บ้านแจนก็อาสาขอออก ทุกคนควรบริหารเงินค่ะไม่ใช่แค่อาชีพนางแบบ ควรรู้ว่ารายรับรายจ่ายอะไรยังไง ก่อนหน้านี้แจนไม่เป็นเลย แค่ได้เงินมาก็ใช้ไป แต่พอหลังๆ เริ่มโตขึ้นต้องคิดแล้วว่าเราเก็บเท่านี้แล้วใช้จ่ายเท่านี้ ก็มีแม่ช่วยสอนเหมือนกัน ส่วนชื่อ “ใบบุญ” ที่มาก็คือ แม่ไปขอประทานจากสมเด็จพระสังฆราชองค์เก่าค่ะ ท่านประทานว่า “ใบบุญ” แปลว่า “ผู้คุ้มครอง” |
สัมภาษณ์โดย : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ภาพ : กัมพล เสนสอน
ขอบคุณภาพ : อินสตาแกรม @jbaiboon
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **