หากจะมีสิ่งใดตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณอันแสนยิ่งใหญ่ของ “องค์พ่อหลวงรัชกาลที่ ๙” ได้ ลูกๆ ทั้งแผ่นดินย่อมพร้อมน้อมนำทำตาม แม้ไม่อาจเทียบได้กับที่พระองค์ทรงยืนหยัดแผ่กิ่งก้านแห่งความเมตตา แผ่พระบารมีเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร มอบความร่มเย็นให้แก่แผ่นดินสยามตลอดมา
แต่เหล่าก้อนดินใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททุกอณูจากผืนดินนี้ ก็จะขอน้อมเกล้าฯ น้อมใจถวายพระราชสมัญญานาม “มหาราช” ต่อท้ายพระนาม เพื่อสดุดีและถวายพระเกียรติให้กึกก้องกังวานไกล ให้คู่ควรความยิ่งใหญ่ของมหาบุรุษ-มหากษัตริย์ไทย “ในหลวงภูมิพลมหาราช”
เตรียมถวายพระสมัญญา “มหาราช” อย่างเป็นทางการ
ไม่ใช่ว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์จะได้รับการถวายพระสมัญญา “มหาราช” เข้าต่อท้ายพระนาม แต่ความยิ่งใหญ่จากถ้อยคำสรรเสริญพระเกียรติคำนี้ มีที่มาจาก “มติมหาชน” ที่ขอน้อมเกล้าฯ แสดงความรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ หลังได้รับน้ำพระราชหฤทัยจากพระองค์ ช่วยหลั่งรดผืนแผ่นดินไทยให้ร่มเย็นภายใต้การทรงงานหนักตลอดลมหายใจเข้าออก เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรไทยทุกหมู่เหล่าซึ่งองค์พ่อหลวงรักยิ่งชีวิตของพระองค์เอง
ตลอดชีวิตแห่งการพลิกฟื้น “ผืนแผ่นดินไทย” ให้กลายเป็น “ผืนแผ่นดินทอง” ทั้งหมด 70 ปี พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่า ทุกที่ที่มีรอยพระบาทพระองค์ทรงย่ำลงไป ไม่มีพื้นที่ใดเลยไม่งอกเงยพัฒนา ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปแก้ไขปัญหาให้ทวยราษฎร์ กลับกลายมาเป็นภาพที่ส่งให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่าต่างชินตาและรู้สึกอิ่มเอมหัวใจไปพร้อมๆ กัน จนเกิดกลายเป็นคำกล่าวสะท้อนความทุ่มเทอย่างสุดพระปรีชาสามารถของพระองค์ว่า พระมหากษัตริย์พระองค์นี้... “เมื่อพระบาทยาตรา ปวงประชาเป็นสุข”
เมื่อถึงวันที่พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย พระเกียรติของพระองค์ยิ่งถูกประกาศก้องกังวานไกลไปในทุกแห่งทั่วมุมโลก ด้วยพระราชกรณียกิจที่ทรงเคยทุ่มเทแรงพระวรกายและแรงพระราชหฤทัยอันเข้มแข็งฝากไว้ จึงถึงเวลาที่ถ้อยคำสรรเสริญพระเกียรติของพระองค์จะถูกประดับลงตรงท้ายพระนามเสียที
ดังที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้กล่าวเอาไว้ครั้งล่าสุดว่า แผ่นดินนี้จะต้องถวายพระสมัญญานาม “มหาราช” ให้สมพระเกียรติพระองค์ท่านอย่างแน่นอน เพียงแต่ต้องรอช่วงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้นเอง เนื่องจากต้องทำควบคู่ไปกับการสร้างพระราชานุสาวรีย์ ให้สมพระเกียรติพระองค์ภายใต้พระนาม “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช” หรือ “พระภูมิพลมหาราช” ที่จะใช้เรียกขานอย่างเป็นทางการในอนาคต
“รัฐบาลต้องเป็นคนอนุมัติ ต้องทำเรื่องขอไปทางสำนักพระราชวัง ทั้งการสร้างพระราชานุสาวรีย์ ทั้งเรื่องการจะถวายหรือจัดตั้ง “มหาราช” มันเป็นเรื่องที่ทางรัฐบาลคิดมาตลอดอยู่แล้วครับ แต่คงต้องรอให้พระราชพิธีเสร็จสิ้น ให้เป็นไปตามประเพณี และให้ถึงเวลาที่เหมาะสมเสียก่อน”
นอกจากนี้ ผู้นำรัฐบาลยังได้เปิดใจเพิ่มเติมต่อสื่อมวลชนอีกว่า ตั้งแต่เด็กจนโตนั้น ตนมีองค์พ่อหลวงเป็นบุคคลต้นแบบ เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นจอมทัพไทย ทำให้อยากเป็นทหารของกองทัพบก ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสถวายงานพระองค์ท่าน รู้สึกประทับใจในทุกเรื่องที่ทรงทำมาตลอดพระชนมชีพ และจะพยายามทำตามแนวทางที่พระองค์ให้ไว้ให้ได้มากที่สุด
“มหาราช” เพียงหนึ่งเดียวในระบอบประชาธิปไตย!!
เมื่อลองย้อนรอยอดีตกลับไป จะพบว่าแท้จริงแล้วพสกนิกรในแผ่นดินนี้ได้เคยมีมติ เห็นพ้องต้องกันตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 แล้วว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” ควรคู่แก่คำว่า “มหาราช” ตามคุณสมบัติการเป็น “อัจฉริยบุรุษ” กษัตริย์ผู้กอบกู้ผืนแผ่นดินไทยจากความทุกข์ยากแสนสาหัสในหลากหลายมิติ แต่เมื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาในครั้งแรกนั้น พระองค์กลับมีพระราชกระแสรับสั่งว่า ยังไม่ต้องพระราชประสงค์ ด้วยทรงไม่แน่พระทัยว่าพระองค์มีคุณสมบัติถึงพร้อมแล้วจริงหรือ
บทสรุปของถ้อยคำต่อท้ายพระนามด้วยคำว่า “มหาราช” เพื่อสรรเสริญพระปรีชาสามารถของพระองค์ จึงต้องขอระงับไปก่อน โดยทรงมีการตั้งข้อสงสัยเอาไว้ 2 ประการหลักๆ คือ ประการแรก พระองค์ทรงอาวุโสควรคู่แก่การดำรงตำแหน่งมหาราชแล้วหรือไม่ และประการที่สอง ปวงชนชาวไทยจงรักภักดีต่อพระองค์มากเพียงใด
ภายหลังทรงมีพระราชดำริออกมาในครั้งนั้น การน้อมเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญานามเพื่อสรรเสริญพระเกียรติจึงถูกเลื่อนออกไป รอให้พระองค์ถึงพร้อมในคุณสมบัติทั้งสองประการอย่างไร้ข้อสงสัยในพระราชหฤทัยเสียก่อน
กระทั่งในวันที่ 5 ธ.ค.2530 พสกนิกรพร้อมใจกันเดินทางมาถวายพระพรในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ส่งเสียงแซ่ซ้อง “ทรงพระเจริญ” ก้องกังวานไกลที่มณฑลท้องสนามหลวง พร้อมด้วยคนไทยทุกภาคทั่วประเทศที่ออกมาจุดเทียนชัยถวายพระพร ด้วยหัวใจจงรักภักดีนับล้านดวง
ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่มีการถวายใพระราชสมัญญานาม “มหาราช” แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นครั้งแรก เนื่องในมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ ผ่านถ้อยคำถวายอาศิรวาทราชสดุดีและถวายชัยมงคล จาก ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ในฐานะตัวแทนปวงชนชาวไทยทั้งชาติ ด้วยคำกล่าวนี้ซึ่งได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้า ตั้งแต่เมื่อครั้งจัดงานสโมสรสันนิบาตวันฉัตรมงคล 5 พ.ค. 2530
“....ในอภิลักขิตมหามงคลสมัยแห่งวันฉัตรมงคล ในรอบปีที่ 37 ในวันนี้ บรรดาอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงและรัฐบาล สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาที่สุดมิได้ จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ประกาศความสมานฉันท์พร้อมเพรียงกันเฉลิมพระเกียรติ และถวายพระราชสมัญญาเป็น “มหาราช” ด้วยความจงรักภักดีมีในปวงข้าพระพุทธเจ้า
ขอน้อมเกล้าฯ ตั้งสัตยาธิษฐาน เดชะคุณพระศรีรัตนตรัย เป็นประธาน พร้อมด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โปรดอภิบาลพระบรมราชจักรีวงศ์ให้สถิตธำรงอยู่คู่ดินฟ้า และโปรดประทานชัยมงคลแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
ขอจงทรงพระเจริญสิริสวัสดิ์ในไอศูรย์ราชสมบัติแห่งสยามรัฐสีมา ขอพระมหาราชเจ้าเผยแผ่พระบรมกฤษฎาเดชานุภาพ คุ้มเกล้าคุ้มกระหม่อมเหล่าพสกนิกรตลอดในจิรัฐิติกาล เทอญ”
ถือได้ว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช” คือ “มหาราช” องค์ที่ 7 แห่งแผ่นดินสยาม ถัดจากทั้ง 6 พระองค์ก่อนหน้า คือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช, สมเด็จพระนเรศวรมหาราช, สมเด็จพระนารายณ์มหาราช, สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยะมหาราช
นอกจากนี้ องค์มหาราชรัชกาลที่ ๙ ยังเป็นพระมหากษัตริย์เพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับการน้อมเกล้าฯ ถวายพระสมัญญา ภายใต้การปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง ดังเช่นบทความตอนหนึ่งจาก “โรม บุนนาค” คอลัมนิสต์ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ซึ่งวิเคราะห์ประเด็นนี้เอาไว้ได้อย่างน่าสนใจและชัดเจน
“มหาราชทั้งหมดของโลกก่อนหน้านี้ ทรงปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตย มีพระราชอำนาจโดยเด็ดขาด ส่วนใหญ่ทรงพระบรมเดชานุภาพด้วยกองทัพ แต่เมื่อโลกยุคใหม่หันมานิยมการปกครองระบอบประชาธิปไตย แม้หลายประเทศยังคงรักษาสถาบันกษัตริย์ไว้ในตำแหน่งประมุขของประเทศ แต่ก็ถูกลดพระราชอำนาจลงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ไม่สามารถใช้พระราชอำนาจทางการปกครองด้วยพระองค์เอง
รัฐธรรมนูญกำหนดให้ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติผ่านทางรัฐสภา ใช้อำนาจบริหารผ่านทางคณะรัฐมนตรี และใช้อำนาจตุลาการผ่านทางศาล พระมหากษัตริย์จึงทรงอยู่เหนือการเมือง มีหน้าที่เพียงให้คำปรึกษา ถ้าผู้ใช้อำนาจทั้ง 3 นั้นต้องการคำปรึกษา... พระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ จึงเป็นเพียงสัญลักษณ์สูงสุดของประเทศเท่านั้น “มหาราช” ในระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นสิ่งยากยิ่งที่จะบังเกิดขึ้นได้”
แต่ถึงแม้จะยากเย็นสักเพียงใด มหาราชภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งผืนแผ่นดินไทยก็ได้บังเกิดขึ้นแล้วในรัชสมัยของพระองค์ จึงส่งให้มี “องค์มหาราช” ผู้ทรงเปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณมอบให้แก่ปวงชนชาวไทย...
...“องค์มหาราช” ผู้ทรงไม่เคยนึกถึงความสุขสบายส่วนพระองค์เป็นที่ตั้ง...
...“องค์มหาราช” ผู้ทรงคิดถึงเพียงเรื่องปากท้องของลูกๆ เป็นสำคัญ แล้วหยิบมาเป็นพลังแห่งการสร้างสรรค์...
...“องค์มหาราช” ผู้ทรงโอบอุ้มคุ้มครองแผ่นดินแห่งนี้ด้วยหัวใจทรงธรรม...
...“องค์มหาราช” ผู้ทรงทำทุกอย่างจากพระราชหฤทัยมุ่งมั่น...
...“องค์มหาราช” ผู้เป็นแรงบันดาลใจสำคัญแห่งผืนแผ่นดิน...
...“องค์มหาราช” ผู้ยิ่งใหญ่ที่จะทรงสถิตอยู่ในหัวใจพสกนิกรของพระองค์ไปตราบนานเท่านาน...
ข่าวโดย ผู้จัดการ Live
ข่าวที่เกี่ยวข้อง (คลิก)
- “มหาราช” ในโลกล้วนอยู่ในระบอบราชาธิปไตย แต่มหาราชใต้รัฐธรรมนูญมีพระองค์เดียว “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช”!!!
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754