ไม่จบง่ายๆ! เมื่อครอบครัว “น้องนิว” เด็กชายวัย 15 ที่เสียชีวิตจากอาการเส้นเลือดใหญ่ในทรวงอกแตก ออกมาแฉอีกมุมที่ขัดกับแถลงการณ์ของ รพ.พระจอมเกล้าฯ จ.เพชรบุรี ระบุชัดไทม์ไลน์การรักษาขัดแย้งกับเหตุการณ์จริง โดยเฉพาะคำว่า “รักษาทันที” ที่ถูกส่งตัวมา แต่ความเป็นจริงกลับปล่อยให้คนไข้ “รอจนช็อกตาย” ถึงแม้น้องจะมีอาการรุนแรง พบเพียง 5 ใน 1 ล้านคนก็ตาม แต่ถ้ารีบวินิจฉัยแต่ต้น ครอบครัวเชื่อว่าจะไม่สูญเสียให้เป็นอุทาหรณ์อย่างครั้งนี้...
ครอบครัวแฉ ไทม์ไลน์ไม่ตรง! “1 ชีวิตที่ต้องแลกกับคำว่ารอ”
[รอจนช็อก ต้องรีบปั๊มหัวใจ]
“ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์ อย่าให้ 1 ชีวิตต้องเสียไปกับคำว่า "รอ" บันทึกความทรงจำที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น...
น้องปวดท้องมาก มากจนต้องส่งตัวฉุกเฉินจาก รพ.ชะอำ ไป รพ.พระจอมเกล้า เพชรบุรี ตั้งแต่เช้า ไปถึง พยาบาลบอกให้ “รอ” รอ..รอ..รอ..รอ ทั้งๆ ที่น้องปวดมากจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ ปวดทรมานมาก อีกทั้งหน้าก็บวมจากเดิมมากๆ ก็ยังบอก “รอ”
รอ..รอ..รอ..รอ นานมากๆ จนน้องช็อก ล้มลงไป ช็อก-น็อก แล้วทำ CPR จนรู้สึกตัว ถึงได้เข้าตรวจ เข้าเอกซเรย์ ได้เข้าฉีดสี เข้าเครื่องคอมพ์ จนรู้ว่าเส้นเลือดใหญ่ในกระเพาะแตก
แล้วพอออกมา ได้ภาพถ่ายชู 2 นิ้ว เป็นรูปสุดท้าย หลังจากนั้นก็น็อกอีก 1 ครั้ง และได้ปั้มหัวใจ แต่ครั้งนี้ น้องไม่กลับมาแล้ว เพราะคำว่า "รอ" คำเดียวเท่านั้น ลองนึกดูนะ ถ้าน้องได้ตรวจได้เช็กตั้งแต่น้องมาถึง รพ. ก็อาจจะช่วยชีวิตน้องไว้ได้
[ภาพสุดท้าย ชูสองนิ้ว]
ขอฝากถึงหมอ, พยาบาล และโรงพยาบาล... คุณเห็นอาการน้องแบบนี้แล้ว คุณน่าจะเห็นถึงความผิดปกติแล้วนะ อย่าคิดว่าน้องยังเด็ก น้องเป็นเด็ก อาจจะปวดไปเอง อดทนไม่ไหว ปวดท้องธรรมดาหรือเปล่า
ที่น้องปวด น้องทรมานมากจริงๆ และส่งตัวไปแบบฉุกเฉิน แต่ทำไมถึงยังต้องรอ... ขอฝากไว้เป็นอุทาหรณ์ สำหรับใครหลายๆคนด้วยค่ะ อย่าให้ใครต้องมาเสียชีวิต กับคำว่ารอ...”
ข้อความข้างต้นนั้น คือโพสต์จากเฟซบุ๊ก “Nu-sajee Kornrawee” ซึ่งเป็นญาติคนสนิทของน้องนิว เด็กชายวัย 15 ที่เสียชีวิตเพราะคำว่า “รอ” และไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที หลังปวดท้องอย่างรุนแรงโดยที่ทีมแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุ จึงถูกส่งตัวจากโรงพยาบาลชะอำ มายังโรงพยาบาลพระจอมเกล้า จ.เพชรบุรี อีกต่อหนึ่ง แต่กลับช่วยชีวิตน้องเอาไว้ไม่ได้ทันท่วงทีอย่างที่คาดหวังไว้
แม้ล่าสุด คณะแพทย์ของโรงพยาบาลพระจอมเกล้า จ.เพชรบุรี จะออกมาแถลงข่าว สยบเสียงตำหนิอย่างรุนแรงถึงคำว่า “รอจนตาย” แล้ว โดยระบุไทม์ไลน์ชัดเจนถึงขั้นตอนรักษาน้องนิวตั้งแต่ถูกส่งตัวมา เพื่อแก้ข้อสงสัยเรื่องการบริการที่ล่าช้า แต่ทว่าข้อมูลดังกล่าว กลับไม่ตรงกับที่ฝั่งครอบครัวของคนไข้ผู้เสียชีวิตได้รับรู้ในเหตุการณ์จริง โดยผู้เป็นพี่สาวและญาติสนิท ได้เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดเอาไว้ผ่านเพจ "เจอดี" มีใจความดังนี้
“จริงๆ แล้ว ประเด็นที่เราติดใจคือ น้องส่งตัวไปฉุกเฉิน แต่ทำไมน้องถึงต้องรอ ตั้งแต่ตอนแรกเลยนะ หนูอยากจะบอกว่า คนที่เขาไปห้องฉุกเฉิน ไม่ควรจะให้เขามานั่งเก้าอี้เข็น ควรให้นอนแล้ว และการที่ให้น้องไปรอ ก็ให้ไปรอในส่วนของคนตรวจโรคทั่วไป ไม่ได้ให้เข้าห้องฉุกเฉินเหมือนอย่างตอนที่ส่งตัวมาเลย นี่คือสิ่งที่เราติดใจว่า ทำไมถึงให้เรามารอและไม่รักษาทันที และอยากจะบอกว่ารอนานมากด้วย
ยิ่งพอได้อ่านข้อมูลจากคำแถลงของทางโรงพยาบาล พอดูเวลาที่เขาแถลงข่าว ยิ่งรู้สึกว่าไทม์ไลน์ของอาการน้อง มันจะไม่ตรงกับที่เราได้รับรู้เลย มาเช็กดูได้เลยจากข้อมูลในไลน์ที่เราคุยกัน เพราะครอบครัวเราจะมีกรุ๊ปไลน์ที่อัปเดตกันตลอด วิดีโอและภาพทุกอย่างคือถ่ายเดี๋ยวนั้น และโพสต์เดี๋ยวนั้นเลย เพราะฉะนั้น จะทราบเวลากันตลอด ก็เลยรู้สึกว่าเวลาที่เรารับรู้ มันขัดกับที่เขาแถลงการณ์
ตั้งแต่เหตุการณ์แรกที่เขาแถลงออกมาว่า น้องไปถึงเวลา 13.30 น. และได้รับการรักษาทันที แต่คำว่า "ทันที" ของเขา คือให้เรา "รอ" ซึ่งมันไม่ตรงกับที่เขาพูดเลย มันขัดกันหลายๆ อย่าง และเวลาก็ไม่ตรงกัน เขาบอกมาถึงปุ๊บตรวจทันทีและรู้เลยว่าน้องเป็นอะไร เราก็สงสัยว่าก่อนน้องจะเสียตอน 16.39 น. ที่ให้เรารอ เราสงสัยว่าหมอทำอะไรอยู่เกือบชั่วโมงได้
และที่มีข่าวว่าหมอจะส่งตัวน้องไป จ.ราชบุรี แต่จริงๆ เรื่องการส่งตัว เขาเพิ่งมาบอกตอนหัวใจน้องหยุดเต้นไปตอน 16.39 น.ซึ่งมันไม่มีประโยชน์แล้ว น้องจะไปแล้ว จะมาส่งตัวนอนนั้นก็ไม่มีประโยชน์ มันควรจะส่งตอนเวลาที่เรามาถึงมากกว่า ให้หมอวินิจฉัยแล้วถ้าพบว่ารักษาไม่ได้ ก็ให้หมอส่งตัวเลย มันน่าจะยังทัน”
“รักษาทันที” เปิดไทม์ไลน์และคำอธิบายฝั่งแพทย์
[ปวดท้องจนนั่งไม่ไหว จึงต้อง "ยืนรอ" รับการรักษา]
"ช่วงห่างของเวลาเป็นช่วงที่รอฟิล์มเอกซเรย์ และช่วงแพทย์ต้องวินิจฉัย ยืนยันว่าแพทย์-พยาบาลทำอย่างเต็มที่แล้ว ขอแสดงความเสียใจกับญาติด้วยความจริงใจ แต่กรณีนี้ ผู้ป่วยเป็นโรคที่รุนแรงเกินระดับความสามารถในการรักษาของ รพ.พระจอมเกล้าฯ มาก” นพ.สาธิต รัตนศรีทอง ผอ.รพ.พระจอมเกล้า จ.เพชรบุรี แถลงข่าวชี้แจงเพื่อตอบข้อสงสัยของผู้คนในสังคมเรื่องการรักษาที่ล่าช้าของทีมแพทย์และพยาบาล
โดยได้ชี้แจงว่าผู้ป่วยถูกส่งตัวมาจาก รพ.ชะอำ ถึง รพ.พระจอมเกล้า ในเวลา 13.30 น. หลังจากนั้น ส่งเข้าตรวจแผนกอายุกรรม ในเวลา 14.04 น. ส่งเอกซเรย์เพิ่มเติม ในเวลา 14.30 น. กระทั่งต้องส่งตัวมายังห้องฉุกเฉิน เนื่องจากความดันตก จากนั้นทีมแพทย์จึงได้ทำการตรวจ ให้น้ำเกลือ เจาะเลือด เข้าเครื่องซีทีสแกนตรวจคลื่นหัวใจถึง 2 ครั้ง เนื่องจากพบว่ามีอาการผิดปกติ
เบื้องต้น แพทย์สงสัยว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่โป่งพองในช่องอกแตก (Rupture TAA - Thoracic Aortic Aneurysm) ซึ่งเกินกว่าระดับการรักษาของ รพ.พระจอมเกล้า โดยทีมแพทย์ชี้แจงว่าขณะนั้น ได้ประสานเตรียมส่งตัวไปรักษาต่อแล้ว แต่ปรากฏผู้ป่วยเริ่มกระสับกระส่ายและชีพจรหยุดเต้นเสียก่อน จึงทำการปั๊มหัวใจ ให้เลือด แต่ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตได้ และเสียชีวิตในเวลา 16.38 น. ด้วยอาการเส้นเลือดใหญ่ในช่วงอกแตก
[ผลเอกซเรย์ของน้องนิว]
นพ.ประจักษ์ วัฒนะกูล นายแพทย์สาธารณสุข จ.เพชรบุรี กล่าวว่าอาการที่เกิดขึ้นกับน้องนิว ถือเป็นโรคที่มีความรุนแรงอย่างมาก เนื่องจากผู้ป่วยเสียชีวิตจากเส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพองในช่องอกแตก ซึ่งโดยปกติแล้วโรคดังกล่าวพบได้น้อย จากสถิติแล้ว ตรวจพบผู้ป่วยมีอาการเช่นเดียวนี้ในอัตรา “5 คนจาก 1 ล้านคน” เท่านั้น และส่วนใหญ่มักพบในวัย 40-70 ปีด้วย
การตั้งสมมติฐานเบื้องต้นของโรคเองก็ทำได้ยาก จำเป็นต้องใช้เครื่องมือซีทีสแกน หรือการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์อย่างเดียวเท่านั้น จึงจะทราบได้ว่าป่วยเป็นโรคนี้ ซึ่งเป็นโรคที่รักษายาก ในพื้นที่นี้มีเพียง รพ.ศิริราช เพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่สามารถรักษาได้
ที่สำคัญ เมื่ออาการกำเริบรุนแรง จะมีเวลาเพียง 3-5 นาที ในการรักษาเท่านั้น ขณะที่แพทย์ รพ.พระจอมเกล้าฯ พบผู้ป่วย ก็เกิดอาการกำเริบสูงสุดกะทันหันแล้ว จึงไม่สามารถส่งตัวรักษาได้ทัน ทางนายแพทย์ประจักษ์จึงได้แต่ฝากความเสียใจไปยังครอบครัวผู้สูญเสีย ทั้งยังเตรียมประชุมหารือเรื่องเยียวยาเพื่อรับผิดชอบ
"ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวน้องนิว เราพยายามเต็มที่แล้ว แต่เกินระดับความสามารถของแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลจริงๆ ส่วนการเยียวยาจะประชุมกับส่วนที่เกี่ยวข้องว่า จะสามารถดำเนินการได้เช่นไรบ้าง และจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่"
แน่นอนว่าเหตุการณ์การเสียชีวิตของน้องนิวในครั้งนี้ ย่อมกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาพลักษณ์โรงพยาบาล และหน่วยแพทย์ในห้องฉุกเฉินโดยตรง และถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะมีการถกเถียงกันอย่างหนัก ระหว่างเหตุผลจากทั้งสองฟากฝั่ง ทั้งจากฝั่งครอบครัวคนไข้ และฝั่งทีมแพทย์เอง แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัดว่าเรื่องนี้ควรเป็นอุทาหรณ์ให้แก่ใคร
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหนึ่งเสียงที่ขอออกมาร่วมแสดงความคิดเห็น โดยตั้งชื่อเรื่องราวผ่านโพสต์เอาไว้ว่า “เสียงที่ไม่ได้ยินจากห้องฉุกเฉิน” ที่ไม่ประสงค์จะออกนาม บอกเอาไว้เพียงแค่ว่าเป็นหัวหน้าพยาบาล ในโรงพยาบาลแถวชลบุรี เขตรอยต่อระยอง ที่ได้รับผลกระทบกับเคสนี้เข้าเหมือนกัน โดยได้ส่งข้อความมาระบายความในใจกับทางแฟนเพจ “แหม่มโพธิ์ดำ” และถูกนำไปแชร์ต่อๆ กัน โดยมีใจความดังนี้
“ตอนนี้ข่าวกระแส รพ.เพชรบุรี ดังและแรงมาก เคสน้องที่ญาติเขาโพสต์ว่ารอจนเสียชีวิต กำลังใจพวกเราทีมแพทย์พยาบาลแทบไม่เหลือแล้ว ณ เวลานี้ พยาบาลถูกกดดันจากประเด็นนี้ทุกรายเลย กับประโยค "ต้องรอจนตายเหมือนน้องคนนั้นเหรอ"
กลายเป็นว่าตอนนี้ทุกเคสต้องด่วนหมด ขู่จะฟ้องกันตลอด 24 ชม. เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ER เจอเคสเมากับ drug withdrawals พยาบาลตัวเล็กๆ 3 คน ถูกถีบกลางลำตัว อีกคนโดนชกที่จมูก อีกคนถูกข่วนตามแขน แต่พวกเราไม่เคยแจ้งฟ้องออกสื่อ หรือได้รับการเหลียวแลจากผู้บริหารเลย
กำลังใจพวกเราไม่เหลือแล้ว กำลังทยอยลาออก เด็กใหม่ๆ แม้ไม่ได้บรรจุก็ไม่เคยเรียกร้อง ก้มหน้าใช้ทุนให้หมดๆ แล้วจะทยอยลาออกจากภาครัฐ เดือนที่แล้ว พยาบาล รพ.ชลบุรี ลาออกทีเดียว 8 คน ตอนนี้เจอแบบนี้ ก็ใกล้เต็มทีแล้ว จะมีผู้ใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุขซักคนไหมพอจะบรรเทาทุกข์คนอาชีพนี้บ้าง ปล. นี่ก็แจ้งลาออกแล้วเช่นกัน ขอให้คนไข้ทุกคนโชคดีนะคะ”
ข่าวโดย ผู้จัดการ Live