เป็นข่าวใหญ่สะเทือนวงการศึกษาไทย พร้อมๆ กับความรู้สึกเศร้าสลดใจ เมื่อ "ครู" หลุดกรอบจรรยาบรรณกันมากขึ้น ล่าสุดกับข่าว "ครูพละปาแก้วใส่หน้าเด็กจนปากเบี้ยว" กลายเป็นข่าวที่ได้รับความสนใจสนั่นโซเชียลฯ ตามมาด้วยเสียงก่นด่าชวนตั้งคำถามถึงประเด็น "ความทุกข์" ที่เกิดจากพฤติกรรมของครูรายนี้
ทว่าเรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่จบง่ายๆ เมื่อมีคุณหมอท่านหนึ่งออกมาตั้งข้อสังเกตว่า น้องทรายแค่ป่วย ไม่ได้เกี่ยวกับครูทำร้าย ร้อนไปถึงทนายของอีกฝ่ายต้องออกมาซัดกลับด้วยข้อมูลเด็ดจนหงายเงิบ ต้องปิดเฟซบุ๊กหนี ก่อนจะโพสต์ขอโทษเพราะเข้าใจผิดหลายๆ อย่าง...
ทุกข์หนัก! เพราะคนเป็น "ครู"
ถ้าบอกว่าคนมีด้วยกันหลายแบบ "ครู" ก็มีด้วยกันหลายแบบเหมือนกัน ซึ่งเบื้องหลังในการเป็นครูนั้นมีมากมายสุดจะคาดเดา แต่ทุกวันนี้ คนในสังคมต้อง "ทุกข์เพราะครู" กันมากขึ้น หลายคนมีวุฒิการศึกษาสูงๆ แต่กลับไร้วุฒิภาวะทางอารมณ์อย่างมิน่าให้อภัย
เช่นเดียวกับกรณีนี้ที่กลายเป็นข่าวดังสะเทือนวงการครูไปทั้งประเทศ เมื่อครูพละเมืองย่าโม ปาแก้วไปโดนกกหูของเด็กนักเรียนจนปากเบี้ยว ตาซ้ายปิดไม่สนิท แม้ผลสอบสวนข้อเท็จจริงจะระบุว่า ครูรายนี้ไม่ได้มีเจตนาปาแก้วไปที่ตัวเด็ก โดยมีพยานที่เป็นเพื่อนเด็กในห้องหลายคนยืนยันว่า แก้วน้ำไปโดนผนังหน้าต่างแล้วจะกระเด็นไปถูกหัวเด็กอีกที ส่วนบทลงโทษของครูรายนี้ ผลออกมาคือ แค่ผิดวินัยไม่ร้ายแรง ซึ่งโทษของความผิดดังกล่าวมีโทษอยู่ด้วยกัน 3 ขั้น ตั้งแต่ภาคทัณฑ์ หรือตัดเงินเดือน ไปจนถึงลดขั้นเงินเดือน
ล่าสุด มีรายงานข่าวระบุว่า ทางสำนักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 31 (สพม.31) นครราชสีมา ยังคงมีคำสั่งย้ายให้ครูรายนี้ไปช่วยราชการที่โรงเรียนบุญวัฒนา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมาต่อไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะทางต้นสังกัดต้องพิจารณาเรื่องผลกระทบจากเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดอีกครั้งถึงจะมีคำสั่งแน่ชัดว่าจะสั่งย้ายขาดครูรายนี้ไปอยู่ที่โรงเรียนอื่น หรือจะให้ย้ายกลับมาทำงานตามเดิม ส่วนกรณีที่เด็กต้องการย้ายไปเรียนโรงเรียนอื่นนั้น ทางผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 31บอกว่า เป็นสิทธิของเด็ก
ด้านญาติของผู้เสียหายได้เปิดเผยถึงกรณีผลสอบสวน โดยบอกถึงความรู้สึกแย่กับผลที่ออกมา ซึ่งเรื่องนี้ทำให้คุณแม่ของน้องทรายเครียดจนความดันขึ้น ก่อนจะเผยต่อไปด้วยความหวัง และความเชื่อว่า สังคมนี้ยังมีความยุติธรรม และจะขอดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่จบง่ายๆ เมื่อมีผู้ใช้โซเชียลฯ รายหนึ่งออกมาแฉว่า เพราะอีกฝ่ายยืนเล่นโทรศัพท์มือถือจึงทำให้ครูที่ได้ชื่อว่า "เจ้าระเบียบ" รายนี้ปาแก้วใส่แบบไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะแฉด้วยว่าครูให้เงิน 8 หมื่นไปรักษา แต่เจ้าตัวไม่ไปรักษาเอง โดยทันทีที่มีข่าวนี้ออกมา ส่วนใหญ่ยังคงไม่ปักใจเชื่อ พร้อมกับชวนให้คิดว่า การตักเตือนเด็กด้วยการปาแก้วของครูรายนี้เป็นพฤติกรรมที่ควรทำหรือไม่
ด้านโรงเรียนชี้แจงผ่านสื่อว่า พยายามเจรจากับผู้ปกครองของเด็กนักเรียนตลอด พร้อมเสนอค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนเงิน 1 แสนบาท แต่ผู้ปกครองของเด็กไม่ยินยอม และต้องการเรียกร้องเป็นจำนวนเงิน 3 แสนบาท จึงทำให้ยังไม่สามารถตกลงเรื่องค่าเสียหายกันได้
ทุกข์ซ้ำ! เพราะคนเป็น "หมอ"
ต่อประเด็นเดียวกัน นอกจาก "ทุกข์เพราะครู" แล้ว ยัง "ทุกข์เพราะหมอ" ด้วย เมื่อมีคุณหมอท่านหนึ่งออกมาให้ความเห็นต่อกรณี "น้องทราย" โดยตั้งข้อสังเกตว่าเกิดจากโรค Bell's Palsy (โรคใบหน้าเบี้ยวหรือใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก) ไม่ใช่จากการถูกกระแทกด้วยของแข็งแต่อย่างใด จนสุดท้ายต้องปิดเฟซบุ๊กหนี ก่อนจะโร่ออกมาโพสต์ขอโทษโดยยอมรับว่า ที่โพสต์ไปแบบนั้นเพราะอารมณ์ และอคติส่วนตัว
"เคสน้องทราย ผมพลาดเยอะจริงๆ ครับ ได้ข้อมูลมาเพิ่มหลายอย่าง สรุปว่าเป็นความเข้าใจผิดหลายๆ อย่าง และตัวผมก็เข้าใจผิดด้วยจริงๆ หลังๆ ใส่อารมณ์ความต้องการส่วนตัวไปเยอะจนมีอคติ จริงๆ ขอโทษทุกคนด้วยนะครับ ส่วนน้องเกิดจากครูขว้างไหม ตามประวัติคุณหมอทุกๆ ท่านเชื่อแบบนั้น แต่ตรวจร่างกายก็ไม่พบการช้ำบวมจริงๆ แต่ช่วงแรกน้องเป็นมากจนมีแพลนจะผ่าตัดจริงครับ น้องก็เลยต้องการค่าผ่าตัดจำนวนมาก ก็คงต้องสู้ในชั้นศาลต่อครับว่าศาลท่านจะสรุปว่าเกิดจากครูหรือไม่" ก่อนจะทิ้งท้ายว่า "รอบหน้าจะระวังกว่านี้ครับ"
ด้านทนายความชื่อดัง "เกิดผล แก้วเกิด" โพสต์ความเห็นผ่านเฟซบุ๊กในฐานะทนายที่เข้ามาช่วยเหลือน้องทรายในคดีนี้ว่า เป็นการวิจารณ์ซึ่งปราศจากข้อมูลที่แท้จริง แถมยังดูหมิ่นผู้ป่วย รวมไปถึงเกียรติวิชาชีพทางการแพทย์ของแพทย์ผู้ทำการรักษาคนไข้ด้วยความรู้ตามมาตรฐานวิชาชีพ ทั้งๆ ที่ผลตรวจจาก 3 โรงพยาบาลยืนยันตรงกันว่า อาการของน้องทราย เกิดจากการถูกกระทบของของแข็งไม่มีคมจนเส้นประสาทอักเสบ
นอกจากนี้ยังโพสต์ในเวลาต่อมาว่า "ในส่วนตัวผม เป็นเพียงทนายความของน้องทราย ผมไม่ถือว่าเรื่องนี้เป็นความไม่พอใจส่วนตัว แต่ผมต้องออกมาชี้แจงโต้แย้ง เพราะผมมีหลักฐาน หลักฐานที่สำคัญ ที่หมอเอไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น แต่อย่างไรก็ดี ตอนนี้หมอเอสำนึกผิดและขอโทษน้องแล้ว ซึ่งน้องทรายก็สบายใจแล้ว หมดหน้าที่ผม ในส่วนทวงถามความสำนึกหน้าที่ผมต่อไป คือทวงถามความยุติธรรมในศาลครับ"
ล่าสุดได้เป็นกระบอกเสียงแทนน้องทราย ด้วยการโพสต์บอกในเฟซบุ๊กว่า "น้องทรายแจ้งว่า เฟซบุ๊กเก่าถูกมือที่ไม่หวังดีแฮก และปิดไปแล้วนะครับ ตอนนี้ได้ใช้เฟซบุ๊กใหม่ (Zaii Nrd) หากหลังจากนี้ มีการใช้งานเฟซบุ๊กเดิม น้องแจ้งว่าไม่ใช่คนใช้บัญชีดังกล่าวนะครับ"
สำหรับตัวน้องทรายนั้น ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรีได้พาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลยันฮีเพื่อช่วยเหลือในการรักษาฟรี โดยแพทย์ระบุอาการเบื้องต้นว่า คนไข้ได้รับผลกระทบถึงเส้นประสาทจนใบหน้าเกิดอาการปากเบี้ยวไม่สามารถหลับตาได้สนิท ก่อนจะเตรียมส่งไปสแกนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมองเพื่อตรวจดูว่าบริเวณเส้นสมองและเส้นประสาทได้รับความกระทบกระเทือนมากน้อยแค่ไหนเพื่อนำมาประเมินด้านการรักษา
8 ลำดับความคิดที่สังคมควรจะมี
จากกรณี "ครูปาแก้วใส่เด็ก" นักจัดรายการ นักเขียน และคอลัมนิสต์การเมืองอย่าง "ปู-จิตกร บุษบา" ได้โพสต์ข้อเขียนผ่านเฟซบุ๊กไว้น่าสนใจด้วยการจัดลำดับความคิดที่คนในสังคมต้องมีต่อเรื่องนี้ไว้ 8 ข้อด้วยกัน ซึ่งพอจะนำมาสรุปทิ้งท้ายได้เป็นอย่างดี ดังนี้
1. เป็นการกระทำที่ไม่สมควรแก่ความเป็นครู ไม่ว่าจะปาโดยตรงหรือปาใส่หน้าต่าง แล้วกระดอนไปโดนหน้าเด็ก
2. ไม่ได้สำคัญว่าเป็นแก้วอะไร พลาสติก เมลามีน ฯลฯ การที่ครูควบคุมวุฒิภาวะของตัวเองไม่ได้ แล้วปาใส่เขา ถือว่าสิ้นจากความเป็นครู เหมือนพระขาดศีล ต้องสิ้นจากความเป็นพระ อย่างไรก็ตาม เราทราบความจริงจากข้อมูลแวดล้อมเท่านั้น มิได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์
3. บางคนด่วน "พิพากษา" ว่าเด็กก็นิสัยไม่ดี เล่นโทรศัพท์ ฯลฯ อย่างนั้นอย่างนี้ ในฐานะที่พอจะได้เป็นครูสอนหนังสืออยู่บ้าง ไม่ว่าเด็กจะประพฤติอย่างไรก็ตาม เราไม่มีสิทธิไปใช้กำลังหรือทำร้ายเขาเช่นนั้นเลย ในส่วนนิสัยไม่ดี หรือไม่มีมารยาท ไม่มีวินัย ไม่ใส่ใจการเรียน ก็ต้องเตือนให้เขาปรับปรุง ไม่ให้ท้าย ไม่ตามใจ ไม่ปกป้อง แต่ไม่ใช่ไปตำหนิอย่างรุนแรง แล้วถือเอาเป็นเหตุว่า "สมควรแล้วที่โดน"
4. ส่วนอาการป่วยของเด็กนั้น ให้เริ่มจากแสดงความเห็นใจ และอนุโมทนาที่มีคนเข้าไปช่วยเหลือ นำตัวมารักษา และขอให้น้องหายโดยไว กลับมาเป็นปกติอย่างที่เขาเคยเป็น
5. จากนั้นให้ไต่สวนทวนความด้วยองค์ความรู้ และด้วยความมีเหตุมีผลว่า อาการที่น้องเป็น เกิดจากสาเหตุใด เพราะอาการไปคล้ายคลึงกับโรคที่เกิดได้หลายสาเหตุ โดยรอให้แพทย์ผู้ตรวจเป็นผู้แถลง ว่ามาจากเหตุของเส้นประสาทติดเชื้อ หรือได้รับการกระทบกระแทกจากเหตุที่ครูทำ หรือจากเหตุอื่น เพราะเรื่องนี้เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องทางการแพทย์ ที่ตรวจและบ่งชี้ได้
6. หากเกิดจากเหตุที่ครูทำก็ต้องมีความผิดเพิ่มเติม ไม่ว่าจะทางอาญา หรือแพ่ง นอกเหนือจากทางวินัยข้าราชการซึ่งดูเหมือนโทษจะเบาเกินไปในความรู้สึกของคนทั่วไป
7. ไม่ต้องไปก่นด่า หรือกวนตีนกับคนที่คิดต่างกับเรา ไม่จำเป็นต้องเอา "ด้านมืด" เข้าห้ำหั่นกัน เราเพียงแสดงความเป็นมนุษย์ ที่รู้จักเห็นใจ และมีนิสัยเสาะหาความจริงมาพิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ ด้วยเหตุด้วยผลก็เพียงพอ
8. กรณีนางปวีณา หงสกุล เข้าช่วยเหลือนั้น ผมชื่นชม แต่การต้องเอาเสื้อแขนยาวสีดำ ปักชื่อมูลนิธิปวีณาให้น้องสวมใส่ตลอดเวลาที่ออกสื่อ ผมถือว่าหวังผลตอบแทนเกินควร เด็กมิใช่ป้ายหาเสียง ทำด้วยจิตใจที่ดี ที่บริสุทธิ์ ไม่หวังผลตอบแทนทางชื่อเสียง หรือหาเสียงล่วงหน้า ผู้คนจะสรรเสริญได้เต็มปากเต็มคำกว่า คุณปวีณาแก่พอที่จะระมัดระวังในการกระทำเช่นนี้ได้แล้ว เพราะถูกสังคมทักท้วงมาบ่อยครั้งแล้ว
สุดท้ายนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า "พฤติกรรมความรุนแรงของครู" สะท้อนการใช้อำนาจในทางที่ไม่เหมาะสมจนเป็นการละเมิดสิทธิเด็ก ซึ่งเป็นเรื่องที่รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการก็เคยบอกเอาไว้ แถมยังเผยด้วยว่าได้มีประชุมเรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพครูมาโดยตลอด แต่เหตุไฉน "ครู" จึงออกนอกลู่นอกทาง และหลุดกรอบจรรยาบรรณจนเป็นข่าวกันมากขึ้น หรือนี่จะเป็นแค่เพียงลมปากที่เผยผ่านสื่อเท่านั้น
...จริงหรือไม่ คงต้องถามใจ "ท่าน" ดู
ขอบคุณภาพจาก www.pavenafoundation.or.th และเฟซบุ๊ก "เกิดผล แก้วเกิด"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754