xs
xsm
sm
md
lg

บ่เป็นหยัง..บ่ต้องโป๊ “กวาง-จิรพรรณ” ลูกทุ่งสาว “เจ้าแม่ร้อยล้านวิว” [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


จะมีสักกี่คนที่ทำได้แบบนี้? ตอนยังไม่ได้เป็นศิลปิน คัฟเวอร์เพลงลูกทุ่งครั้งแรกในชีวิต ได้ยอดทะลุ 1.5 ล้านวิว พอปล่อยซิงเกิลแรกของตัวเองออกมา ก็โกยความนิยมไปถึง 1.8 ล้านวิวภายใน 1 ชั่วโมง พอๆ กับซิงเกิลที่ 2 ที่ยังคงทะลุหลักล้าน ได้ 1.5 ล้านวิวภายใน 1 วัน แถมเพลงฮิต “บ่เป็นหยัง เค้าเข้าใจ” ของเธอ ยังดังจนทะลุ “100 ล้านวิว” ไปนานแล้วด้วย!!

เห็นตัวเลขแบบนี้ บางคนอาจตีความไปถึงเรื่องการตลาด แต่สำหรับลูกทุ่งสาวเจ้าของสถิติคนนี้แล้ว เธอมองว่ามันคือหลักการันตีคุณภาพ ที่ได้มาโดย “ไม่ต้องแต่งโป๊-โชว์วาบหวิว” ภายใต้ชื่อแบรนด์ “กวาง-จิรพรรณ บุญชิต”



แตกต่างด้วยสไตล์ ดังได้-ไม่ต้องโป๊!!

“ด้วยน้ำเสียงของหนูด้วยมั้งคะ ที่มันอาจจะเข้ากันกับลักษณะของเพลงเศร้า ก็เลยกระชากอารมณ์คนฟังได้” ลูกทุ่งสาววัย 26 แทบจะให้เครดิตตัวเองเป็นเหตุผลท้ายๆ จากคำถามที่ผู้สัมภาษณ์ยิงไปว่า “มีเคล็ดลับอะไร ทำไมปล่อยมากี่เพลง ถึงได้ทะลุล้านวิวตลอดเลย?”

เพราะเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ยอดวิวเข้าสู่เลข 7 หลักได้ เธอยกให้กับทีมงาน “ไทบ้านเดอะซีรีส์” ภายใต้การดูแลของ “บริษัท เซิ้ง โปรดักชั่น แอนด์ ออแกไนเซอร์” รายเดียวกับที่ปั้นแบรนด์ “กวาง-จิรพรรณ บุญชิต” ให้โด่งดังมาได้จนถึงทุกวันนี้

“ต้องยกความดีความชอบให้ทีมงานค่ะ ทีมงานเขาเก่ง และด้วยกระแสหนัง “ไทบ้านเดอะซีรีส์” ด้วยค่ะ เพราะเพลงหนังเรื่องนี้ดัง ใครที่เป็นคนอีสานจะติดตามเรื่องนี้อยู่แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีเพลงประกอบเยอะมากด้วยค่ะ ก่อนหน้านี้ก็มีที่ดังๆ มาแล้ว 3-4 เพลง พอหนูมาร้อง เพลงก็เลยติดกระแสตรงนี้ไปด้วย”



เรื่อง “น้ำเสียง” ที่เจ้าของเพลงฮิต “บ่เป็นหยัง เค้าเข้าใจ” พูดถึง น่าจะหมายถึง เสียงแหบเสน่ห์ ปนลูกเอื้อนแสนหวาน ที่ส่งให้ “คอเพลงลูกทุ่ง” หลายๆ คนต่างตกหลุมรักและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คือเอกลักษณ์ที่ทำให้ “ดาวลูกทุ่งดวงใหม่” ดวงนี้ โดดเด่นและโด่งดังขึ้นมาได้ รวมถึงเสียงขึ้นจมูกนิดๆ ของกวางด้วยที่มาด้วยความบังเอิญ ซึ่งเป็นเสียงที่เธอเรียกว่า “เสียงนาสิก” ตามภาษาเพลง

“บังเอิญว่าหนูไม่สบายด้วยค่ะ เป็นภูมิแพ้ตั้งแต่อายุ 18 เสียงเราก็เลยขึ้นจมูกหนักเลยจนถึงทุกวันนี้ แล้วมันก็กลายมาเป็นเสน่ห์การร้องของหนูไปโดยบังเอิญ (หัวเราะ) เสียงที่ขึ้นจมูกของหนูจะชัดเจนมาก ถ้าฟังเวลาคุยกัน คนจะคิดว่าหนูเป็นไข้ แต่จริงๆ ไม่ใช่ (ยิ้ม) ส่วนเรื่องเสียงแหบ เสียงหนูแหบเป็นธรรมชาติแบบนี้อยู่แล้วค่ะ


ถ้าให้ลองวิเคราะห์ตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ ว่าจุดไหนที่ทำให้ดวงดาวในตัวเธอ ส่องแสงเจิดจรัสขึ้นมาได้โดดเด่นที่สุด ท่ามกลางดาวรุ่งพุ่งแรงเกินจะนับในวงการเพลงลูกทุ่งอย่างทุกวันนี้ นอกจากเรื่องคุณภาพเสียงแล้ว ลูกทุ่งหน้าใหม่อย่างเธอก็ค้นเจอคำตอบหนึ่งที่น่าสนใจว่า น่าจะเกี่ยวกับเรื่องคาแรกเตอร์และการวางตัวในฐานะ “ศิลปิน”

“หนูน่าจะเป็นคนแรกๆ ที่มีคาแรกเตอร์เป็น “ผู้หญิงสายลูกทุ่งเล่นกีตาร์” นะ นอกนั้นก็น่าจะเป็นเรื่องเอกลักษณ์การแต่งตัวด้วยค่ะ หนูจะใส่แนวเสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ คงจะทำให้แฟนเพลงเขาถูกใจ เพราะมันดูสบายๆ ดี ที่สำคัญคือไม่จำเป็นต้องโป๊ เราก็ดังได้



คำตอบของเธอช่างตรงประเด็น-โดนใจ เพราะตรงกับเอกลักษณ์ที่ผู้สัมภาษณ์ตั้งคำถามไว้ว่า กวางน่าจะเป็น “ต้นแบบสาวลูกทุ่งสมัยใหม่” ได้ คือไม่ต้องเน้นโชว์เนื้อหนัง แต่ดึงดูดกันด้วยเรื่องเพลงนั่นเอง เมื่อบทสนทนาดำเนินมาในทิศทางนี้ คำถามที่เตรียมไว้จึงลั่นออกไปทันที “จำเป็นไหมที่นักร้องลูกทุ่งสาวต้องวาบหวิวถึงจะดัง?” และคนถูกถามเองก็ตอบกลับมาในทันทีเช่นกัน

“หนูว่าไม่จริงนะ เพราะเราจะเป็นแบบไหนก็ได้ แล้วแต่สไตล์ของใครของมัน เราไม่ใช่ก๊อบปี้โชว์ของใคร ไม่จำเป็นต้องโป๊ก็ได้ค่ะ ถึงจะเป็นนักร้องได้ แค่ต้องหาตัวเองให้เจอ หาเสน่ห์ของตัวเองให้เจอ คนทุกคนมีเสน่ห์หมด แล้วก็ใช้มันให้เป็นค่ะ แต่หนูก็เข้าใจนะคะว่ามันก็เป็นเอกลักษณ์ของบางคน และถ้าให้หนูไปทำแบบนั้น หนูก็ไม่ดังหรอก (ยิ้ม) จริงๆ ค่ะ หนูก็ไม่ได้สวยเหมือนเขาเนาะ

และพี่ๆ ทีมงานของหนูก็ไม่ได้บังคับให้ต้องแต่งแบบนั้นด้วยค่ะ และถึงจะให้แต่ง หนูก็ไม่ยอมอยู่แล้ว (ยิ้ม) ก่อนจะมาทำงานด้วยกัน หนูศึกษานิสัยพี่ๆ ทีมงานก่อนแล้ว เรามานั่งคุยกันก่อนเลยว่า หนูเป็นคนยังไง มานั่งสัมภาษณ์กันแบบนี้แหละค่ะ หนูก็พูดตรงๆ ว่า หนูเป็นคนจริงใจแบบนี้แหละ



ถ้าบอกว่าไม่คือไม่ ใช่คือใช่ อย่าบังคับหนู หนูก็จะไม่บังคับพี่ อยู่กันแบบแฟร์ๆ อยู่กันแบบครอบครัว คุยกันแบบพี่น้อง เขาก็โอเค ประมาณว่าอารมณ์เดียวกัน”

ยืนยันหนักแน่นว่า ตั้งแต่ก้าวเท้าแรกมายังค่ายเพลง จนกระทั่งโด่งดังทะลุหลายล้านวิวได้อย่างทุกวันนี้ กวางไม่ได้ถูกเปลี่ยนความเป็นตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว “หนูยังเป็นตัวเอง 100 เปอร์เซ็นต์ค่ะ” เธอบอกอย่างนั้น

“บริษัทเขาจะไม่ได้ขอให้หนูเปลี่ยนไปเป็นแบบไหนเลยค่ะ เพราะเราอยู่กันเป็นครอบครัว เขาจะบอกเสนอว่าอยากทำอะไร ทำเต็มที่เลย เพราะเราไม่ได้อยู่กันแบบพึ่งสัญญา ก็ถือว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นมากค่ะ

แล้วก็ถือว่าโชคดีด้วยเรื่องการแต่งตัว เพราะปกติหนูก็เป็นคนชอบแต่งแบบนี้อยู่แล้ว อยู่บ้านก็จะใส่เสื้อยืด เพราะถ้าไปใส่ชุดอื่นก็ไม่สวย (หัวเราะ) ใส่กระโปรงก็ไม่สบาย รู้สึกมันเป็นผู้หญิงไป เพราะหนูจะออกแนวผู้หญิงลุยๆ หน่อย การแต่งตัวทุกวันนี้เลยกลายเป็นคาแรกเตอร์การเป็นศิลปินของเราไปในตัว



หนทางสู่ “เจ้าแม่ล้านวิว” 

ถ้าไม่ได้ถูกเรียกมาเซ็นสัญญาเป็นศิลปินอย่างเป็นทางการมาก่อน อาจเรียกกวางว่าเป็น “ยูทูบเบอร์ (Youtuber)” อีกคนนึงเลยก็ได้ เพราะเธอโด่งดังจากการเปิดช่องบนยูทูบ “จิรพรรณ บุญชิต” แล้วอัปโหลดคลิปคัฟเวอร์เพลง เล่นกีตาร์-ร้องเพลง เน้นแนวลูกทุ่งลงไป แต่จะต่างจากจากยูทูบเบอร์รายอื่นๆ ก็ตรงที่ เธอไม่ได้ตั้งใจจะหากำไรจากมัน แถมยังเพิ่งมารู้ช่วงหลังๆ นี้เองว่า มันคือช่องทางหาเงินทางนึง เพราะเธอแค่ทำไปเพราะอยากทำแค่นั้นเอง

“ไม่ได้ตั้งใจเลยค่ะว่า จะมาเป็นศิลปิน ก็แค่ดีดกีตาร์ ร้องเพลง แล้วก็อัดคลิปลงไป” วันที่ 20 มิ.ย.59 คือวันแรกที่กวางมือลั่น เผยแพร่คลิปคัฟเวอร์ของตัวเองลงไป ซึ่งเป็นช่วงชีวิตหลังมหาวิทยาลัย ระหว่างที่กำลังทำงานช่วยกิจการโรงงานทอผ้าของครอบครัวอยู่ที่บ้านตามปกติ แล้วเกิดเบื่อที่จะร้องให้คุณแม่ฟังคนเดียวเหมือนเคย อยากได้คอมเมนต์จากคนแปลกหน้าบ้าง จึงเป็นที่มาของยอดวิวทะลุ 1,500,000 ภายใน 2 เดือน จากคลิปคัฟเวอร์เพลง “ฮักเจ้าจนตาย”



[คัฟเวอร์เพลงลูกทุ่งลงยูทูบจนโด่งดัง]
“ทำโดยไม่ได้หวังผลอะไรเลยค่ะตอนนั้น ทำเพราะว่าชอบ มีความสุขที่ได้ร้องเพลงที่เราชอบ แล้วก็ถ่ายทอดให้คนอื่นฟัง ปกติอยู่บ้านก็ร้องให้แม่ฟังค่ะ แม่ก็บอกเพราะลูก ร้องเช้า ร้องเย็นให้แม่ฟัง สักพักก็เริ่มเบื่อ ร้องให้แต่แม่ฟัง ก็เลยตั้งคลิป ตั้งกล้องถ่ายตัวเอง น้องชายก็สนับสนุนว่าเอาเลยๆ

ใช้กล้องฟรุ้งฟริ้งนี่แหละค่ะถ่าย ภาพออกมาก็ขาวสมใจ (ยิ้ม) จากตอนแรกแค่กะจะลองอัด แล้วเอามาดูว่า เวลาเราร้องเพลงลูกทุ่งแล้วดีดกีตาร์ไปด้วย สำเนียงเราเป็นยังไง พอได้ไหม เพราะก่อนหน้านี้หนูไม่ได้ร้องเพลงลูกทู่ง พออัดแล้วเปิดมาดูก็รู้สึกว่า เฮ้ย! ใช้ได้อยู่นี่หว่า ก็เลยมือลั่น เอาลงยูทูบเลย (หัวเราะ) อยากรู้ว่ามันจะสักเท่าไหร่กันเชียว

พอลงเสร็จก็ไม่ได้สนใจ ไม่ได้มาเปิดเช็กดูเลยค่ะ สักพักคนข้างๆ ก็เริ่มทักว่า ร้องเพลงเพราะนะ ก็เลยได้กลับไปเปิดดูคลิปตัวเองอีกที ตกใจเลย เฮ้ย! ทำไมยอดวิวมันเยอะขนาดนี้ตั้งแต่คลิปแรก ก็เลยกลับไปลองทำคลิปเพิ่มดูเรื่อยๆ คนก็เข้ามาดูเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”



ทำจนมาถึงคลิปคัฟเวอร์เพลง “คู่คอง” ที่มียอดคนดูทะลุ 2,800,000 วิวในขณะนั้น ทั้งที่ไม่เคยฝากโปรโมตที่ไหน รวมถึงเพลง “คำแพง” ที่สร้างปรากฏการณ์แชร์ถล่มทลาย จนส่งให้กวางแจ้งเกิดเป็น “ลูกทุ่งสาวหน้าใหม่” ร้องเพลงดี-ดีดกีตาร์ได้ จนถูกจีบให้ไปออกรายการทีวีตามที่ต่างๆ และด้วยฐานแฟนเพลงในวันนั้นเอง ที่ทำให้เธอได้ทำตามฝันอย่างทุกวันนี้


“หนูดังจากเพลง “คู่คอง” ค่ะ ทำให้เริ่มมีคนติดตาม อาจจะด้วยความบังเอิญ ทั้งมุมแสง มุมกล้อง แล้วก็ด้วยร้องเพลงพอใช้ได้ และเป็นผู้หญิงดีดกีตาร์ แต่ส่วนใหญ่น่าจะมาจากกล้องดีค่ะ เพราะขาวล้วนๆ เลย ยังไม่ฟังเพลงเลย (ยิ้มขี้เล่น)

อีกเพลงนึงที่ดังพอๆ กันก็คือเพลง “คำแพง” ค่ะ คนแชร์เยอะ เอาไปลงเพจนู่นนี่นั่นเยอะ ก็เลยเริ่มมีรายการ “ไมค์ทองคำ” ติดต่อมาให้ไปโชว์ค่ะ เป็นรายการแรก จากนั้นก็มี “ซูเปอร์หม่ำ” ไปเป็นซูเปอร์แฟนของ พี่มนต์แคน แก่นคูน เพราะหนูเคยคัฟเวอร์เพลงของพี่เขาลงไปด้วย ทำให้ได้กระแสตอบรับที่ดีเลยค่ะ”



[เล่นคัฟเวอร์ สมัยแจ้งเกิดแรกๆ]


เมื่อให้แนะนำคนที่อยากดังจากการคัฟเวอร์เพลงอย่างเธอบ้าง กวางก็ได้แต่บอกว่าตัวเองไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรมากมายนัก แค่ต้องหา “เสน่ห์” ของตัวเองให้เจอ แล้วใช้มันซะ

หนูไม่อยากให้มองในเรื่องของรายได้ หรือมองว่าตัวเองอยากจะดัง หนูไม่อยากให้ทุกคนโฟกัสตรงนั้น อยากให้ไปโฟกัสในสิ่งที่ตัวเองมี คืออะไรที่ทำแล้วเรารู้สึกโอเค หรือคนรอบข้างสนับสนุน เราก็ต้องให้คนรอบข้างช่วยชี้แนะด้วย


[ถูกเชิญให้ไปตระเวนออกรายการ หลังแจ้งเกิดผ่านยูทูบ]
เพราะบางทีถ้าเราคิดว่าทำแบบนี้แล้วตัวเองเจ๋ง เราก็จะทำแบบเดิมอยู่นั่นแหละซ้ำๆ เราต้องพยายามหาตัวเองให้เจอค่ะ แล้วก็พยายามเอามาปรับใช้กับสภาพแวดล้อมปัจจุบันให้ได้มากที่สุด ต้องพยายามมองให้เห็นช่องทางที่น่าจะเป็นทางของเขาให้ออก

อย่างหนูก็คิดว่า เออ..ยังไม่เคยเห็นผู้หญิงมาร้องเพลงลูกทุ่ง กับดีดกีตาร์ไปด้วยลงเป็นคลิปเลย มันก็น่าจะดีนะ เพราะยังไม่มีใครทำเท่าไหร่ มันจะได้แปลกจากคนอื่นบ้าง มันก็น่าจะเวิร์กค่ะ




สตริง-ไม่เวิร์ก ลูกทุ่ง-พุ่งแรง!!

ยัง..“มหากาพย์เส้นทางสู่ความดัง” ของกวางยังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะช่องเพลงคัฟเวอร์บนยูทูบของเธอ เป็นเพียง “ใบเบิกทางสู่เส้นทางลูกทุ่ง” เท่านั้น แต่โอกาสพัดที่เข้ามา แล้วทำให้เธอได้มีซิงเกิลของตัวเอง แท้จริงแล้วมาจาก “โชคชะตาและความพยายาม” ผสมเข้าด้วยกันนั่นเอง

“พอดีมันมีประโยคนึง ที่ฮิตจากตัวละครในหนังเรื่อง “ไทบ้านเดอะซีรีส์” คำว่า “บ่เป็นหยัง เค้าเข้าใจ” ค่ะ ก็เลยมีแฟนคลับที่เขาเป็นนักแต่งเพลงอยู่แล้ว แต่งเพลงนี้ขึ้นมา หลังจากนั้นทีมงานไทบ้านฯ ก็ไปได้ยิน แล้วก็ขอซื้อเพลงนั้นมา ทีนี้ก็มาตามหานักร้องที่จะมาถ่ายทอดให้ ให้ทุกคนมาร้องไกด์ แต่เท่าที่คนส่งมา เขาก็ยังไม่พอใจ

และด้วยความบังเอิญ มีอยู่วันนึงหนูอยู่อุบลฯ กำลังจะข้ามไปฝั่งวารินฯ แล้วก็ดันอยากเข้าห้องน้ำ ก็เลยแวะไปปั๊มนั้น ซึ่งเป็นปั๊มที่หนูไม่เคยเข้าเลยนะคะ พอแวะเข้าไป ทำธุระเสร็จปุ๊บ เข้าเซเว่นฯ โปรดิวเซอร์หนังเขาก็เดินเข้ามาถามหนูว่า “ใช่น้องกวางไหม ขอถ่ายรูปหน่อยครับ พอดีติดตามยูทูบน้องอยู่” จากนั้นเขาก็ขอเฟซบุ๊กหนูไป แล้วทีมงานก็ติดต่อให้หนูลองร้องเพลงนี้ให้เขาฟังหน่อย เอาแค่ท่อนฮุก



ด้วยความที่หนูเพิ่งตื่น ยังงัวเงียอยู่เลย ก็เลยตั้งกล้องเห็นแค่นี้ (ทำมือจำกัดเฉพาะช่วงหัวจนถึงบ่า) แล้วก็เล่นกีตาร์ ร้องไปด้วย พอเช้าอีกวัน ทีมงานเขาตัดสินใจบอกเราว่า มาร้องเพลงด้วยกันไหม เอาเพลงนี้แหละ หนูก็เลยตอบตกลงเขาไปว่า “เอาดิพี่” และที่ช็อกกว่านั้นคือ หลังจากปล่อยเพลงไป 3 วัน หนูก็มีคอนเสิร์ตค่ะ (ยิ้ม) มีงานมาจนถึงทุกวันนี้ เรียกว่าชีวิตเปลี่ยนเลยใน 3 วัน

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แต่แค่มีซิงเกิลของตัวเองเพลง “บ่เป็นหยัง เค้าเข้าใจ” เพลงเดียว ก็สามารถทัวร์คอนเสิร์ตได้ มาจนถึงทุกวันนี้ก็เข้าเดือนที่ 7 ในชีวิตล้อหมุนทั่วประเทศของกวางแล้ว ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตที่ทีมงานไทบ้านฯ ทั้งแก๊ง ไปแจมคอนเสิร์ตร่วมกับ “บอย พนมไพร” เพื่อมอบความม่วนให้แก่คอลูกทุ่งทุกคน

“และตอนนี้ หนูก็มีเพลงที่ 2 แล้วนะคะ ชื่อเพลงว่า “ฟ้าสั่ง” เพลงนี้ก็ทะลุล้านเหมือนกันค่ะ ยอดวิวอยู่ที่ 1,500,000 ภายใน 24 ชั่วโมง ตอนนี้เกือบ 2 เดือนแล้ว ได้ 56,000,000 วิวแล้วค่ะ เป็นเพลงประกอบหนัง “ไทบ้านเดอะซีรีส์” เหมือนกันกับเพลงแรกของหนูเลย”



สาวลูกทุ่งอารมณ์ดี ไม่ลืมที่จะอัปเดตผลงานล่าสุดของตัวเองให้แก่ผู้สัมภาษณ์ที่อยู่ตรงหน้า เพื่อบอกให้รู้ว่าเธอไม่ได้มีเพลงแค่เพลงเดียวใช้ขึ้นเล่นคอนเสิร์ตเหมือนเดิมแล้ว และแน่นอนว่าเธอไม่ลืมที่จะขอบคุณทีมงาน ที่มองเห็นศักยภาพในตัวเธอ “เขามองเห็นในสิ่งที่หนูมองไม่เห็นตัวเอง เขาสามารถขุดหนูขึ้นมาจากตรงนั้นได้” รวมถึงไม่ลืมที่จะขอบคุณแฟนเพลง ซึ่งคอยอยู่เคียงข้างเสมอมาด้วย

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ เขาให้กำลังใจหนูตลอด ทุกครั้งที่หนูเหนื่อย ไม่รู้บางทีมันพูดกับใครไม่ได้ พูดกับคนรอบข้าง บางทีมันก็ไม่หาย มันไม่ชื่นใจ หนูก็เลยชอบโพสต์ลงไปในเฟซบุ๊ก แล้วเท่าที่สังเกตดูก็จะมีแต่คนเดิมๆ ซ้ำๆ เป็นคนที่ให้กำลังใจหนู มีตั้งแต่หนูยังไม่ดังเลยนะคะ

ทั้งบอกว่า “สู้ๆ” ทั้ง “มันก็เป็นแบบนี้แหละลูก” แฟนคลับหนูจะมีอายุส่วนมาก หนูก็ขอบคุณมากค่ะที่เขาเอ็นดูหนู ขอบคุณที่เขาชอบในแบบที่เราเป็น ขอบคุณที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตให้มีความสุขมากกว่าเดิม หนูก็คงจะตอบแทนเขาด้วยเสียงเพลงเพราะๆ ของหนูต่อไป”



[เบื้องหลังการถ่ายทำเอ็มวีในฐานะ "ศิลปิน"]
มองย้อนกลับไปในช่วงที่เธอยังไม่หันหน้ามาเอาดีทาง “สายลูกทุ่ง” กวางเคยถูกชักชวนไปทำเพลงแนวไทยสากล และปล่อยซิงเกิลออกมาเพลงนึง ชื่อว่าเพลง “กรรม” แต่ออกมาแล้วไม่ดัง เพราะมันไม่ใช่สไตล์ของเธอ “ตอนนั้นหนูค่อนข้างจะอกหักนะคะ ก็รู้สึกเฟล แต่ไม่ได้เก็บมาคิดอะไรมาก เพราะมองออกอยู่แล้วว่ามันไม่ใช่ทางเรา” เธอจึงได้แต่ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่นำพามาถึงทุกวันนี้ ที่ทำให้เธอได้เจอเส้นทางที่เหมาะสำหรับตัวเองจริงๆ

ลองถามคนที่อยู่ตรงหน้าเล่นๆ ว่า ถ้ามีคนมาจีบให้ไปร้องแนวสตริงอีก จะไปไหม? นักร้องสาวเสียงแหบเสน่ห์ก็ตอบกลับมาทันที ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ไม่ไปค่ะ” แล้วให้เหตุผลจากใจที่เชื่อว่าแฟนเพลงได้อ่านแล้ว ต้องชื่นใจไปตามๆ กัน

“เหมือนเราตามหาชีวิตเราเจอแล้วค่ะว่า เราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้นะ คือชีวิตตั้งแต่เกิดมา ตอนนี้ก็มีความสุขที่สุดแล้วค่ะ ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ถึงงานจะเยอะ ถึงอาจจะไม่ได้นอน แต่ทุกครั้งที่อยู่บนเวทีแล้วเรามีความสุข แล้วมันหายเหนื่อย ตอนที่คนไม่รู้จะกี่ร้อยคน เข้ามายืนดูเรา ที่จอดรถก็เยอะ จองโต๊ะก็ยาก ไหนจะต้องเสียเงินอีก ไม่กินเหล้าก็ต้องมา หลายคนนะคะ เกือบครึ่งที่มายืนรอเราฟังเพลง มาขอถ่ายรูป มันชื่นใจตรงนั้นแหละ”



คงต้องขอบคุณช่วงชีวิตวัยเด็ก ที่ครูประถมพยายามเฟ้นหาเด็กมีแวว “ร้องเพลงไทยเดิม” ได้ แล้วคัดเลือกกวางไป เธอจึงได้ฝึกลูกเอื้อนแบบไทยเดิม และลูกทุ่งแบบไทยแท้ แม้ว่าในช่วงเวลาที่ถูกผลักดันเหล่านั้น “เด็กหญิงกวาง” จะแทบหาความสุขจากการเป็น “เด็กกิจกรรม” ไม่ได้เลยก็ตาม เพราะเธอถูกส่งให้ไปประกวด ตั้งแต่ชั้นประถมต้น ยันชั้นมัธยมปลาย

“และด้วยความที่หนูชอบฟังเพลงลูกกรุง เพราะทั้งคุณแม่ ทั้งคุณยาย จะเปิดเพลงร้องแข่งกันประจำ (พูดไปยิ้มไป) เพราะที่บ้านหนูชอบดนตรีกันอยู่แล้วค่ะ ชอบร้องเพลง ชอบปาร์ตี้สังสรรค์ หนูเลยได้อิทธิพลจากตรงนั้นมา

ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ กวางจะยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ค่อยได้ก็ตามว่า ทำไมค่ายเพลงถึงได้เลือกให้เธอเป็นคนถ่ายทอดเพลงเพลงนั้น แต่โปรดิวเซอร์ของเธอก็เคยให้คำตอบเอาไว้แทนเธอแล้ว “เขาบอกว่า พี่ไม่ได้เลือกเธอ แต่เพลงมันเลือกเธอ” พูดเสร็จกวางก็ได้แต่ปิดท้ายประโยค ด้วยรอยยิ้มใสๆ ของเธอ




จาก “ผู้สาวขาซิ่ง” สู่ “อาสาฯ กู้ภัย”

[เคยเป็น "ผู้สาวขาซิ่ง" มาก่อน]
ก่อนหน้าที่เราจะได้เจอกัน ผู้สัมภาษณ์ตามไปเก็บรายละเอียดในอินสตาแกรมและเฟซบุ๊กของเธอ จนได้คำตอบว่ากวางน่าจะเป็น “ผู้สาวขาซิ่ง” เพราะเห็นเธอถ่ายภาพกับรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์อยู่เป็นระยะๆ ทั้งยังมีภาพสวมชุดหน่วยกู้ชีพ รวมถึงภาพเกียรติบัตรที่ได้รับมอบในปี 60 อีกต่างหาก จึงพอจะเดาได้ว่าเธอเคยทำ “อาสาฯ กู้ภัย” ช่วยเหลือหน่วยกู้ภัยจีตัมเกาะ จ.อุบลฯ มาด้วย

เมื่อเจอหน้ากัน คำถามที่เคยเก็บเอาไว้ในใจว่า เรื่องการเป็นผู้สาวขาซิ่งของเธอ มันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ไปเป็นอาสากู้ชีพหรือเปล่า แล้วคำตอบที่ได้ก็นำมาสู่ “มหากาพย์ความสูญเสีย” เรื่องยาว พร้อมกับได้เห็นมุมน่าประทับใจของกวางอีกมุมหนึ่งเพิ่มขึ้นด้วย เธอเปิดใจเล่าให้ฟังว่า “น้องโจ้” รุ่นน้องคนสนิทที่เคยเป็นคู่จิ้นในก๊วนขับมอเตอร์ไซค์ของเธอ คือจุดประกายที่ทำให้เธอลุกขึ้นมาอาสาช่วยเหลือชีวิตคนอื่น

“ปกติ น้องเขาจะชอบมาเล่นที่บ้านอยู่แล้ว มีอยู่วันนึง ก่อนวันที่เขาจะไป เขาก็บอกเราว่า “เจ้ เดี๋ยวโจ้ไปก่อนนะ เดี๋ยวโจ้มาเคาะห้องนะ” เขาก็หยอดเราเป็นปกติ หนูก็หยอดกลับว่า “เดี๋ยวเจ้รอนะโจ้นะ (น้ำเสียงขี้เล่น)” หลังจากนั้นตี 4 มีน้องอีกคนมาปลุกหนู มาเคาะที่ห้อง ทำหน้าซีดเลย บอกว่า “โจ้เสียแล้วพี่ ขับรถแหกโค้งตาย” หนูอึ้งไปเลย ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ



เราก็เลยไปดูที่เกิดเหตุการณ์ หนูเห็นศพคนแรก อึ้งเลยค่ะ ไม่เคยมีคนใกล้ตัวเราตายมาก่อน แล้วเพิ่งเห็นกันอยู่เมื่อกี้ เพิ่งหยอกกันไป แล้วยิ่งเรากุ๊กกิ๊กกันด้วย หนูยิ่งช็อก พอไปถามทางกู้ภัย ด้วยความที่หนูมีรุ่นพี่กับน้องชายทำกู้ภัยอยู่แล้ว ถามเขาว่าทำไมถึงตาย เพราะเขาไม่มีแผลเลยนะคะ คำตอบคือเขากระดูกสันหลังหัก, ซี่โครงหัก แต่ถ้ากู้ภัยไปเร็วกว่านั้น เขาน่าจะรอด

กว่ากู้ภัยจะไปถึงเกือบ 40 นาที คือน้องเขาตายไปแล้ว คนเจ็บให้รอ 30 นาที ใครจะรอไหว คือถ้ากู้ภัยไปทันก็อาจจะรอด หนูก็รู้สึกว่ามันเจ็บใจว่ะ ตอนตี 4 ที่เกิดเรื่อง ทำไมไม่ไปกันวะ กู้ภัยนอนกันเหรอ หรือยังไง ทำไมไปช้า หนูก็เลยน้อยใจ

พอหลังจากนั้น ก็เริ่มเห็นอุบัติเหตุบนท้องถนนมากขึ้นเรื่อยๆ เลยเริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมเขากู้ภัยเขาต้องไปเร็ว ทำไมเขาต้องขับรถเร็วกันขนาดนั้น บางคนเห็นรถกู้ภัยเปิดหวอขอทาง อาจจะด่าว่า “ฟ่าวไปไส ฟ่าวไปตายบ่ (จะรีบไปไหน รีบไปตายเหรอ)”

แต่ถ้ามาเห็นอะไรแบบหนู จะมองเป็นอีกมุมนึงเลย และถ้าใครไม่โดนกับตัวก็คงไม่รู้จริงๆ ไปช้าแม้แต่เสี้ยววินาที คนไข้ก็ตาย หลังจากเหตุการณ์นั้น หนูก็เลยสมัครเป็น “อาสาฯ กู้ภัย” แล้วก็ทำแบบจริงจังเลยค่ะ ทุกคืนก็จะไปกับน้องชาย น้องชายทำอยู่แล้ว ก็เลยชวนกันไป



[ครั้งหนึ่งในชีวิต "อาสาฯ กู้ภัย"]
ส่วนใหญ่หนูจะออกตอนกลางคืน ออก Support ในช่วงที่มีอุบัติเหตุเยอะ และเวลาที่กู้ภัยเขาไม่ค่อยอยู่กัน และอุปกรณ์ทุกอย่าง เราก็ออกให้มูลนิธิหมดเลย เราไม่เคยไปเอากับมูลนิธิเลย รถก็เป็นรถของเราเอง จดทะเบียนเป็นรถกู้ภัยเรียบร้อย ทำเป็นรถกู้ภัย มีอุปกรณ์พร้อมทุกอย่าง เคสต่างๆ เราก็ให้มูลนิธิหมดเลย คือช่วยจริงๆ ค่ะ ไม่ได้เอาจากเขาสักบาทเลย”

น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ การรับหน้าที่เป็นนักร้องลูกทุ่ง ทำให้เธอไม่เหลือเวลาพอที่จะออกไปช่วยเหลือชีวิตคนอื่นเหมือนอย่างเคย แต่อย่างน้อยๆ ครั้งหนึ่งในชีวิตเธอก็เคยได้ทำ ซึ่งส่งผลให้ทัศนคติหลายๆ เรื่องในชีวิตของเธอมีมิติบวกๆ เพิ่มมากขึ้นไม่น้อยเลย

“หนูได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างมากค่ะจากการเป็นอาสาฯ กู้ภัย ได้เห็นอะไรที่เราไม่เคยเห็น เราได้เห็นเพื่อนมนุษย์อีกหลายๆ สังคมที่เขามีไม่เท่าเรา คนที่เขาเดือดร้อน ต้องการความช่วยเหลือ บางอย่างเขาฉุกเฉินจริงๆ เพราะเราไม่ได้ช่วยแค่คนเจ็บหรืออุบัติเหตุไงคะ คนแบตฯ รถหมดเราก็ไป รถอยู่ในป่า น้ำมันหมด เราไปทุกกรณี




เราได้ช่วยเหลือคนอื่น ในตอนที่เขาเดือดร้อน แล้วพอตอนหนูเดือดร้อน เขาก็มาช่วยหนูเหมือนกัน มันก็ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นดีค่ะ เป็นอีกสังคมนึงที่ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความมีน้ำใจ

โดยเฉพาะทัศนคติเรื่องการขับขี่บนท้องถนน ที่กวางมองมันต่างออกไปจากก่อนหน้าจะมาเป็นอาสาฯ รวมถึงเพื่อนๆ ในแก๊งขี่มอเตอร์ไซค์ของเธอทุกคนด้วย ที่ทยอยขายรถกันหมดแล้ว และแทบจะไม่กล้าขับอีกเลย เมื่อถามถึงปัญหาเรื่อง “เด็กแว้น” ผู้สาวที่เคยซิ่ง 2 ล้ออย่างเธอก็ให้คำตอบกลับมาว่า มันเป็นเรื่องไร้สาระและคิดสั้นเกินไป ในสายตาของคนที่เคยเก็บศพอุบัติเหตุมานับไม่ถ้วน

“คนเราตายง่ายจริงๆ ยิ่งหนูเคยทำงานแบบนี้ หนูยิ่งรู้ว่าคนเราตายง่ายจริงๆ ล้มลงหัวฟาดพื้นเฉยๆ ก็ตาย บางคนเป็นลม หน้าลงน้ำก็ตาย เพราะน้ำเต็มปอด บางคนนอนอยู่ หายใจไม่ออกตายก็มี ไม่จำเป็นต้องเกิดอุบัติเหตุเลย เรื่องอุบัติเหตุยิ่งไม่ต้องพูดถึง ขับรถออกไปชนนิดเดียว โอกาสรอดมีน้อยมาก เพราะงั้น อย่าเสี่ยงเลยดีกว่าค่ะ กว่าจะโต




ครอบครัวไม่สมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้อง “มีปัญหา” 

“ครอบครัวหนูไม่ได้สมบูรณ์มาตั้งแต่แรกค่ะ พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่หนูอายุ 4 ขวบ น้องชาย 3 ขวบ” คือคำตอบที่ไม่คาดว่าจะได้รับจากกวาง หลังยิงคำถามเกี่ยวกับการปลูกฝังและเลี้ยงดูของครอบครัวออกไป หรือจะเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เธอสามารถถ่ายทอด “เพลงเศร้า” ได้เศร้าจับใจ ผู้สัมภาษณ์ได้แต่คิดอยู่ในใจ ระหว่างที่เธอบอกเล่าย้อนวัยไปในช่วงที่ครอบครัวต้องแยกทางกัน

“หนูมากับพ่อ น้องชายอยู่กับแม่ เราแยกกันโต ฝั่งพ่อจะทำสวนทำไร่ ฝั่งแม่จะรับราชการ คุณตาเป็นตำรวจ เขาก็จะหัวโบราณหน่อย เขาจะถือเรื่องการเรียนสำคัญ จบมาต้องรับราชการ แต่ฝั่งคุณพ่อจะบอกว่า เรียนพอให้จบ ออกมาก็มาทำนาต่อ หนูก็งงว่าจะให้เรียนทำไม ไอ้เราไม่เข้าใจ เราก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ใช่ พอโตขึ้น ขึ้นมัธยม รู้สึกว่าอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ หนูก็เลยกระเสือกกระสน หาที่ไป หาที่ที่มันเป็นที่ของเรา

พอตอนมัธยมถึงได้กลับมาอยู่ด้วยกันกับน้องที่อุบลฯ ค่ะ จากตอนแรกอยู่กันคนละอำเภอ หลังจากไม่ได้เจอกัน 6 ปี ตั้งแต่เด็กจนโต อยู่ด้วยกันตอนแรกก็กัดกันตลอด จนได้ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ แต่หนูอยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ถึงเดือนหนูก็หนีกลับไปหาพ่อ มันรู้สึกอึดอัด หนูไม่ชอบ ก็เลยขอกลับไปเรียนที่อุบลฯ



["น้องกี้" น้องชายคนเดียว สมาชิกในบ้านที่สนิทที่สุด]
จนจบมัธยม เข้ามหาวิทยาลัย ปวช.นี่แหละค่ะ แล้วน้องชายก็มาอยู่ด้วยกัน หลังจากที่สู้รบปรบมือกันมาสักระยะ ด้วยความที่เราโตขึ้น เราก็ต้องทำมาหากิน ประสบการณ์ชีวิตหลายๆ อย่างสอนเรามา เราโตกันมาเอง จนสุดท้ายก็คิดได้ว่า เรามีกันอยู่ 2 คนพี่น้องนะ เราจะไม่รบกวนพ่อแม่นะ เราจะไม่ทำความเดือดร้อนให้ใครนะ เราก็ช่วยกันมาตลอดจนถึงทุกวันนี้


กวางเปิดใจบอกเล่าความเป็นไปของครอบครัวตัวเองให้ฟังอย่างไหลลื่นอยู่พักใหญ่ๆ จนผู้สัมภาษณ์แทบไม่ต้องยิงคำถามเพื่อขยายความข้อมูลส่วนไหน ก่อนจะกลับมาถามคำถามเดิมอีกครั้งว่า ส่วนใหญ่แล้ว ครอบครัวของเธอปลูกฝังเรื่องอะไรให้บ้าง จึงได้คำตอบว่า คุณพ่อคุณแม่ก็มีสอนบ้าง แต่เธอไม่ได้สนิทกับพวกเขาขนาดนั้น จึงอยากบอกเล่าคำสอนจากคุณปู่คุณย่ามากกว่า

เรื่องที่คุณปู่คุณย่าสอนหนู ก็คือสอนให้ “เป็นคนดี” ค่ะ แกจะบอกเลยว่าจะทำอาชีพอะไรก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ ไม่ต้องรวย ไม่ต้องจบปริญญาก็ได้ ไม่ต้องสวย ไม่ต้องมีเงินเยอะ แต่ขอให้เป็นคนดี ไม่ทำร้ายคนในครอบครัว ไม่อกตัญญู แค่นั้นค่ะ นี่แหละชีวิตคน



นอกเหนือไปจากนั้น ส่วนใหญ่แล้วกวางได้คติชีวิตต่างๆ มาจากการเก็บเกี่ยวผ่านประสบการณ์ของตัวเอง เมื่อถามถึงภาวะ “เด็กมีปัญหา” เพราะครอบครัวแตกแยก อย่างที่หลายๆ ครอบครัวเป็น มันเคยเกิดขึ้นกับเธอบ้างไหม จึงทำให้ได้รับรู้จากคำตอบว่า เธอเป็นคนที่ค่อนข้างคิดบวกอยู่มากพอตัวเลย

“ปัญหาของครอบครัว ก็เป็นปัญหาของพ่อกับแม่นะ เขาอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่พอเราโตไป วันนึงเราก็ต้องมีครอบครัวของตัวเอง เราเลยไม่จำเป็นจะต้องทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาเลย คือหนูจะคิดบวกนะส่วนใหญ่ เพราะหนูไม่เห็นเหตุจำเป็นอะไรเลย ที่เราจะต้องทำตัวมิดีมิร้าย หรือเป็นเด็กมีปัญหาอะไรเลย


ส่วนใหญ่หนูจะเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างด้วยตัวเองค่ะ จากการคิดเห็นผิดชอบ จากสายตาที่เรามองด้วยตัวเอง หนูโชคดีอย่างนึงคือ หนูเห็นคนรอบข้างเยอะ เจออะไรเยอะมาก เลยมองจากตัวอย่างหลายๆ คน แล้วก็เอามาคิดว่าแบบไหนดี แบบไหนไม่ดี เราเอามาปรับใช้กับตัวเอง ตรงไหนดีเราก็หยิบมาใช้ อะไรไม่ดีเราก็ปล่อยมันไว้


“รักแท้” แค่ “เข้าใจ”

ความรักสำหรับหนูคือ “ความเข้าใจ” ค่ะ อยู่ด้วยกัน เข้าใจกัน ให้กำลังใจกัน ส่งเสริมหน้าที่การงานกัน คำว่า “กำลังใจ” คำเดียวเลย สำคัญมากๆ

หนูเป็นคนค่อนข้างอารมณ์ร้อน พูดตรง แต่เขาเป็นคนใจเย็น แล้วก็จะสอนเราตลอดว่ามันเป็นอย่างนี้ๆ นะ ให้เราใจเย็นๆ อะไรที่ไม่ถูก เขาก็จะคอยดึงเราตลอด มันก็เลยเป็นความต่างที่ลงตัวค่ะ

เขาเป็นผู้ใหญ่มากเลยค่ะ เขามีในสิ่งที่หนูไม่มีเกือบทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่อง “สติ” (ยิ้ม) ทัศนคติเรื่องการใช้ชีวิตของเราต่างกัน แต่ความต่างนั้นที่มาเติมเต็มกัน มันทำให้ลงตัวด้วยไลฟ์สไตล์ชีวิต คือไปด้วยกันได้ทุกอย่างเลย แทบจะไม่ขัดกันเลยค่ะ

ถึงหนูจะไม่ใช่คนดีเต็ม 100 เปอรเซ็นต์ ไม่ใช่ผู้หญิงเพอร์เฟกต์ แต่ก็อยากให้เขาเข้าใจสิ่งที่เราเป็น และแน่นอนเราก็เข้าใจสิ่งที่เขาเป็นอยู่แล้ว แค่นี้ก็อยู่กันได้แล้วค่ะ ชีวิตคู่ แค่มีความเข้าใจกัน



เจ็บคักอยู่ แต่บ่ฮู้ว่าสิเฮ็ดจังได๋

เวลาจะร้องเพลงเศร้าให้เศร้า มันก็ต้องคิดถึงตอนอกหักค่ะ (ยิ้มบางๆ) หนูเคยอกหักแบบเจ็บจี๊ดเลยแหละ เจ็บหนักกว่าชาวบ้านเขาด้วย เพราะหนูโดนหลอก คือหลอกให้รักไม่ว่านะ แต่นี่หลอกเอาตังค์ด้วย แสบมาก

ตอนที่โอนเงินให้เขาไปแล้ว 400,000 แล้วเขาก็ไลน์กลับมาว่า “เลิกกันเถอะ” หนูก็สตั๊นต์ไปประมาณ 10 วิ แต่ก็คิดว่าเอาก็เอา เลิกก็เลิก หนูเอาเงินไปผ่อนรถให้เขาไงคะ เอาเข้าไฟแนนซ์ เขาบอกว่าธุรกิจเขาจะไปไม่รอด เขาหมุนเงินไม่ทัน เราก็เลยบอกว่าได้ๆ ด้วยความที่เราคบกันมา 5 ปีแล้ว เราก็ไว้ใจกันแล้วด้วย แล้วก็เคยระหองระแหงกันมานานแล้วด้วยค่ะ แต่เราก็ไม่คิดว่าเขาจะมาพลิกเป็นแบบนี้

ถึงจะเคยมีเถียงกันบ้าง แต่ปกติเราก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เอาตรงๆ เขาก็เปย์เราพอสมควร ทีนี้ถ้าเขาเดือดร้อนมาแล้วเราไม่ช่วย ก็เหมือนเราแล้งน้ำใจ แต่กลายเป็นว่าเรายังส่งไฟแนนซ์ไม่เสร็จเลย มาบอกเลิกเราแล้ว หนูนี่หน้าชาเลยค่ะ (หัวเราะขำๆ) แต่ก็ปล่อยเขาไป

หนูถือว่าแค่นี้เราจ่ายได้ คิดว่าถ้าเงินแค่นี้มันซื้อความสัมพันธ์ตรงนี้ได้ มันทำให้เราต้องตัดขาดจากกันได้จริงๆ ก็ให้ไปซะ แล้วอย่ากลับมาอีก สุดท้ายเขาจะไปก็ไป ก็ขอให้โชคดีแล้วกัน

ก็กลายเป็นประสบการณ์ชีวิตไปเลยนะคะจากครั้งนั้น ว่าเราเคยเจออะไรแบบนี้ (ทำหน้าขำขื่น) มันแย่มากเลยนะคะตอนนั้น แต่ตอนนี้พอมองกลับไปก็รู้สึกขำดี แต่จริงๆ แล้วถ้าหนูไม่เคยผ่านตรงนั้นมา หนูอาจจะไม่มีวันนี้ก็ได้ อาจจะร้องท่อง “เจ็บ...(เน้นเสียง) คักอยู่” ได้ไม่เท่านี้ก็ได้ (หัวเราะ)




เล่นกีตาร์เป็น เพราะชอบ “ตั้งวง”
หนูเริ่มเล่นกีตาร์ตอน 18 ค่ะ ตอนแรกที่เล่น ไม่ได้อยากจะเล่นให้เป็นจริงๆ จังๆ นะคะ แต่เวลาปาร์ตี้กับเพื่อน แล้วจะร้องเพลงครั้งนึง รู้สึกว่ามันยากมากเลย ทำไมเราต้องรอเพื่อนที่ดีดกีตาร์เป็นนานขนาดนั้นวะ (ยิ้มมุมปาก) แล้วเพื่อนพวกนี้มันจะชอบเล่นตัวด้วยนะ หนูก็เลยไปหากีตาร์มาหัดเล่นเองเลย ตอนนั้นคิดแค่ว่าเราจะต้องเอามาร้อง ต้องหัดดีดให้เป็นให้ได้ เราจะร้องเอง เราจะดีดเอง เราจะไม่รอมันอีกต่อไป

หนูก็อาศัยหัดจากอากู๋ Google นี่แหละค่ะ กับดูคลิปใน Youtube พอจับเป็นเพลงได้ หลังจากนั้นก็จับมาทุกวันๆ พยายามจับ พยายามเล่นมันอยู่เรื่อยๆ พอเริ่มมั่นใจแล้วว่าเล่นไปด้วย ร้องไปด้วยได้ ก็เรียกคนสนิทๆ กันนี่แหละค่ะมาตั้งวงกัน เรียกเพื่อนมาฟังเลย บอกไม่ต้องไปรอเพื่อนที่มันเล่นกีตาร์ได้ แต่เล่นตัวอีกต่อไป (หัวเราะ)

เอาตรงๆ นะคะ หนูเป็นผู้หญิงชอบตั้งวง ชอบปาร์ตี้ (ยิ้ม) คือไม่ได้ดิบเถื่อนอะไรขนาดนั้นนะคะ แต่หนูชอบเสพอารมณ์ เสพบรรยากาศการผ่อนคลาย หลังจากทำงานมาแล้ว เราก็มานั่งแลกเปลี่ยนชีวิตกัน คุยกัน

แต่ส่วนใหญ่หนูจะชอบตั้งวงกันเฉพาะคนในครอบครัวค่ะ กินกับน้องชาย (น้องกี้) ที่สนิทกันมาก พอเขาเริ่มมีแฟน ครอบครัวเราก็ขยายใหญ่ขึ้นๆ น้องหนูจะเป็นได้ทั้งเพื่อน ทั้งพี่ ทั้งน้อง เป็นทุกอย่างให้กันได้ ด้วยวัยที่เราไม่ห่างกันมาก



["ออเจ้ากวาง" เกาะกระแสละครดัง]





#บุพเพสันนิวาส#พี่หมื่น#ออเจ้าการะเกด #หมื่นเรือง

โพสต์ที่แชร์โดย Kwang (@jirapan_boonchit) เมื่อ







สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ Live
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: ปัญญพัฒน์ เข็มราช
ขอบคุณภาพบางส่วน: เฟซบุ๊ก "จิรพรรณ บุญชิต" และอินสตาแกรม @jirapan_boonchit


กำลังโหลดความคิดเห็น