xs
xsm
sm
md
lg

เจาะมิติ กระชากหน้ากากธรรมกาย!! “ชาติชาย” ชายผู้สูญเสีย... [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


จู่ๆ ก็โผล่มาพร้อมป้ายแขวนคอ "กระชากหน้ากากธรรมกาย" พร้อมหนังสือหนากว่า 300 หน้าที่เขียนขึ้นเอง เพื่อแฉยุทธศาสตร์ “วิชชาธรรมกายและลัทธิธัมมชโย” หลังอดทนแฝงตัวอยู่เป็นคนวงในนานถึง 31 ปี อ้างสูญทรัพย์ถึง 12 ล้าน พร้อมทั้งสูญเสียความรักภายในครอบครัว เหตุเพราะภรรยาผู้เสพติดการบริจาคอย่างบ้าคลั่ง ตกเป็น “ทาสทางจิตวิญญาณ” ของผู้บิดเบือนพระพุทธศาสนาจนถอนตัวไม่ขึ้น ชายวัย 62 รายนี้จึงกลายเป็นตัวหมากสำคัญในเกมจับผิดบรรพชิตลัทธินี้ไปเรียบร้อยแล้ว
 



ผู้คนร่วมถล่ม วิจารณ์ว่อนถึงเรื่องราว “บริจาคจนหมดตัว” ในครั้งนี้ว่ามีมูลความจริงอยู่มากน้อยเพียงใด บ้างบอกชายวัยเกษียณรายนี้ถูกจ้างถูกจัดฉากขึ้นมา บ้างกล่าวหาว่าเขาเพี้ยนเชื่อถือไม่ได้ บ้างซ้ำเติมครอบครัวที่หูเบาหลงเชื่อใน “พุทธเทียม” มากเกินไป บ้างเห็นใจและนับถือในความกล้าที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อพระพุทธศาสนาและสังคม
 

ท่ามกลางความสับสนระคนวิพากษ์อย่างหนักหลังเปิดปม... อะไรคือแรงผลักที่อยู่เบื้องหลังจริงๆ ที่ทำให้ “ผู้สูญเสีย” คนหนึ่งลุกขึ้นมางัดข้อเพียงลำพัง ชายคนนี้ได้เปิดใจเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่า เป็นผลมาจากแรงผลักแห่งความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเขา โดยเฉพาะลูกชายคนโตที่ต้องเปลี่ยนจากเด็กเรียนดี ไปเป็นเด็กซึมเศร้า กลายเป็นผู้พิการทางสมอง จากเหตุการณ์ช็อกที่พ่อแม่ทะเลาะกันเรื่องเงินบริจาค

“ผมบันดาลโทสะ ใช้ตะกร้าหวายฟาดภรรยาอย่างแรง จนหัวแตก เลือดไหลอาบหน้า บังเอิญลูกชายลงมาเห็น เกิดอาการตกใจและเสียใจสุดขีด หลั่งสารซึมเศร้าออกมา และได้กลายเป็นโรคซึมเศร้า ไม่สามารถเรียนต่อได้ ขณะนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลคลองหลวง จ.ปทุมธานี ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นผู้พิการทางสมอง และมีแนวโน้มจะฆ่าตัวตายอยู่ตลอดเวลา

ด้วยความทุกข์แสนสาหัสที่เกิดขึ้นในชีวิตขนาดมหึมา จึงส่งแรงผลักให้เขาลุกขึ้นมาป่าวประกาศ เปิดโปง “ความมืดบอดบนทางธรรม” ไปสู่สังคม จากการศึกษาและสั่งสมในฐานะ “คนวงใน” อยู่นานกว่าค่อนชีวิต และนี่คือมิติความคิดที่กลั่นออกมาจากผู้ชายที่ชื่อ “ชาติชาย บำรุงสุนทร”





ยิ่งบริจาคมาก ยิ่งแตกแยกมาก!!?

[คลังภาพ]
มีการแชร์ข้อมูลที่ภรรยาของคุณออกมาแก้ต่างว่า สาเหตุการล้มละลาย

ไม่ได้เป็นเพราะวัด แต่เพราะทำธุรกิจล่มเอง จริงไหม?

เขาก็ต้องเชื่อวัด เขาก็ต้องสนับสนุนทางวัดเต็มที่อยู่แล้วครับ

ที่ครอบครัวแตกแยก เป็นเพราะคุณทำงานหนักมากจนไม่มีเวลาให้ภรรยา

ฝ่ายหญิงจึงหันหน้าไปพึ่งธรรมกาย ตามที่น้องสาวเชิญชวนจริงหรือเปล่า?

(พยักหน้ารับ) และเป็นเพราะเขาทำตามที่พระธัมมชโยแนะนำว่า “หักดิบมุ่งตรงสู่หนทางพระนิพพานกันเลยทีเดียวนะจ๊ะ” ก็คือการประพฤติพรหมจรรย์ แต่ขณะนั้นผมยังเป็นหนุ่ม ฮอร์โมนเพศยังทำงานอยู่ มันเป็นความทุกข์ทรมานของผู้ชาย ในหนังสือที่เขียน ผมก็อธิบายไว้แล้วว่ามันเป็นการ answer the core of nature คือการตอบสนองข้อเรียกร้องจากธรรมชาติ ผมก็เลยไปทำอะไรที่มีชนักติดหลัง

หมายถึงไปมีภรรยาอีกคน ทั้งๆ ที่ขณะนั้นไม่ได้หย่ากัน?
(พยักหน้ารับ) เพราะภรรยาผม เขาไม่ยอมให้มีอะไรกัน... พอเขารู้ เขาก็เอาเรื่องนี้มาขู่ผม บอกว่าต้องยอมให้เขาไปทำบุญ ไม่อย่างนั้น เขาจะเอาเรื่องนี้ไปบอกลูก ตอนนั้นผมก็เหมือนเป็นลูกไก่ในกำมือ เพราะคนเป็นพ่ออย่างผมก็ต้องกลัวลูกจะรู้ว่าพ่อชั่วอยู่แล้ว... แต่เรื่องนั้นมันผ่านไปแล้ว นั่นเป็นเรื่องราวสมัยยังหนุ่มๆ อยู่

วิจารณ์กันว่านี่เป็นปัญหาครอบครัวมากกว่า แต่ถูกหยิบมา

โบ้ยให้ศาสนา คุณมองเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?

มันเชื่อมโยงกันครับ เพราะเรื่องของครอบครัวผม มันเกี่ยวโยงอยู่กับตรงนี้อยู่ ต้องบอกว่า “ธรรมกาย” เป็นจุดประกายให้ปัญหามันระเบิดออกมา เปรียบเทียบเหมือนเวลาเรายิงปืน ท้ายกระสุนมันจะมีตัวที่เรียกว่า primer เป็นเชื้อจุดระเบิดที่ทำให้ดินปืนระเบิดได้ เหมือนกับธรรมกายที่เป็น primer ของปัญหาใหญ่

ต้องเข้าใจก่อนว่าสถานะ “มีศักยภาพที่จะเกิดปัญหา” กับ “มีปัญหา” มันต่างกันนะ จากเดิม ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวที่มีศักยภาพที่จะเกิดปัญหาได้อยู่ แต่ปัญหามันยังไม่เกิด จนกระทั่งมีเชื้อจุดระเบิดจากวัดพระธรรมกายเข้ามาเป็นตัวแปร

[เปิดตัวแฉครั้งแรกต่อหน้าสื่อมวลชน 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา]

หมายความว่า ยิ่งภรรยาหันหน้าเข้าหาธรรมกาย

ยิ่งบริจาคมาก ยิ่งทำให้เกิดรอยร้าวอย่างนั้นหรือ?

ธรรมกายผิด ที่เขากระตุ้นศรัทธาของคนจนทำให้หลง ทำให้ภรรยาของผมบริจาคไม่หยุด ยิ่งผมห้าม ผมก็ยิ่งกลายเป็นคนสุดแสนชั่วสุดแสนเลว เพราะผมจะด่าพระธัมมชโยตลอด และภรรยาผมก็มองว่า การด่าหลวงพ่อมันเป็นบาปอกุศลอย่างรุนแรง

สรุปแล้ว การออกมาตีแผ่ในครั้งนี้ หลักๆ เพื่อต้องการตอกกลับ

ที่เคยได้รับผลกระทบจากวัดพระธรรมกาย หรือเป็นเพราะอยากตีแผ่

เพื่อกระตุ้นเตือนสังคม ไม่ให้หลงผิดแบบเดียวกัน?

ผมไม่ต้องการให้คนอื่นมาประสบปัญหาแบบผม ผมต้องการพิทักษ์พระพุทธศาสนาที่แท้จริงให้คงอยู่ ส่วนเรื่องความรู้สึกอยากตอกกลับธรรมกาย มันต้องมีอยู่แล้ว ยอมรับว่าจุดแตกหักนั้น เป็นตัวกระตุ้นให้ผมตัดสินใจลุกขึ้นมาตีแผ่ เพียงแต่มันเป็นเหตุผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เพราะถ้าผมไม่รู้สึกอะไรต่อผลกระทบเลย มันก็คงไม่มีแรงผลักเพียงพอให้ผมอยากลุกขึ้นมาเพื่อป่าวประกาศให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ ผมคงมองว่ามันไม่ใช่หน้าที่ผม ทำไมผมต้องทำ

ผมยืนยันเต็มร้อยจากหัวใจเลยว่า เรื่องความรู้สึกส่วนตัวที่ผมมีต่อวัดธรรมกาย ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้ผมลุกขึ้นมาทำตรงนี้ มันเป็นเพียงตัวจุดประกาย แต่เหตุผลหลักคือผมต้องการปกป้องพิทักษ์พระพุทธศาสนา ให้คนอื่นๆ ไม่ต้องมาโดนอย่างผม

มีคนถามหา “ใบอนุโมทนาบุญ” จะได้เอามาใช้อ้างได้ว่า

ภรรยาเอาเงินไปบริจาคให้วัดจนหมดตัวจริงๆ

เขาเป็นคนเก็บทั้งหมดครับ เพราะเขาเป็นคนบริจาค ผมเองแม้แต่สลึงเดียวก็ไม่คิดจะบริจาค หลักฐานการบริจาคอยู่กับภรรยาทั้งหมด ส่วนผมบริจาค 0 บาท เพราะฉะนั้น ชื่อทุกอย่างจะลงเป็นชื่อเขาหมด

ถ้าอย่างนั้น จะมีอะไรมายืนยันได้ว่า ทรัพย์สินที่ขายไป

เอาไปบริจาคให้วัดหรือเอาไปทำอย่างอื่น?

ขายไปบริจาคครับ (น้ำเสียงหนักแน่น) นี่ผมยังไม่ได้พูดถึงประเด็นหลังสุดนะ เราขายที่ที่สมุทรปราการได้มา 1,700,000 บาท และเขาก็ให้ผม 1,200,000 ซึ่งเป็นการแบ่งที่แฟร์หน่อย เพราะผมเป็นคนซื้อที่ ส่วนเขาได้ไป 500,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนที่ผมไม่ได้เขียนรวมลงไปใน 12 ล้านนั้นที่บริจาคไปด้วย

แต่ผมเชื่อมั่นว่าใน 500,000 บาทนั้นที่ภรรยาผมได้ส่วนแบ่งไป จะต้องตกไปเป็นของธรรมกายอยู่มากโขเหมือนกัน แต่จะเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน แค่อยากให้รู้ว่าผมไม่เคยนำจำนวนเงินใดๆ มาปรักปรำเขาแน่นอน


ที่บอกว่าเงินที่เอาไปบริจาค หนึ่งในนั้นมาจากการเซ้งร้านขายของที่ระลึกไป

ข้อมูลจากอีกฝ่ายตั้งคำถามเอาไว้ว่า ทำธุรกิจเจ๊งเอง แล้วมาโทษทางวัดหรือเปล่า?

ในวัดพระธรรมกาย จะมีหน่วยงานที่เรียกว่า “กองพลจักรพรรดิหัตถ์สวรรค์” เป็นกองกำลังจัดตั้งจำนวนหลายหมื่นคน มีหน้าที่ทำสงครามออนไลน์ในการเข้าเฟซบุ๊ก ลงข้อความอะไรทั้งหลายแหล่ เพื่อให้โลกโซเชียลฯ เบี่ยงเบนมาเชื่อแนวทางของธรรมกาย

เป็นวิธีเดียวกับที่เรียกว่า “Cyber Warfare Unit (ปฏิบัติการยุทธศาสตร์ทางการทหาร)” ที่ทางประเทศมหาอำนาจทางการทหารของโลก อย่าง สหรัฐอเมริกา, จีน, รัสเซีย ฯลฯ เขาใช้กัน แต่ทางธรรมกายไม่ได้ใช้เพื่อการทหาร แต่ใช้เพื่อระดมความคิดให้เข้าไปในโลกออนไลน์


เพราะฉะนั้น ข้อมูลต่างๆ ที่ขณะที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผม ส่วนหนึ่งมาจากกองพลจักรพรรดิหัตถ์สวรรค์นี่แหละครับ รวมถึงข้อมูลเชิงลึกที่มาจากภรรยาของผมตามที่กล่าวอ้างด้วย

แต่ยืนยันว่าไม่ได้ทำธุรกิจล้มละลายไปเองแน่นอน?
(พยักหน้ารับ) ผมไม่เคยทำธุรกิจล่ม เอาข้อมูลไปสืบได้เลยครับ ผมบอกได้เท่านี้ ที่เหลือก็อยู่ที่คุณว่าจะเชื่อผมหรือไม่ แต่ถ้าเป็นร้าน “Souvenir” ร้านขายของที่ระลึก ตรงข้ามสนามบินดอนเมืองที่เซ้งไป อันนั้นภรรยาผมขายร้านเพื่อเอาเงินไปให้วัดธรรมกาย

ร้านนั้นผมเป็นคนลงทุน ส่วนเขาเป็นคนบริหาร เพราะผมไม่ถนัดการทำงานด้านนี้ ผมถนัดงานด้านช่าง พอจะสรุปได้ว่าทรัพย์สินและธุรกิจทุกอย่าง ผมให้เป็นชื่อของเขาหมดเลย เพราะสมัยนั้นเราถือว่าเป็นสินสมรส

มีเสียงจากผู้บริจาคบางรายกล่าวกันว่า ไม่มีหรอกบริจาคจนหมดตัว

มีแต่บริจาคแล้วยิ่งรวย คุณคิดเห็นอย่างไรบ้าง?
ก็ให้ใช้ “ปัญญา” นำ “ศรัทธา” กันดูแล้วกันครับ ถามว่าในเชิงตรรกะวิทยาศาสตร์ มันมีหรือที่บริจาคจนหมดตัวแล้ว จะรวยเด้งขึ้นมาได้ยังไง ถ้าทำแบบธัมมชโยแนะนำ ลองปิดบัญชีทางโลกทั้งหมด เทบริจาคไปให้หมดเลย แล้วเปิดบัญชีทางธรรม ดูซิว่าวันรุ่งขึ้นมันจะมี “ห่าฝนรัตนชาติ” ตกลงมาหลังบ้านอย่างที่ธัมมชโยบอกหรือเปล่า



“กองพลจักรพรรดิหัตถ์สวรรค์” ถล่มเงียบออนไลน์!!

[คลังภาพ]
ข้อมูลจากฝั่งผู้ต่อต้าน อ้างว่าสืบค้นประวัติคุณ พบว่า

ถูกไล่ออกมาแล้วถึง 3 บริษัท เป็นความจริงหรือเปล่า?

ผมเคยออกจากงานมาแค่ 2 บริษัทครับ ที่แรกที่ต้องออกมา เพราะเขาเปลี่ยนผู้ถือหุ้นจากชาวอังกฤษมาเป็นชาวสิงคโปร์ ซึ่งคนสิงคโปร์เขาไม่ต้องการคนเก่าที่เป็นตัวหลักขององค์กรเดิม เขาก็เลยเอาคนของเขามาสวมตำแหน่งแทน

ส่วนบริษัทที่ 2 ผมมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงกับคนในบริษัท ด้วยความที่ผมเป็นคนพูดจาโผงผางแบบนี้ และคู่กรณีเป็นผู้หญิง ภาพมันเลยออกมาว่าผมเป็นฝ่ายผิดมากกว่า ทำตัวไม่เหมาะสม ก็เลยต้องออกมา

[ลบคำครหาถูกไล่ออกจากงานเพราะไร้ความสามารถ มีลายมือเพื่อนร่วมงานยืนยันความนับถือ]


คิดเห็นอย่างไรที่ข้อมูลอีกฝั่งโจมตีว่า เป็นบุคคลที่ไม่ประสบความสำเร็จด้านการงาน?
ผมประสบความสำเร็จในระดับคณะกรรมการผู้จัดการบริษัทนะครับ อยู่มาได้ถึง 4-5 ปี เพราะถ้าไม่ประสบความสำเร็จก็ต้องไม่ผ่านด่านนั้นมาตั้งแต่ปีแรกแล้ว แต่ที่ต้องออกมา เพราะมันมีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นในบริษัทเท่านั้นเอง
ข้อมูลที่รุมถล่มผมอยู่ตอนนี้ ส่วนหนึ่งมาจาก “กองพลจักรพรรดิหัตถ์สวรรค์” ซึ่งเกิดจากการอบรมศิษยานุศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่า

ซึ่งน่าจะเกิน 100,000 คนไปแล้ว ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อให้มีหน้าที่ไปถล่มความคิดเห็นของคนเห็นแย้งบนโลกออนไลน์ โดยจะบอกว่ามีหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์พุทธศาสนาเพื่อสะสมเสบียงบุญ ทางธรรมกายไม่ได้จ่ายอะไรเป็นเงินตอบแทน แต่คนในนั้นจะได้รับเป็น “บุญ” เป็น “สวรรค์” ตอบแทน


เรียกได้ไหมว่า เราหมดตัวเพราะธรรมกาย?
ไม่ได้หมายถึงตัวผมคนเดียวด้วยครับ ทั้งครอบครัวของผมเลยที่หมดตัวเพราะธรรมกาย


[ข้อมูลจากอีกฝั่งโจมตีว่า ไม่ได้ "หมดตัว" อย่างที่กล่าวอ้าง]

ข้อมูลบนโลกออนไลน์บอกว่า คุณมีสวนหลายไร่ที่ลพบุรีด้วย

ไม่ได้ “หมดตัว” อย่างที่กล่าวอ้างต่อสื่อมวลชน?

(ยิ้มบางๆ) คำว่า “หมด” สำหรับผมหมายถึง “เงินสด” หรือ cash flow ที่จะหมุนเวียนครับ หมายถึงสถานะทางการเงินของเรามันฝืดเคืองมากแล้ว แต่ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์แบบที่ดิน เพราะทุกวันนี้ผมมีที่ดินเป็น 100 ไร่ มีอู่ มีเวิร์กชอป ซึ่งอาคารใหญ่โต

จากข้อมูลทั้งหมดนี้ที่หยิบมาโจมตีผมบนโลกออนไลน์ น่าจะมาจากภรรยาของผมจริงๆ เพราะคนอื่นจะมารู้ได้อย่างไรว่า ผมมีทรัพย์สินอื่นอยู่ ทั้งอู่และทั้งไร่ที่ลพบุรี

สรุปคือไม่ได้ “หมดตัว” อย่างที่เป็นข่าวอยู่จริงๆ?
จริงๆ แล้ว ผมไม่เคยพูดคำว่า “หมดตัว” เลยนะ ผมบอกว่า “หมดไป 12 ล้าน” แม้แต่รายละเอียดที่เขียนในฎีกาถวายต่อสำนักราชเลขาธิการ ผมก็เขียนเอาไว้แบบนั้น ยังไม่มีคำว่า “หมดตัว” ออกจากปากผมเลยสักครั้งเดียว

คิดว่ามีครอบครัวอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการบริจาคให้ธรรมกายเยอะไหม

คนที่บริจาคจนเป็นหนี้หรือหมดตัวแบบเดียวกัน?

มีเยอะมาก (เน้นเสียง) แม้แต่ระดับผู้บริหารองค์กรสื่อใหญ่ๆ แห่งหนึ่ง ยังเคยฟ้องธรรมกายเรื่องนี้เลย คุณลองไปหาข่าวอ่านดูได้

รู้สึกอย่างไรที่หลังจากการออกมาแฉในครั้งนี้ มีคนไม่น้อยซ้ำเติมว่า

วัดไม่ได้บังคับให้บริจาค แต่คุณโง่ไปให้เขาเองทำไม แล้วแบบนี้จะไปโทษใคร?

มันเหมือนเราบอกว่า ที่มีผู้ใหญ่เอา “ขนมใส่ยาพิษ” มาให้ เป็นลูกกวาดรสหวานสีสวยๆ มาล่อลวงเด็ก แล้วเด็กดันไปรับขนมมากิน เด็กมันโง่เองแหละ มันไม่เกี่ยวกับผู้ใหญ่ที่มาหลอกเด็กไปทำมิดีมิร้ายหรอก เด็กมันโง่เอง

เหมือนกับกรณีนี้เลยครับ ประชาชนทั่วไป ถ้าเทียบกับธรรมกายแล้ว มันก็เหมือน “เด็ก” กับ “ผู้ใหญ่” ประชาชนทั่วไปรับรู้ข้อมูลข่าวสารในเรื่องต่างๆ หรือแม้แต่ระดับการไตร่ตรอง ถ้าเทียบกับธรรมกายแล้ว เราเหมือนเด็กกับผู้ใหญ่

ถ้าคุณบอกว่า “เหยื่อธรรมกาย” โง่เองที่มาเชื่อ มันก็เป็นทำนองเดียวกับที่คุณบอกว่า ไอ้เด็กที่มันรับขนม-ลูกอม-ของหวาน ที่ผู้ใหญ่เอามาล่อลวงเพื่อทำร้าย มันโง่เองยังไงล่ะ

ขอโทษที่ต้องถาม แต่บางคนยังซ้ำเติมอีกว่า

คุณเอาความโง่ของครอบครัวตัวเองมาออกสื่อไปทำไม?

(ยิ้มปลงๆ) ผมมองว่ามันคือความเสียสละนะ เสียสละที่จะถูกตราหน้าว่าโง่ เพื่อผลประโยชน์ของพุทธศาสนิกชน

มีคนมองว่าคุณถูกจ้างให้ออกมาแฉ ถามว่าเหตุเกิดตั้งนานแล้ว ทำไมเพิ่งออกมา?
(หัวเราะเบาๆ) เพราะผมคิดว่ามันยังไม่ถึงวันเผาจริงไงครับก่อนหน้านี้ ก็เลยยังไม่ออกมา ผมแค่คิดว่าพอถึงวันเผาจริง ผมต้องร่วมเผาด้วย เพราะผมเห็นว่าวันที่ 13 ธ.ค. ทางดีเอสไอประกาศว่าจะเข้าจับกุมตัวธัมมชโย ผมเลยออกมาวันที่ 12 ธ.ค.หลังจากรอคอยวันนี้มา 30 กว่าปี

แล้วรู้สึกอย่างไรที่กำหนดการบุกค้นถูกเลื่อนไปอีก?
ก็ผิดหวังครับ รู้สึกว่าออกมาผิดจังหวะไปนิดหนึ่ง แต่ก็ถือว่าเป็นการออกมาเพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนแล้วกันครับ ผมจะเปิดเผยข้อมูลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันเผาจริง เพราะตอนนี้ ทางธรรมกายกำลังใช้วิธีให้สื่อต่างประเทศ ส่งหนังสือมาบีบนายกฯ เพื่อให้เกิดความลังเล แต่ผมขอให้ท่านประยุทธ์อย่าลังเลเลยครับ เพราะกลยุทธ์ของเขามันเยอะมากจริงๆ


ฝ่ายผู้ศรัทธาวิจารณ์กันว่า ดีเอสไอรังแกพระแก่ๆ ที่อาพาธ

บีบให้ไปมอบตัว คุณคิดเห็นอย่างไรบ้าง?

ผมถามหน่อยว่า ถ้าพระแก่ๆ จะทำลายพระพุทธศาสนา คุณจะเลือกพระพุทธศาสนาดำรงอยู่ หรือเลือกพระแก่ๆ ดำรงอยู่มากกว่ากัน ผมตั้งคำถามว่า “แก่อัปรีย์” ควรจะดำรงอยู่ไหม ถ้าแก่อัปรีย์ดำรงอยู่แล้วพุทธศาสนาบรรลัย คุณจะเลือกอะไร

ด้วยความคิดแบบนี้เลยถูกมองว่าเป็น “หนอนบ่อนไส้” ธรรมกายในตอนนี้

ฝ่ายคัดค้านตั้งคำถามเอาไว้ว่า ในเมื่อไม่ศรัทธาวัดพระธรรมกาย
แล้วอยู่กินข้าววัดทุกวันไปทำไม?

ผมไปกินข้าวที่นั่น เพราะผมมีทรัพย์ติดตัวที่เหลือน้อยมากที่จะดำรงชีพ เป็นเพราะทรัพย์ก้อนใหญ่มหึมาจากครอบครัวผมไปอยู่กับวัด การกินข้าววัด ถ้าเทียบกับทรัพย์ของผม มันขี้ปะติ๋วเท่านั้นเอง เทียบกันไม่ได้เลย อย่ามาอ้างว่าบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนเลย

ส่วนคนที่มองผมว่าเป็น “หนอนบ่อนไส้” ผมก็ไม่ปฏิเสธอะไรนะ (ยิ้ม) ผมยินดีจะบ่อนไส้ ถ้าไส้นั้นเป็นไส้ของมหาโจรที่จะทำอันตรายต่อประเทศชาติ ผมยินดีเป็นหนอนบ่อนไส้ที่จะทำลายทั้งไส้และร่างกายของคนที่จะทำลายพุทธศาสนา ผมทรยศต่อพระธัมมชโย แต่ผมจะไม่ยอมทรยศต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเด็ดขาด




เอานรกมาขู่ เอาสวรรค์มาล่อ

อะไรทำให้คนที่มีทั้งความรู้และทุนทรัพย์จำนวนไม่น้อย

หลงเข้าไปอยู่ในวังวนแห่งการบริจาคแลกบุญ?

เพราะคนเหล่านั้นเขาต้องการความสุขใน “ภพเบื้องหน้า” ครับ มันเป็นความใฝ่ฝันของผู้คนที่อยากมีความสุขในสัมปรายภพหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว และทางธรรมกายก็หยิบจุดนี้มาเป็นจุดขายว่า เขาสามารถให้ความสุขที่ดีในภพภูมิหลังความตายได้ ซึ่งเขาอ้างว่าเขาให้ได้ดีกว่าคนอื่น อ้างว่าให้ได้มากกว่า “10 ยกกำลัง 140 เท่า” ของสิ่งที่พระโคดมพระพุทธเจ้าสมัยพุทธกาลจะให้ได้

เขาจะยกตัวอย่างให้เห็นว่า ถ้าตักบาตรกับพระโคดมพระพุทธเจ้าสมัยพุทธกาล จะได้บุญ 1 ส่วน แต่ถ้าอยู่ในยุคนี้และได้มาเข้าร่วมพิธี “บูชาข้าวพระ” ตอนต้นเดือนที่ทางพระธัมมชโยกลั่นของหวานของคาว กลั่นเป็นเพชรแก้วใสเอาใจนึก แล้วนำไปถวายพระพุทธเจ้าในดินแดนอายตนะนิพพาน ซึ่งมีพระพุทธเจ้าอยู่นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน (1 อสงไขยคือ 10 ยกกำลัง 140 ซึ่งมีค่าเท่ากับ เลข 1 ที่เติม 0 เข้าไปต่อท้ายอีก 140 ตัว)

เขาจึงอ้างว่าเป็นการโชคดีที่ได้เกิดในยุคของธัมมชโย ที่จะทำให้การตักบาตรเพียงครั้งหนึ่งได้บุญเป็นหลายร้อยเท่าทวีคูณ จากการที่กล่าวอ้างว่าได้ไปท่องแดนมาทุกแดนแล้ว รวมทั้งไปถึง “ดินแดนอายตนะนิพพาน” แล้ว เอาเท้าเหยียบขอบแดนอายตนะนิพพานแล้ว แต่คิดถึงลูกๆ ยังเข้าดินแดนนั้นไม่ได้

หลวงพ่อจึงขอยั้งไว้แล้วกลับมา เพื่อจะขนลูกๆ ให้ได้เข้าสู่ดินแดนนี้ทั้งหมด รวมทั้งสรรพสัตว์ทั้งหลาย แม้แต่กิ้งกือไส้เดือน ก็จะขนไปสู่ดินแดนสุขอันเกษมแห่งนี้ด้วยให้หมดสิ้น แล้วหลวงพ่อจะตามเข้านิพพานเป็นคนสุดท้าย... เมตตาธรรมสูงไหมล่ะ นี่แหละครับที่ผมเรียกว่า “Thammachayo Hypocrite” ซึ่งหมายถึงจอมโกหกหลอกลวงที่ชอบอ้างว่าตัวเองมีคุณธรรม


สรุปแล้ว “นิพพาน” ทางพุทธแท้

คนละเรื่องกันกับ “อายตนะนิพพาน” ทางพุทธเทียม ใช่หรือไม่?

จริงๆ แล้ว “ดินแดนอายตนะนิพพาน” มันไม่มีในพระพุทธศาสนาครับ เพราะคำว่า “นิพพาน” คือจิตอันบริสุทธิ์ที่สูงสุดแล้ว หลุดพ้นแล้วจากอาสวะกิเลสทั้งปวง ทั้งความโลก, ความโกรธ, ความหลง, ความไม่รู้, ความอับทึบทางปัญญา ฯลฯ หมดบริสุทธิ์อย่างสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ เช่นไฟที่ดับแล้วย่อมไม่มีที่ไป จึงกลายเป็นการดับสูญทั้งหมดทั้งสิ้น ตามที่พระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้

ดังนั้น คำว่า “นิพพาน” ของพระพุทธเจ้า จึงขัดแย้งต่อหลักการตลาดของธัมมชโยอย่างรุนแรง จิตมนุษย์ที่ยังมีกิเลสอยู่ มองว่าจะทำบุญมากๆ ไปเพื่ออะไร เพื่อจะดับสูญไม่เหลืออะไรเลยอย่างนั้นหรือ เขาจึงหันมาติดกับดักความคิดที่สอดคล้องกับกิเลสของตัวเอง ทำให้เกิดดินแดนสุขอันเกษมหลังจากการทำบุญขึ้นมา

เพราะฉะนั้น “อายตนะนิพพาน” ของธรรมกายจึงกำเนิดขึ้นมาจากแผนการตลาดเชิงเศรษฐศาสตร์ ตามที่ธัมมชโยจบเศรษฐศาสตร์ปราชญ์บัณฑิตมานั่นแหละครับ


อย่างที่เคยให้คำจำกัดความธรรมกายเอาไว้ว่า
“เอานรกมาขู่ เอาสวรรค์มาล่อ” ใช่ไหม?

ใช่ครับ จุดขายของวัดพระธรรมกายคือวิธี “เอานรกมาขู่ เอาสวรรค์มาล่อ” มันเป็นการตกเบ็ด พระธัมมชโยเองก็โลภ อยากได้ทรัพย์ของผู้คน เพื่อมาทำให้วัดและลัทธิของตัวเองขยายไป จึงล่อผู้คนด้วยความโลภ สาธุชนก็ฮุบเหยื่อด้วยความโลภ อยากจะได้บุญ ต่างคนจึงดำเนินไปบนเส้นทางแห่งความโลภไม่สิ้นสุด

สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นมากขึ้นๆ แต่ว่าผู้คนจะหลงใหลมากขึ้นๆ เพราะที่นี่ใช้วิชาเศรษฐศาสตร์การตลาดเข้ามา ทำให้เกิดการพัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยฮอร์โมนที่ผิดปกติ และส่งผลให้กลายเป็นมะเร็งร้ายก้อนใหญ่ในสังคม ซึ่งผมมั่นใจมาตลอดว่าสักวันมะเร็งร้ายก้อนนี้จะเปิดเผยตัวเอง และได้แต่หวังว่าจะปรากฏให้คนได้เห็นเร็วๆ เพื่อไม่ให้พระพุทธศาสนาจะได้ไม่ต้องถูกทำลายไปมากกว่านี้

[คลังภาพ]
ที่ทำให้มหามวลชนหลงในวัดพระธรรมกาย เกิดจากวิธีการเหล่านี้ของเขา ยกตัวอย่าง คุณยายคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ไร้การศึกษา แต่ปรารถนาดีอยากทำบุญ อยากมุ่งสู่นิพพาน เมื่อพระธัมมชโยเห็นช่องโหว่ตรงนี้ จึงใช้มันมาล่อให้ผู้คนเข้ามา โดยนำเอาทางลัดสู่นิพพานมาเป็นจุดดึงดูดคน

เขาสอนด้วยวิธีการปล่อยให้ผู้คนไหลตามทางของกิเลสซึ่งไหลเชี่ยวเหมือนสายธาร ด้วยวิธีแบบนี้นี่แหละที่ทำให้คนเข้ามากันเยอะแยะไปหยุดหย่อน กระทั่งหลงเข้ามาบริจาคและหลงอยู่ในมธุรสจนออกไปไหนไม่รอด ถ้าให้พูดโดยสรุปเป็นบทกลอนที่ผมแต่งขึ้น

“ยายไร้การศึกษา มุอาสาอย่างอ่อนหัด ธัมชัยคิดทางลัด กลับคิดตัดไหลตามธาร สาวกต่างดีใจ ว่านี่ไงทางลัดผ่าน มวลชนชื่นสำราญ พรเลิศหวาน ซาบซ่านทรวง”



อย่าหลงกล “พุทธเทียม-ลัทธินอกศาสนา”

[คลังภาพ]
จากการเฝ้าสังเกตและวิเคราะห์พฤติกรรมธรรมกายออกมา

เรื่องอะไรที่น่าเป็นห่วง และอยากให้สังคมได้รับรู้ที่สุด?

สิ่งที่ผมต้องการเน้นก็คือ วัดพระธรรมกายเชิดชู “หลวงปู่สด” และ “คุณยายจันทร์” มากกว่า “พระพุทธเจ้า” ซึ่งผมไม่ได้กล่าวอ้างด้วยอารมณ์ แต่มีหลักฐานที่มาแสดงได้

ไม่เคยมีใครสังเกตเลยว่าวิหารทองคำของคุณยาย ที่ใช้ชื่อว่า “หอฉันยายจันทร์มหารัตนอุบาสิกาขนนกยูง” หรือ “วิหารทองคำคุณยายมหารัตนอุบาสิกาขนนกยูง” ถามว่าทำไมต้องเป็น “มหารัตน” เพราะคำว่า “มหา” ย่อมใหญ่กว่าคำว่า “รัตน” ซึ่งหมายความว่า “พระรัตนตรัย” เล็กกว่า

ถามว่าพระรัตนตรัยประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ก็มีพระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ์ ซึ่งหมายความว่าพระพุทธเจ้าอยู่ในนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าเขาให้ “พระรัตนตรัย” เล็กกว่า “มหารัตนอุบาสิกาขนนกยูง” นั่นก็แสดงว่าเขาให้พระพุทธเจ้าเล็กกว่าสิ่งเหล่านี้ใช่หรือไม่ หรือจะให้เหตุผลว่าอะไรในเมื่อเขาติดป้ายโชว์เอาไว้อยู่แล้ว

มันหมายความรวมไปถึงว่า หลวงปู่สดซึ่งเป็นอาจารย์ของคุณยายมหารัตนอุบาสิกาขนนกยูง ซึ่งใหญ่กว่าพระรัตนตรัย ย่อมเป็นพระพุทธเจ้าของลัทธินี้ไปแล้ว

ไม่เชื่อลองดูตอน “ขบวนแห่ธุดงค์ธรรมชัย” ดูได้ จะเห็นว่ามีรูปหล่อทองคำของหลวงปู่สด นั่งอยู่บนประติมากรรมดอกบัว ซึ่งไม่มีใครนั่งได้นอกจากผู้เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น เป็นตัวแทนสะท้อนถึงความตื่นรู้และเบิกบาน หลวงปู่สดจึงเป็นพระพุทธเจ้าของลัทธินี้โดยการประกาศต่อชาวโลกในการแห่ขบวนธุดงค์ธรรมชัย

จุดสังเกตอีกข้อคือในพื้นที่หลายพันไร่ของวัดพระธรรมกาย แทบจะไม่มีต้นโพธิ์โผล่ขึ้นมาให้เห็นสักต้น ทั้งๆ ที่เป็นต้นที่เกิดได้ง่ายมาก แค่นกถ่ายมูลลงไปก็ขึ้นได้แล้ว แต่กลับไม่เห็นมีในนั้นสักต้น ถามว่าทำไม เป็นเพราะต้นโพธิ์คือร่มเงาในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าในการตรัสรู้ธรรม


การที่เขาไม่ยอมให้มีต้นโพธิ์อยู่ เพราะนั่นเป็นตัวแทนการตรัสรู้ของ “พระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า” เป็นพระพุทธเจ้าในอดีตที่หมดความหมายไปแล้วสำหรับเขา เพราะพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ของเขาคือ “สด จนฺทสโร” หรือถ้าจะมีต้นโพธิ์ในนั้นสักต้นหนึ่ง ก็คงเป็นต้นโพธิ์ที่ได้มาจากการเดินทางไปเอา “หน่อพระศรีมหาโพธิ์” มาจากอินเดีย แต่ทุกวันนี้ผมก็ยังหาไม่เจอนะครับว่าอยู่ไหน

หรือจะดูแค่รูปหล่อทองคำของพระพุทธเจ้าก็ได้ ภายในวัดพระธรรมกายไม่มีเลยสักรูปเดียว มีแต่ที่หล่อขึ้นมาจากไซเบอร์กลาสหรือปูนปั้น ซึ่งเป็นวัสดุถูกๆ แต่ที่เห็นเขาสร้างขึ้นมาในปริมาณมาก สร้างขึ้นมาเป็นล้านๆ องค์รอบเจดีย์ องค์ละ 15,000 - 30,000 ถือเป็นวัตถุเชิงพาณิชย์เพื่อให้คนบริจาคได้มาสลักชื่อเท่านั้นเอง แต่ถามว่ารูปหล่อที่มีมูลค่าสูงมากๆ ของพระพุทธเจ้ามีไหม ไม่มีเลย ตรงข้ามกับรูปหล่อหลวงปู่สดที่มีอยู่ 8 องค์ แต่ละองค์หนัก 1 ตัน (1,000 ก.ก.) หรือแม้แต่คุณยายจันทร์เองก็มีรูปหล่อเท่าตัวจริงอยู่ 2 รูป

แม้แต่คำพูดของพระธัมมชโยที่เคยกล่าวเองว่า ทองคำยังมีค่าน้อยไปสำหรับคุณค่าของหลวงปู่สด ถ้าหากมีอุกาบาตล่องลอยในอวกาศ เป็นโคตรเพชรมหึมา พระธัมมชโยก็จะไปล่าเอาอุกกาบาตเหล่านั้นมาแกะสลักเป็นรูปหลวงปู่สดทองคำ ถามว่าเคยคิดจะทำอย่างนี้กับพระพุทธเจ้าบ้างไหม ถามว่าข้อสงสัยเหล่านี้คือเหตุบังเอิญ หรือเป็นสิ่งที่ผมคิดมากไปเองหรือเปล่า

พระธัมมชโยชูหลวงปู่สดว่าสูงเด่นกว่าพระพุทธเจ้า โดยบอกว่าหลวงปู่สดเป็นผู้ได้รับคำสั่งจากต้นธาตุต้นธรรมให้มาเกิดบนโลกมนุษย์เพื่อปราบมาร เขาจึงเรียกว่า “พระผู้ปราบมาร” ซึ่งจริงๆ แล้ว คำว่า “ต้นธาตุต้นธรรม” ในพระพุทธเจ้าศาสนาไม่มี เขาบัญญัติขึ้นมาเอง มาจากคำว่า “The Creator of Universe (ผู้สร้างโลก)” ซึ่งจะมีแค่ในศาสนาที่เชื่อว่ามีพระเจ้าผู้สร้างโลกเท่านั้น

เทียบกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสแล้ว ท่านตรัสว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ดำรงอยู่นานแล้ว ก่อนกำเนิดของพระพุทธเจ้าองค์นี้หรือองค์อื่นๆ พระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้สร้าง แต่เป็นเพียงผู้ค้นพบสัจธรรมเหมือนนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง และได้นำสัจธรรมนั้นมาเผยแพร่ ดังนั้น สิ่งที่วัดพระธรรมกายพยายามเผยแพร่อยู่ทั้งหมดจึงเป็นสิ่งที่อยู่นอกพระพุทธศาสนาโดยสิ้นเชิง


[คลังภาพ]
วิเคราะห์ความเหมือน-ความต่างระหว่าง “พระพุทธศาสนา” กับ “ลัทธิธรรมกาย” ได้ขนาดนี้

มีฝ่ายแย้งตั้งคำถามว่ามีความรู้เพียงพอที่จะทำหน้าที่นี้แล้วหรือยัง

เคยสอบนักธรรมบ้างไหม?

มันเหมือนถามว่าคุณจบปริญญาที่ไหนมา แต่ไม่ได้ดูว่าปริญญานั้นได้มาโดยมีความรู้จริงหรือเปล่า ถามว่าคนได้ปริญญามีความรู้มากกว่าคนที่ไม่ได้เรียนแต่เป็นปราชญ์ชาวบ้านไหม ก็ไม่แน่เสมอไป อย่างผมเองเป็นผู้คงแก่เรียน ผมอ่านธรรมะมาเยอะ ศึกษามาตลอด

ตอนที่บวช ผมก็เลือกขอบวชกับท่าน “ปัญญานันภิกขุ” ซึ่งเป็นสหายทางธรรมกับท่านพุทธทาสภิกขุ ขอให้ท่านเป็นพระอุปัชญาย์ให้ ถึงแม้ผมจะบวชอยู่เพียง 38 วันก็ตาม แต่ผมก็ประพฤติเป็นพระที่ดีมาโดยตลอด และหลังจากบวชแล้วก็ศึกษาธรรมะอยู่ตลอดด้วย

เพราะฉะนั้น อย่ามาอ้างว่าต้องจบเปรียญธรรมอย่างพระวัดธรรมกาย ถึงจะวิจารณ์เขาได้ มันเหมือนตัดสินคนจากใบปริญญาเพียงอย่างเดียว ผมอ่านและศึกษาพระไตรปิฎกแล้ว จึงหยิบมาเปรียบเทียบและเขียนออกมาได้

มีคนบอกว่าผมยังอ่านบาลีไม่ได้เลย จะมาอ้างว่ารู้พระธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าได้ยังไง ผมรู้สิครับเพราะผมอ่านจากภาษาแปลได้ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แปลเอาไว้ทั้งฉบับภาษาอังกฤษและภาษาไทยแล้ว ผมอ่าน 2 ภาษานี้ แค่ไม่ได้อ่านภาษาบาลีเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น อย่ามาอ้างว่าธรรมกายมีคนรู้บาลีเยอะกว่า

ได้ข่าวว่าเคยมีโอกาสเทศน์คนในวัดธรรมกายมาแล้วด้วย

เคยสร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย?

(หัวเราะ) ประมาณ 20 ปีที่แล้ว มันเคยมีเหตุการณ์ที่เขามาประกาศให้บริจาค บอกว่าเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ถ้าธนูวิ่งออกจากแหล่งแล้ว จะไม่สามารถหวนกลับมาที่เดิมได้อีก เพราะฉะนั้น เราจะต้องติดลูกธนูไป อย่าพลาดโอกาสนี้ แม้ว่าจะไม่มีทรัพย์ ให้นำไปกู้เงินมาทำบุญ ผมก็ขึ้นเลย ลุกขึ้นมาอัดกลับไปเลย บอกไปว่าพูดแบบนี้ได้ยังไง

ผมลุกขึ้นแย่งไมค์พูดในอาคารธรรมกายสากลเลยว่า การทำบุญที่ถูกต้อง มันจะต้องทำตามกำลังที่เรามีสิ ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน การทำบุญให้ตัวเองเดือดร้อน มันเป็นการทำบาป เพราะตัวเราทำไม่ใช่คนคนเดียว ยังมีคนที่ผูกพันกับเรา ยังมีคนในครอบครัวที่จะได้รับผลกระทบไปด้วย

ถ้ามีโอกาสได้แย่งไมค์พูดให้คนในนั้นฟังอีก อยากจะสื่อสารเรื่องอะไรมากที่สุด
อยากจะพูดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่อง “กาลามสูตร” ที่สอนว่า “ให้ใช้ปัญญานำ อย่าใช้ศรัทธานำ” แม้แต่พระพุทธเจ้าเองสอนก็อย่าเชื่อ ให้พิจารณาไตร่ตรองดูก่อนว่าเป็นประโยชน์หรือไม่ ถ้าเป็นประโยชน์ค่อยไปเชื่อ อย่าเชื่อโดยทันที แต่ท่านธัมมชโยสอนว่า “ไหนพูดสิจ๊ะ ว่าอะไรก็ว่าตามกัน” (ทำเสียงอ่อนหวานเลียนแบบ) ลูกศิษย์ก็จะพูดตามว่า “ว่าอะไรก็ว่าตามกัน”

ไอ้ที่ให้ว่าอะไรก็ว่าตามกันแบบนั้นแหละครับ ที่เรียกว่าใช้ศรัทธานำ พอใช้ศรัทธานำเมื่อไหร่ ปัญญาก็จะมืดบอดทันที ต่างจากที่พระพุทธเจ้าสอนว่าให้ใช้ปัญญานำ ให้ฟัง คิด วิเคราะห์ แล้วคัดกรองสิ่งที่ถูกต้องก่อนเสมอ หรือแม้แต่ที่ผมกำลังพูดก็อย่าเพิ่งเชื่อ แค่ให้ลองใช้หลักกาลามสูตร พิจารณาเนื้อหาว่ามันเป็นคุณไหม ถูกต้องไหม มีเหตุผลไหม จากนั้นคุณค่อยเชื่อ

ผมเป็นคนไม่เคยเชื่ออะไรง่ายๆ ถ้าย้อนกลับไปตอนที่ยังมีร้านขายของที่ระลึกอยู่ มีครั้งหนึ่งพระเดินมาเรี่ยไรเงินที่บ้าน ภรรยาของผมกำลังจะบริจาค แต่ผมห้ามเอาไว้ก่อน บอกขอดูใบสุทธิหน่อย ขอดูใบอนุญาตเรี่ยไรด้วย เขาก็ไม่มี ผมไล่ออกจากร้านเลย แทบจะไล่เตะพระด้วยซ้ำไป ส่วนภรรยาผมตัวสั่น กลัวบาปนรกอเวจีจะกินหัว ผมก็บอกเลยว่าไม่บาป เตะพระปลอมนี่แหละคือบุญกุศล (หัวเราะ)

เพราะอย่างนี้ใช่ไหม จึงมีคนลือว่าคุณเพี้ยน หรือไม่ก็มีอาการทางจิต?
(ยิ้มรับ) ลองเชิญจิตแพทย์ที่เป็นกลางจริงๆ จากที่ไหนก็ได้ มาตรวจสุขภาพจิตผมดูแล้วกันครับ หรือที่ถูกมองแบบนั้นอาจจะเพราะมีวีรกรรมมาเยอะ อย่างวันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมาที่ออกมาแสดงตัวชูป้าย แล้วก็ที่ผมเคยจะเข้าประชิดตัวพระธัมมชโยครั้งหนึ่งด้วย ผมเคยเดินแฝงตัวไปเข้าแถวกับกลุ่มที่บริจาคเป็นพิเศษ เพื่อจะได้ใกล้ชิด ได้บริจาคให้ถึงมือพระธัมมชโยเอง กะว่าพอประชิดตัวปุ๊บ จะเดินเข้าไปจิ้มหน้าผากแรงๆ สักที แต่ก็ไม่ได้ทำ เพราะภรรยาเห็นและไหวตัวทัน เลยเตือนให้ รปภ.จับผมเอาไว้เสียก่อน

อยากจะจิ้มหน้าผากพระธัมมชโยไปเพื่ออะไร?
ผมอยากจะจิ้มหน้าผากให้เขาได้ตื่นจากภวังค์ อยากให้เขาได้รู้ว่านโยบายเผยแพร่ที่เขาคิดว่าเป็นพุทธของเขา พุทธแอบแฝงเศรษฐศาสตร์การตลาดของเขา มันทำให้ผู้คนเดือดร้อนมากมายมหาศาลรวมทั้งผมด้วย ได้โปรดเถิด พอเถอะท่าน ผมอยากบอกแบบนี้

สรุปแล้ว อะไรคือยุทธศาสตร์ของ “ธรรมกาย” ที่วิเคราะห์ออกมาได้

จากการฝังตัวอยู่ในนั้นมา 31 ปี?

ผมวิเคราะห์ไว้ว่า “ลัทธิธัมมชโย” ใช้นโยบาย “1 ยุทธศาสตร์ 17 ขั้นยุทธวิธี” ครับ 1 ยุทธศาสตร์ที่หมายถึงคือ “พายเรือตามน้ำ” ตามใจกิเลส ส่วนอีก 17 ยุทธวิธี มันมีรายละเอียดเยอะมาก แต่พอจะสรุปคร่าวๆ ว่าเขาใช้วิธีแบบนี้เพื่อดึงให้คนหลงอยู่กับกิเลสทางธรรม ดังนี้

[หน้ังสือแฉยุทธศาสตร์ “วิชชาธรรมกายและลัทธิธัมมชโย” หนากว่า 300 หน้าที่เขียนกับมือเอง หลังเก็บข้อมูลอยู่นาน 31 ปี]

1.สร้างสรรค์คำพูดสุดแสนประทับใจ 2.สร้างความสุดแสนประทับใจในสถานที่ 3.สร้างความสุดแสนประทับใจในพิธีกรรม 4.สร้างสรรค์กิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมดีๆ ที่น่าชื่นจิตประทับใจ 5.รักษารูปแบบพิธีกรรมแบบพุทธไว้ แต่เนื้อหาคำสอนตรงข้ามกับพุทธ 6.หักล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยคำสอนของธัมมชโย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเรื่อง “ดินแดนอายตนะ” ที่ผมได้พูดไปแล้ว

7.ทำทีเป็นว่าเคารพนับถือพระพุทธเจ้า แต่ดูพฤติกรรมโดยรวมแล้วไม่ใช่ 8.ประยุกต์ใช้สรรพสื่อ สรรพวิชาการ ความรู้ทุกแขนง จากทั่วทุกมุมโลก เพื่อการแผยแพร่ลัทธิธัมมชโย 9.แบ่งการสื่อสารออกเป็น 2 แนวทาง คือการสื่อสารบนน้ำในสื่อที่เราเห็นๆ กัน กับการสื่อสารใต้น้ำ ใช้วิธีบอกข่าวสารกันแบบปากต่อปาก ให้เฉพาะคนในเท่านั้นที่รู้ 10.ปลุกศรัทธาให้สูงเด่น ดับปัญญาให้มืดบอด 11.ปลุกกิเลส 2 ตัวในจิตใจสาธุชน ออกมาปั่นให้เฟื่องฟู คือกิเลสความโลภและกิเลสความหลง

12.ปั่นให้ปลื้ม..ปลื้ม..ปลื้ม...ตลอดเวลาในบุญที่ทำลงไป โดยมีเงื่อนไขแบบ dead lock หมายความว่าถ้าคุณปลื้มในบุญ คุณจะปลื้มไปจนวันตาย จนลืมคิดว่าตัวเองถูกหลอก มารู้ตัวอีกทีก็ตอนตายไปแล้ว แต่ก็กลับมาบอกใครไม่ได้อีกต่อไป สุดท้าย สัญญาลมปากเรื่องการสะสมเสบียงบุญก็กลายเป็น “โมฆะ” ในทุกกรณี

13.ท้าพิสูจน์ด้วยการนั่งสมาธิในแนววิชชาธรรมกาย แล้วจะเห็นสิ่งที่ธัมมชโยสอนได้ด้วยตัวเอง เช่น ได้เห็นรุ้งกินน้ำ, เห็นดาวตก ฯลฯ ซึ่งจริงๆ แล้วเกิดจากภาพลวงตา จากการนั่งสมาธิไปถึงแค่ระดับ “สมถสมาธิ” ซึ่งมีไว้เพื่อทำให้จิตสงบ แล้วไม่ปฏิบัติไปให้ถึงระดับ “วิปัสสนาสมาธิ” ได้แต่นึกเอาเองในสภาวะจิตนิ่ง จึงเกิดกลายเป็นภาพลวง ไม่ใช่ภาพความจริงที่มีอยู่

14.ใช้วิธีผูกจับเอาสาธุชนมาเป็นทาสทางจิตวิญญาณ 15.ปั้นสิ่งเสพติดที่ลัทธิธัมมชโยเรียกว่า “บุญ” ออกขายแก่สาธุชน 16.ขยายตัวเป็น “อาณาจักรจักรวรรดิทางศาสนา” เขียนพระไตรปิฎกขึ้นเองมาใหม่ และ 17.เข้ายึดอำนาจรัฐด้วยบัตรเลือกตั้ง หมายถึงสงครามด้านการเมือง ซึ่งจะมี 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายที่เล่มเกมทางศาสนา กับฝ่ายที่เล่นเกมทางการเมือง

และสุดท้าย 2 สมรภูมินี้ก็คือ 1 สงครามร่วม คือการยึดอำนาจรัฐด้วยการใช้ศรัทธานำ เมื่อ 2 กลุ่มที่เขาวางรากฐานเอาไว้มาจับมือกัน เมื่อนั้นอาณาจักรธรรมกายก็จะครองประเทศหรือครองโลกไป


แล้วจะหลุดรอดออกจากวงจรนี้ได้อย่างไร?
ก็ต้องใช้อำนาจรัฐบาลในช่วงนี้แหละครับ เพราะถ้าพ้นรัฐบาล คสช.ไปแล้ว ไม่มีทางที่จะมีอำนาจที่จะจัดการเขาได้แน่นนอน

มีคนเถียงว่า ถึงไม่มีธรรมกาย
ก็ยังมี “พุทธพาณิชย์” ที่พร้อมบ่อนทำลายศาสนาอีกอยู่ดี

แบบนั้นมันก็ผิด แต่ธรรมกายผิดเป็นระดับอภิมหาอุตสาหกรรม เปรียบไปแล้ว พุทธพาณิชย์ตามวัดต่างๆ เหมือนคนทำความผิดระดับร้านค้าย่อย ผิดระดับปัสสาวะข้างทางลงคูน้ำสาธารณะ แต่สำหรับธรรมกาย ความผิดมันระดับมหึมา ระดับโรงงานปล่อยมลพิษมหาศาล จำนวน 1 ล้านลิตร/วินาที ลงแม่น้ำ

ถ้าจะวัดจากแค่เชิงคุณภาพ ก็ถือว่าทำความผิดเหมือนกัน แต่ถ้าวัดจากระดับความหนัก-เบาในการทำความผิด วัดจากผลกระทบเชิงปริมาณที่เกิดขึ้น มันต่างกันอย่างเทียบไม่ได้เลยล่ะครับ

[คลังภาพ]




สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ Lite
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: จิรโชค พันทวี




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น