"ครุฑกับนาคเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เพราะแม่ของครุฑกับนาคเป็นพี่น้องกัน" ประสาท ทองอร่าม หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ "ครูมืด" ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมไทยจากกรมศิลปากร เกริ่นขึ้นในงานเล่าขาน "ตำนานพญาครุฑ" ทำให้ใครหลายคนที่นั่งฟังอยู่ใน "พิพิธภัณฑ์ครุฑ" เกิดอาการครุ่นคิด เพราะถ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันทำไมครุฑต้องจับนาคกินด้วย
ท่ามกลางความสงสัย และอยากรู้คำตอบ "ครูมืด" ค่อยๆ เริ่มเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้น กระทั่งยาวไปจนถึงจุดแตกหักของครุฑกับนาคจนกลายเป็นศัตรูต่อกันตลอดกาล
"พระทักษะปชาบดีได้ยกสิบสามนางให้พระกัศยปเทพบิดร ซึ่งธิดาสององค์ คือนางวินตา และนางกัทรุ แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน โดยนางกัทรุขอพรจากพระกัศยปให้มีบุตรเป็นนาคหนึ่งพันตัว ส่วนนางวินตาขอพรให้มีบุตรเพียงสององค์ แต่ให้มีฤทธิ์อำนาจมากกว่าบุตรของนางกัทรุ นางกัทรุคลอดลูกออกมาเป็นไข่หนึ่งพันฟอง เมื่อเวลาผ่านไปห้าร้อยปีกก็บังเกิดเป็นนาคหนึ่งพันตัว ส่วนนางวินตา คลอดลูกเป็นไข่สองฟอง หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนานไข่ก็ยังไม่ฟักเป็นตัว นางวินตาจึงทุบไข่ใบแรก ปรากฏเป็นเทพมีเพียงครึ่งองค์ ไม่มีท่อนล่าง เนื่องจากเกิดก่อนกำหนดนามว่า อรุณเทพบุตร
พระอรุณโกรธนางวินตาที่ทำให้ตนพิการ จึงสาปให้ต้องไปเป็นทาสนางกัทรุเป็นเวลาห้าร้อยปี แต่ก็บรรเทาคำสาปว่า หากนางวินตาสามารถทนรอไปอีกห้าร้อยปีจนไข่อีกฟองหนึ่งฟักเป็นตัว บุตรในไข่ใบที่สองจะช่วยนางให้พ้นคำสาป
ต่อมานางวินตา และนางกัทรุแข่งพนันทายสีม้าเทียมรถทรงของพระอาทิตย์ โดยมีข้อแม้ว่าหากผู้ใดแพ้ต้องยอมเป็นทาสของอีกฝ่ายหนึ่ง นางกัทรุใช้อุบายให้นาคผู้เป็นลูกเข้าไปแทรกอยู่ในรถขนม้า เพื่อให้สีเปลี่ยนไป นางวินตาจึงแพ้พนัน กลายเป็นทาสของนางกัทรุ
หลังจากนั้นอีกห้าร้อยปี ไข่ใบที่สองก็แตกออกมาเป็นบุตรผู้มีกำลังมหาศาล มีรัศมีทองสว่างไสวกว่าพระอาทิตย์นับร้อยเท่า มีศีรษะ จงอยปาก และปีกเหมือนนกอินทรี แต่ร่างกาย และแขนขาเหมือนมนุษย์มีนามว่า "เวนไตย" (แปลว่า เกิดจากนางวินตา)
เมื่อพญาเวนไตยเติบโตขึ้น ทราบว่ามารดาตนต้องเป็นทาสของกัทรุเพราะแพ้อุบาย จึงขอไถ่ตัวนางวินตาจากเหล่านาค พวกนาคก็ยินยอม โดยมีข้อแม้ว่า พญาเวนไตยต้องไปเอาน้ำอมฤตที่พระอินทร์เก็บรักษาไว้บนสวรรค์มาให้พวกตน
พญาเวนไตยตกลง โดยก่อนออกเดินทางได้ขอพรจากมารดา ซึ่งนางวินตาบอกว่า ระหว่างทางหากหิว ให้กินเฉพาะคนป่าเถื่อน (นิษาท) และห้ามทำอันตรายพวกพราหมณ์โดยเด็ดขาด พญาเวนไตยก็รับคำมารดา ระหว่างทางเมื่อเกิดความหิวก็จับพวกนิษาทกินเป็นอาหารแต่ก็ไม่อิ่ม จึงไปจับเต่า (วิภาวสุ) และช้าง (สุประตึกะ) ซึ่งเดิมเป็นอสูรพี่น้อง แต่เกิดความโลภแย่งสมบัติกัน ซึ่งต่างฝ่ายต่างสาปให้กลายเป็นเต่า และช้างที่มีขนาดใหญ่โตมาก
พญาเวนไตยเอาปากคาบสัตว์ทั้งคู่บินไปเกาะกิ่งไทรที่มีความยาวถึงหนึ่งร้อยโยชน์ แต่กิ่งไทรทานน้ำหนักไม่ไหว หักลงมา พญาเวนไตยแลเห็นว่าบนกิ่งไทรมีพวกฤาษีแคระซึ่งเรียกว่า "พาลขิยะ" มีขนาดเท่านิ้วมือ จึงเอาเท้าจับกิ่งไทรบินพาไปวางไว้ที่เขาเหมกูฏ
พวกฤๅษีเห็นว่า พญานกตนนี้มีจิตใจงดงาม จึงให้ชื่อว่า "ครุฑ" แปลว่าผู้รับภาระอันหนัก ทั้งยังให้พรว่า ไม่ว่าจะทำสิ่งใดให้สำเร็จตามประสงค์ และให้มีพละกำลังมหาศาล ไม่มีผู้ใดต้านทานได้ จากนั้น พญาครุฑก็บินไปยังเทวโลก แต่เจอผู้รักษานำน้ำอมฤต นั่นก็คือ พระอินทร์จึงการเกิดสู้รบกัน แม้จะถูกสายฟ้าของพระอินทร์ฟาดได้แต่เพียงทำให้ขนของครุฑหลุดร่วงลงมาเพียงเส้นหนึ่งเท่านั้น
เรื่องนี้พระนารายณ์ทราบดีว่า พญาครุฑไม่ได้เอาน้ำอมฤตมากินเอง แต่ต้องการจะไถ่ความเป็นทาสให้แก่ผู้เป็นแม่ จึงมอบน้ำอมฤต พร้อมกับให้พรแห่งความเป็นอมตะแม้ตัวพญาครุฑจะไม่ได้ดื่มกินก็ตาม พญาครุฑจึงให้สัจจะแก่พระรายณ์ว่า เรายอมเป็นพาหนะให้ทานให้ขับขี่เดินทางเวลาเสด็จไปยังที่ต่างๆ
ด้วยเหตุนี้ ครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" ซึ่งหมายถึง "ขนวิเศษ" และนั่นจึงเป็นที่มาของคำถามที่ว่า ทำไมพระนารายณ์ทรงสุบรรณ
เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อมอบน้ำอมฤตไปให้พญานาคแล้ว พระนารายณ์ทรงเน้นย้ำให้รีบฉวยนำกลับมา อย่าให้พวกพญานาคได้ เพราะถ้าได้ดื่มกินแล้วจะยิ่งเหิมเกริม ไม่เกรงกลัวใคร ดังนั้น เมื่อพญานาคไถ่ความเป็นทาสให้แม่ได้แล้ว พระอินทร์จึงขโมยกลับไป พวกพญานาครู้ว่าไม่มีน้ำอมฤตแล้ว มีแต่หยดน้ำค้างตามหญ้าคาจึงใช้ลิ้นเลียกระทัั่งถูกบาดเป็นลิ้นสองแฉก ทำให้ครุฑกับนาคจึงกลายเป็นศัตรูต่อกันตลอดกาล"
ทั้งนี้ ตำนานดังกล่าว "ครูมืด" เผยให้ฟังด้วยว่า ครุฑยังมีความเกี่ยวข้องกับคนไทยอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะการถือว่าครุฑเป็นสัญลักษณ์สำคัญเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของไทยก็มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยว่าไทยเราได้รับลัทธิเทวราชของอินเดียที่ถือว่าพระมหากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์
ดังนั้น ครุฑซึ่งเป็นผู้มีฤทธิ์มากและเป็นพาหนะของพระนารายณ์จึงนำมาใช้เป็นตราแผ่นดินเรียกว่า "ตราพระครุฑพ่าห์" ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศสมัยอยุธยาและสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ส่วนในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ครุฑถูกนำมาใช้เป็นเครื่องหมายประดับบนธงเรียกว่า "ธงมหาราช" ซึ่งจะถูกชักขึ้น ณ ที่ที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับ
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ใช้ตราอาร์มแทนตราแผ่นดินในระยะหนึ่ง ต่อมาทรงดำริว่าตราอาร์มมีความเป็นตะวันตกมากเกินไป จึงโปรดเกล้าให้เปลี่ยนมาใช้พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์อีกครั้งหนึ่ง และมีราชประสงค์ให้ใช้พระครุฑพ่าห์นี้เป็นตราแผ่นดินสืบไป
พระครุฑพ่าห์ยังถูกใช้เป็นตราประจำสถานที่ราชการต่างๆ ของรัฐบาลไทย ใช้พิมพ์บนหัวหนังสือเอกสารทางราชการต่างๆ และเป็นตราประทับของหนังสือที่ออกโดยกรมกองต่างๆ ทั้งนี้บริษัท หรือห้างร้านที่จดทะเบียนตามกฎหมาย เคยติดต่อกับราชสำนัก ประกอบการค้าโดยสุจริต มีความมั่งคง และน่าเชื่อถือ ก็อาจได้รับพระบรมราชานุญาตตราตั้ง หรือตราครุฑพระราชทานประดับไว้ที่ห้างร้านของตนตามแต่จะทรงพระกรุณาเห็นสมควร
หากใครอยากตามรอยพญาครุฑ และพญานาค ระยะทางเพียง 30 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯ ก็จะถึงนิคมอุตสาหกรรรมบางปู จ.สมุทรปราการ อันเป็นทีตั้งของศูนย์ฝึกอบรมธนาคารธนชาต และ "พิพิธภัณฑ์ครุฑ" ซึ่งนับเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกและแห่งเดียวในโลก จัดสร้างขึ้นจากแนวความคิดของผู้บริหารธนาคารธนชาตที่ต้องการส่งผ่านความเคารพและความรู้ในองค์ครุฑที่มีความสำคัญปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งพระเจ้าแผ่นดิน และตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อ ความศรัทธาของคนไทยที่มีต่อองค์ครุฑ
ปัจจุบันได้รวบรวมองค์ครุฑจากสาขาของธนาคารนครหลวงไทยทั่วประเทศ ซึ่งพบองค์ครุฑเก่าแก่ที่แกะสลักจากไม้สักทั้งสิ้น 40 องค์ องค์แรกคือองค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่สาขาราชดำเนิน เป็นองค์ที่แกะสลักจากไม้สักอายุเก่าแก่ ซึ่งยังมีสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ในปัจจุบันองค์ครุฑจะทำจากไฟเบอร์ ซึ่งมีทั้งเก่าและใหม่ผสมกัน และมีด้วยกันหลากหลายแบบ สะท้อนถึงศิลปะตามพื้นที่ อย่างเช่นองค์ที่เยาวราชก็จะมีหน้าตาที่แสดงถึงความเป็นจีน
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754