xs
xsm
sm
md
lg

เด็กพิการสุดช้ำ อ้างถูก “ทนายโกง” ฉกเงิน 5 ล้านไปเสพสุข

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สุดอึ้ง! ทนายเชิดเงินค่าเสียหาย 5 ล้าน คดีเด็กหญิงพิการถูกรถพ่วง 18 ล้อพุ่งชน เหยื่อเข้าร้องทุกข์เท่าไหร่เรื่องก็เงียบกริบ แต่กลับมาเจ็บจี๊ดสุดขีด เมื่อรู้ว่าทนายสุดแสบตอนนี้ชีวิตดี๊ดี เปิดบ้านให้คนเช่าเก็บเงินรายเดือน เพจดังเผยใบหน้าทนายต้องสงสัย แฉประวัติโชกโชน เคยถูกห้ามเป็น “ทนายอาสา” มาแล้ว สังคมตั้งคำถาม นี่ “ทนายความ” หรือ “อาชญากร” กันแน่!?

ชีวิตรันทดสามีตาย-ลูกพิการ-ทนายโกงเงิน

เพราะบทบาทของความเป็นแม่ ย่อมยอมไม่ได้ที่จะต้องเห็นลูกตัวเองต้องมาลำบาก ยิ่งหากลูกของเธอนั้นพิการเดินไม่ได้ หนำซ้ำยังมาถูกคนใจร้ายหลอกลวงเอาเงินที่ควรจะเป็นของลูกไปใช้เองด้วยแล้ว ผู้เป็นแม่ย่อมทุกข์ใจจนนิ่งเฉยไม่ได้ ดังเช่นกรณีของ ด.ญ.ภัทรดา แก้วผ่อง หรือ น้องบีม วัย 14 ปี ที่พิการจากอุบัติเหตุรถพุ่งชนกับรถ18 ล้อ และถูกทนายที่ดูแลคดีเชิดเงินเยียวยากว่า 5 ล้านบาทไปใช้เองอย่างสบายใจ จนผู้เป็นมารดาทนไม่ไหวได้ออกมาร้องเรียนตามสื่อต่างๆ เพื่อตามหานายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ทนายความคนดังกล่าว ให้มาชดใช้เงินที่เชิดไปนั้นมาคืน เนื่องจากทุกวันนี้เธอและลูกสาวที่พิการใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก

น.ส.พรทิพย์ จันทรัตน์ อายุ 44 ปี ผู้เป็นแม่ ที่ทุกวันได้พา น้องบีม ลูกสาวที่พิการเดินไม่ได้นั่งรถวีลแชร์ตระเวนขายของไปทั่ว เผยถึงชีวิตที่ถูกโชคชะตากลั่นแกล้งว่า ย้อนไปเมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2548 ตนกับสามี คือ นายอรุณรัตน์ แก้วผ่อง พร้อมน้องบีม ได้นั่งรถปิกอัพเพื่อนสามีไปประสบอุบัติเหตุชนกับรถพ่วง 18 ล้อ ที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี สามีเสียชีวิตคาที่ ตัวเองบาดเจ็บสาหัสต้องดามเหล็กที่ขาทั้ง 2 ข้าง ส่วนน้องบีมกระดูกทับไขสันหลังกลายเป็นคนพิการเดินไม่ได้จนถึงทุกวันนี้

หลังจากนั้น ทางครอบครัวได้รับการช่วยเหลือจาก นายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ทนายความแสบที่รับอาสาว่าความให้จนกระทั่งต่อมาปี 2557 นายพิสิษฐ์ แจ้งว่า ศาล จ.สุราษฎร์ธานี มีคำพิพากษาให้คู่กรณีจ่ายเงินให้ครอบครัวตนเอง 1 ล้านบาท โดยแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ งวดละ 40,000 บาท จากนั้นได้นำหนังสือมอบอำนาจมาให้ตนเซ็น โดยอ้างว่าตนเองไม่สะดวกเดินทาง ตนจึงได้เซ็นให้ไป และได้รับเงินเดือนละ 40,000 บาท เป็นเวลา 7 เดือน ก่อนจะหยุดหายไป เมื่อทวงถามทนายจอมแสบมักบ่ายเบี่ยง และอ้างว่าทางคู่กรณียังไม่ได้จ่ายมา

เมื่อนางสาวพรทิพย์ ได้ติดต่อไปยังบริษัทคู่กรณีเพื่อสอบถามถึงสาเหตุ แต่แล้วก็ต้องช็อกจนหัวใจแทบสลายเมื่อทราบว่าทางบริษัทรถพ่วง 18 ล้อ จ่ายเงินค่าเสียหายให้กับครอบครัวตนเองมา 5 ล้านบาทแล้ว โดยมีทนายแสบ เป็นผู้รับมอบอำนาจจากตนเองมา ตนจึงสอบถามทนายของตนไป กลับยอมรับและบอกว่าจะหาเงินมาใช้คืนพร้อมนำดอกไม้ธูปเทียนมาขอขมา จากนั้นก็เปลี่ยนมือถือ และติดต่อไม่ได้อีกเลย

ด้วยความไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย น.ส.พรทิพย์ จึงไม่รู้จะไปสู้รบตบมือกับทนายคนนั้นได้อย่างไร เพราะที่ผ่านมาเคยร้องเรียนไปที่สภาทนายความ มูลนิธิปวีณา และศูนย์ดำรงธรรม แต่เรื่องก็เงียบหายไป ตอนนี้จึงอยากฝากข้อความถึงทนายแสบว่า

“ถ้าทนายพิสิษฐ์ยังมีชีวิตอยู่ และรู้ว่าตนเองกับลูกสาวลำบากขนาดไหน ขอให้นำเงินมาคืนด้วย เพราะน้องบีมไม่น่าที่จะต้องมามีชีวิตที่ลำบากขนาดนี้ หากเขาไม่โกงเงินของตนกับลูกสาวไป”

สำหรับ น้องบีม นั้น ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้น ม.2 โรงเรียนศรีสังวาลย์ ซึ่งเป็นโรงเรียนคนพิการในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นเด็กสาวหน้าตาสะสวย มีผลการเรียนที่ดีเกรดเฉลี่ย 3.8 เป็นหนึ่งในนักร้องคอรัสหมู่ที่ร่วมกับเพื่อนๆ ร้องเพลง “เคเซลา” ในโฆษณาของบริษัท ไทยประกันชีวิต ที่มีความไพเราะแสนเศร้ากินใจคนฟังจนเป็นที่รู้จักกันดีในโฆษณาชุดนี้ที่แสดงออกถึงความรัก ความสามัคคี ความเข้มแข็ง ในการต่อสู้ชีวิตของคนพิการที่ไม่เคยย่อท้อ

ร้อนถึงรัฐ ยื่นมือเข้าช่วยเหยื่อทนายโกง

ทันทีที่เรื่องราวสุดสะเทือนใจของน้องบีมเด็กพิการวัย 14 ปี ถูกทนายความไร้จรรยาบรรณหลอกตุ๋นเงินไปนั้น ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่างยื่นมือเข้าช่วยเหลือกรณีดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ดังเช่น พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. เผยว่า กรณีดังกล่าวเหตุเกิดมาตั้งแต่ปี 2549 แล้วมีขบวนการของคนที่ใช้ความรู้ด้านกฎหมายมาหลอก น้องผู้เสียหายเพิ่งมารู้ว่าถูกหลอก ทุนทรัพย์ที่จะต้องได้รับเบื้องต้นประมาณ 4 ล้านบาท ทำไปทำมาได้เงินมาเพียง 280,000 บาท

กระทั่งน้องผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความที่ สน.บางยี่ขัน ในความผิดฐานฉ้อโกงและปลอมแปลงเอกสาร แต่ปรากฏว่า ความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารเมื่อนำไปเสนอต่อศาลเพื่อขออนุมัติออกหมายจับ แต่ศาลไม่สามารถพิจารณาออกหมายจับให้ได้ เพราะมองว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงเอกสารของบริษัทที่ชดใช้ค่าเสียหายให้ เป็นเรื่องที่อุปโลกน์กันเอง เหมือนการแอบอ้างแล้วเซ็นชื่อมาเป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับนิติบุคคล

พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวอีกว่า คดีที่ต้องมาพิจารณานั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการฉ้อโกง เพราะทุกพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการหลอกลวงผู้อื่นโดยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงอันควรบอกให้แจ้งโดยการหลอกลวงได้ไปซึ่งทรัพย์ ไม่รู้ว่าผู้กระทำการดังกล่าวไปเกลี้ยกล่อมน้องผู้เสียหายอย่างไรมิทราบ พนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน ได้ให้ข้อมูลว่าความผิดลักษณะดังกล่าวสามารถยอมความได้เป็นความผิดต่อส่วนตัว ถ้าถอนแจ้งความเมื่อไหร่คดีก็จบทันที สุดท้ายน้องผู้เสียหายกลับไปหลงเชื่อก็ถอนแจ้งความ สิทธิทางคดีอาญาฟ้องระงับ

จากกรณีดังกล่าวผู้เสียหายสามารถเข้าแจ้งความใหม่ได้หรือไม่นั้น พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวว่า ทำไม่ได้ เพราะกรณีดังกล่าวได้มีการแจ้งความและถอนแจ้งความไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.อรรถวุฒิ นิวาตโสภณ ผกก.สน.บางยี่ขัน ตรวจสอบข้อเท็จจริง หากมีข้อมูลที่กระทำความผิดในกรรมอื่นๆ หรือฐานอื่นๆ ต่างกรรมต่างวาระต้องนำตัวบุคคลนั้นมาดำเนินคดีที่ทำให้น้องผู้พิการเสียหาย แม้คดีนี้จะผ่านมา 11 ปีแล้วแทนที่ผู้เสียหายจะได้รับค่าชดเชย กลับถูกพวกอาสาสมัครเชิดเงินไป คนจำพวกนี้น่าตกนรก 7 ขุม

ฟาก อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่กองพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ เดินทางลงพื้นที่บ้านผู้เสียหายเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมแจ้งสิทธิแก่ผู้เสียหายในคดีอาญา ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 กรณีน้องบีมเด็กหญิงพิการถูกทนายอาสาฉ้อโกงเงินเยียวยา

พร้อมแนะนำแนวทางการขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐ และการให้ความช่วยเหลือด้านอื่นๆ และจะมีหนังสือประสานไปยังกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และโรงพยาบาลชลประทาน เพื่อให้น้องบีมเข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บต่อไป

รวมถึง ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ไม่รอช้าสั่งการให้ผู้การนนท์ติดตามความคืบหน้าคดี พร้อมประสานกับทาง สน.บางยี่ขัน กทม. เพื่อทราบขั้นตอนของคดีว่าอยู่ในขั้นตอนไหน ส่วนทางด้านแม่และน้องบีมที่มีรายได้ครอบครัวประมาณเดือนละ 7,000 บาทนั้น ทางจังหวัดได้ให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นโดยจัดสรรโควตาลอตเตอรี่ให้ไปจำหน่าย

ขณะที่ สำนักงานกองทุนยุติธรรม ได้ให้ความช่วยเหลือในเรื่อง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินคดี เช่น ค่าทนายความ ค่าธรรมเนียมศาล ค่าเดินทาง เพื่อเรียกร้องเงินในส่วนที่บริษัทรถพ่วง 18 ล้อ ได้จ่ายเงินค่าเสียหายให้แล้วโดยจ่ายผ่านทางทนายอาสา จำนวน 5 ล้านบาทดังกล่าว คืนจากทนายสุดแสบ

นอกจากนี้อาจต้องแจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีกับทนายความที่รับเงินดังกล่าวฐานฉ้อโกง และร่วมมือกับสภาทนายความดำเนินการเรื่องมารยาททนายความฐานกระทำการใดอันเป็นการฉ้อโกง ยักยอก หรือตระบัดสัตย์ลูกความ หรือครอบครอง หรือหน่วงเหนี่ยวเงินหรือทรัพย์สินของลูกความที่ตนได้รับมาโดยหน้าที่อันเกี่ยวข้องไว้นานเกินกว่าเหตุ โดยมิได้รับความยินยอมจากลูกความ เว้นแต่จะมีเหตุอันสมควร ซึ่งมีโทษ 3 สถาน เรียงตามลำดับโทษที่เบาที่สุดไปจนถึงหนักที่สุด ตั้งแต่ภาคทัณฑ์ ห้ามทำการเป็นทนายความมีกำหนดไม่เกิน 3 ปี หรือลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความต่อไป

ด้าน สภาทนายความจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ออกเอกสารแถลงการณ์เกี่ยวกับคดีดังกล่าวว่า หากสอบสวนจากคณะกรรมการมรรยาทของสภาทนายความในพระบรมราชาชูปถัมภ์ ผลสอบออกมาว่าทนายความดังกล่าวยักยอกเงินตามที่ผู้เสียหายกล่าวหาจริง ก็จะมีบทลงโทษสูงสุด คือการลบชื่อออกจากสารบบสภาทนายความ หรือถูกเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพ นอกจากนี้อาจถูกดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ผู้อื่นด้วย

เจ็บจี๊ด! ส่องชีวิตเสพสุขจอมโกง

ใช่ว่าจะมีความคืบหน้าแค่เพียงด้านสองแม่ลูกที่เป็นผู้เสียหาย ฝั่งทนายความที่ถูกอ้างว่าเป็นผู้โกงเงินไป ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้ลงพื้นที่ไปที่บ้านหลังหนึ่ง ย่านบางซื่อ ซึ่งคาดว่าเป็นบ้านพักของนายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ทนายจอมแสบโดยบ้านหลังดังกล่าวมีลักษณะเป็นทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น ภายในบ้านพบว่ามีผู้อาศัยอยู่ เนื่องจากมีของใช้ เสื้อผ้า และสัตว์เลี้ยงอยู่ภายในบ้าน

โดยนางอร (สงวนนามสกุล) ผู้พักอาศัยอยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าว เปิดเผยว่า เธอเป็นผู้เช่าบ้านหลังนี้ของนายพิสิษฐ์มานานกว่า 3 ปีแล้ว ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวเช่าในราคา 5,000 บาทต่อเดือน โดยโอนเงินเข้าบัญชีนายพิสิษฐ์โดยตรง ก่อนหน้านี้ครอบครัวเคยติดต่อขอซื้อบ้านหลังนี้ แต่ได้รับการปฏิเสธ อย่างไรก็ตามเธอยืนยันว่านายพิสิษฐ์ยังมีชีวิตอยู่ และเคยพบกับนายพิสิษฐ์เพียงครั้งเดียวเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา

ล่าสุดเพจสายดาร์ก Social Hunter ได้โพสต์รูปภาพใบหน้าบุคคลและเอกสารจากสภาทนายความของบุคคลที่อ้างว่าคือ นายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ พร้อมโพสต์ข้อความ “จากประวัติของทนายความพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ปัจจุบันอายุ 59 ปี เคยถูกสภาทนายความ ห้ามทำการเป็นทนายความ เป็นเวลา 2 ปี ในช่วง 2550-2552 นอกจากนี้ ยังใช้กลอุบาย ไปให้แม่น้องถอนแจ้งความในคดีที่มีการแจ้งความทนายพิสิษฐ์กับพวก (น.ส. ภัทรวดี ) ในข้อหาฉ้อโกง กับปลอมเอกสาร ให้

ประเด็นต่อมา ในตอนแรก ทนายความพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ กับพวก ได้ไปเจรจากับแม่ของน้องบีม ว่า ทางบริษัทคู่กรณีจ่ายเงินมา โดยยินยอมให้ผ่อนจ่ายเดือนละ 40,000 บาท ซึ่งแม่ของน้องบีมก็ยอมตกลง พอจ่ายเป็นระยะเวลา 7 เดือน รวมเป็นเงิน 280,000 บาท ต่อจากนั้นก็ไม่จ่ายอีกเลย เชิดเงินหนีไป จึงเป็นที่มาของการร้องเรียนต่อสื่อมวลชนในวันนี้”

เรียกได้ว่าคดีนี้เป็นอีกหนึ่งคดีที่ประชาชนให้ความสนใจกัน และต้องการฟังความจริงจากปากของทนายความคนดังกล่าวว่า มีเหตุผลใดถึงกล้าหลอกลวงเงินของลูกความของตนเองและเชิดเงินหนีหายไป โดยไม่เห็นแก่ชีวิตของสองแม่ลูกที่ต้องสูญเสียสามีซึ่งเป็นดั่งเสาหลักของครอบครัวไปจากอุบัติเหตุ แถมลูกสาววัยกำลังโตต้องมาพิการเดินไม่ได้ หนำซ้ำผู้เป็นแม่ขายังต้องดามเหล็กทั้งสองข้าง ใช้ชีวิตประจำวันสุดแสนลำบาก





มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น