สุดจะกังขาน่าสงสัยหลังจากวัดพระธรรมกายถ่ายทอดสดให้เห็นอาการอาพาธพระธัมมชโย ว่าไม่ได้แกล้งอาพาธและไม่ได้หลบหนีออกนอกประเทศดั่งข่าวลือ แถมยังถลกผ้าห่มเปิดให้เห็นท่อนขาซ้ายตั้งแต่ปลายเท้าถึงน่อง ภาพที่ปรากฏผ่านคลิปวิดีโอคือขาสีดำคล้ำ บวมเป่ง แต่ใบหน้าผ่องใส! แจงให้เข้าไปถ่ายภาพในห้องไม่ได้เพราะเกรงจะติดเชื้อ และต้องการความเป็นส่วนตัว จนหลายคนในสังคมโซเชียลตั้งคำถาม “ขาดำราวกับเนื้อตายขนาดนี้ ทำไมไม่ไปรักษา ไม่กลัวโดนตัดขา ป่วยจริงหรือ?” หรือภาพที่เห็นจะเป็นเทคนิคการตบแต่งขาด้วยเอฟเฟกต์ มายากลลวงตา “ขาคนอื่น” เพราะทีมโปรดักชันส์ ทีมพีอาร์ พร้อมสรรพ!
ขาเน่าเข้าฉาก พร้อม Live!
เรื่องจริงหรือจัดฉากนี้เกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 22 พ.ค.2559 ที่วัดพระธรรมกาย โดยมีทัพสื่อมวลชนเดินทางมาตรวจสอบจับผิดถึงอาการอาพาธตามคำเชิญของคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย โดยมี นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ต้อนรับ โดยให้ผู้สื่อข่าวขึ้นรถพ่วงพาทัวร์รอบบริเวณวัด จากนั้นพาไปยังกุฏิของพระธัมมชโย ที่นอนรักษาอาการอาพาธอยู่ในห้องปลอดเชื้อ เพื่อยืนยันในความบริสุทธิ์ว่าอาพาธจริง และไม่ได้หลบหนีออกนอกประเทศตามที่เป็นข่าว เพื่อให้ทราบถึงเหตุผลในการไม่ไปรับทราบข้อกล่าวหาจากกรมสืบสวนคดีพิเศษ กรณีข้อหาความผิดฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงินและรับของโจรจากการรับเช็คจากนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานกรรมการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น
ครั้นเมื่อถึงหน้ากุฏิพระธัมมชโย นายองอาจ ได้ขอความร่วมมือสื่อมวลชน ไม่ให้เข้าไปในห้องปลอดเชื้อ เนื่องจากหวาดกลัวว่าแผลที่ขาจะติดเชื้อ แต่จะมีการถ่ายทอดสดออกอากาศผ่านช่อง DMC TV ให้ได้รับชม พร้อมทั้งนำจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ 2จอ มาตั้งบริเวณหน้ากุฏิ ตามติดแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ นายองอาจจึงได้ให้สื่อมวลชน 5 คน เขียนตัวเลขใส่กระดาษถ่ายเอกสารขนาดเอ 4 พร้อมหนังสือพิมพ์ ฉบับประจำวันอาทิตย์ที่ 22 พ.ค.2559 เข้าไปในห้องปลอดเชื้ออีกด้วย เพื่อป้องกันข้อครหาว่าจะเป็นการตัดต่อภาพ หรือ ร้อนตัว!
...และแล้วการถ่ายทอดสดเริ่มขึ้น!โดยใช้เวลาเพียง 5 นาที เป็นฉากที่ภายในห้องเผยให้เห็นนายองอาจ ยกกระดาษที่สื่อมวลชนเขียนข้อความลงไปเมื่อสักครู่ พร้อมกับหนังสือพิมพ์ เพื่อยืนกรานว่าถ่ายทอดสดจริง และไฮไลต์เด็ดคือภาพของพระธัมมชโยนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย โดยมีคณะแพทย์ 3 คน คอยดูแล จากนั้น 1 ในทีมแพทย์ได้เปิดผ้าห่มสีเหลืองบริเวณปลายขาซ้ายขณะที่นอนในลักษณะยกขาสูงของพระธัมมชโยออก โคลสอัปเผยให้เห็นท่อนขาตั้งแต่ปลายเท้าถึงบริเวณหน้าแข้ง มีลักษณะสีดำคล้ำทั่วทั้งขา ขณะที่ปลายเท้ามีผ้าก๊อซสีขาวแปะไว้ รวมทั้งซูมภาพออกให้เห็นหน้าอันขาวใสและร่างของพระธัมมชโยที่มีผ้าห่มสีเหลืองคลุมตัวและเท้า
ฝืนเดิน...เสี่ยงมรณภาพนะจ๊ะ!?
“ขนาดเส้นรอบวงของโคนขาซ้าย 86 เซนติเมตร โคนขาขวา 46 เซนติเมตร แสดงให้เห็นว่าซ้ายใหญ่กว่ากันเกือบ 2 เท่า” พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผอ.สำนักสื่อสารองค์กร สำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย กล่าวยืนยัน ว่าพระธัมมชโยไม่ได้แกล้งป่วย
“อาการหลอดเลือดดำอุดตันเส้นเลือด ทั้งเส้นหลักและเส้นรองที่ขาซ้ายนั้นเป็นมาก เมื่อลุกขึ้นนั่งเพียงเวลาสั้นๆ 3-4 นาที ขาก็จะบวมมากขึ้นตามลำดับและปวดมาก เพราะเมื่ออยู่ในท่านั่งหลอดเลือดดำบริเวณขาหนีบก็จะถูกกดทับเพิ่มขึ้นทำให้เลือดไหลกลับสู่หัวใจได้ยากขึ้น ต้องนอนยกขาสูงกว่าระดับหัวใจเพื่อประคับประคองอาการ”
ย้ำถ้าไม่ใช่อาพาธมากจริงๆ คงไม่มีใครไม่เดินทางออกนอกวัดเลยถึง 8 ปี มีบางท่านปล่อยข่าวว่า หลบหนีไปต่างประเทศนั้น จึงไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง เพราะถ้าฝืนเดินทางไปอย่างนั้น ก็คงมรณภาพกลางทาง ไม่มีประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น
แต่...ขาดำราวกับเนื้อตาย อันตรายถึงขั้นต้องตัดขาทิ้งขนาดนี้ แต่ทำไมศิษยานุศิษย์ผู้ศรัทธาในพระธัมมชโยจึงไม่รีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อยื้อขาอันดำคล้ำที่อดีตเคยขาวนั้นไว้ล่ะ ทว่าการเดินทางไปพบแพทย์ไม่จำเป็นต้องเดินให้ปวดขา แต่สามารถนอนไปบนรถพยบาล ที่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตครบครัน
เล่นใหญ่ลวงตา...มายากล หรือเอฟเฟกต์!?
ฟีดแบ็กส่วนใหญ่ที่ได้เห็นการถ่ายทอดสดอาการขาคล้ำของพระธัมมชโยกลับบอกว่าเป็นการ “จัดฉาก-สร้างภาพ”
“ผมนับถือพระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนี นะครับ ท่านเก่งมากในทางสร้างเรื่อง สร้างภาพ ต่าง ๆ รวมทั้งหาทีมงานโปรดักชัน ทีมพีอาร์ ทีมการตลาด ถ้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อไปเปิดบริษัทอีเวนต์ หรือสร้างหนัง คงจะแข่งกับ 20th Century Fox ของฮอลลีวูดได้ไม่ยาก”
การจับผิดของสังคมในโลกโซเชียลจึงเกิดขึ้น...หลายคนเชื่อว่าภาพที่ปรากฏ เป็นการรวมศาสตร์ศิลปะ เอฟเฟกต์เมกอัป และมายากล เข้าไว้ได้วยกัน จัดฉากให้ดูราวว่า ป่วยหนัก เป็นการโชว์แผลที่ขาให้รู้ว่ามีแผลที่ขาจริง เพราะไม่มีใครเข้าไปถึงตัวได้
เนื่องจากวิวัฒนาการเมกอัปสมัยนี้สามารถเนรมิตได้ทุกอย่าง สมจริงยิ่งกว่าของจริง ครั้นจะให้ขาเน่า หนอนไช เละ น้ำเหลืองไหล เลือดออก ก็สามารถทำได้ไม่ยาก เพื่อทำให้เรื่องราวนั้นๆ ดูสมจริงดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นการเมกอัปขาของพระธัมมชโยให้มีสีคล้ำ และบวมเป่ง ผ่านกล้องวิดีโอราวกับกำลังชมละคร หรือภาพยนตร์ นั้นจึงละม้ายคล้าย “วงการมายา” ยิ่งนัก
นั่นคือข้อสงสัยแรก ทว่า หลายคนเทน้ำหนักไปทางเทคนิค “มายากล” มากกว่า อาจจะมีการเจาะเตียงซ่อนคนอีกคนไว้ เพราะมีผ้าห่มมาคลุมปิดร่างที่ซ่อนไว้นั่นเอง
ด้านนักวิชาการของวงการนักมายากล อย่าง อ.ชาลี ประจงกิจกุล ให้ความเห็นในรายการทุบโต๊ะข่าว ทางช่องอัมรินทร์ทีวี ว่า ในมุมวิทยากลนั้นทำได้
“โดยใช้เทคนิคคน 2 คน นอนขนาบข้าง โชว์คนละส่วน คนที่ 1โชว์เฉพาะท่อนบน ตั้งแต่หัวไปถึงลำตัว ส่วนท่อนขาซ่อนไว้ใต้เตียง คนที่ 2 ด้านในโชว์ขาท่อนล่าง ส่วนหัวถึงลำตัวซ่อนอยู่ใต้เตียง โผล่เฉพาะท่อนขาขึ้นมา ซึ่งคนดูจะเห็นเป็นคนเดียว เป็นชุดของวิทยากลนี้มีแสดงมาเกือบ 100 ปี แล้ว”
อดีตศิษย์ธรรมกายยัน! จัดฉาก
แม้แต่อดีตลูกศิษย์วัดพระธรรมกายอย่าง นพ.มโน เลาหวณิช อดีตกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ยังกล่าวถึงการถ่ายทอดสดอาการป่วยของธัมมชโยนั้นคือการ “จัดฉาก”
การถ่ายทอดสดนั้นข้อดีคือ ทำให้รู้ว่าพระธัมมชโยยังอยู่ในวัด ยังไม่หนี ส่วนข้อเสียคือ เป็นการจัดฉาก ตนได้คุยกับศัลยแพทย์โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ที่จบการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งนายแพทย์ท่านนั้นระบุว่า โรคที่ปรากฏในใบรับรองแพทย์ของพระธัมมชโย ความจริงไม่ได้รักษาด้วยการไม่ให้คนไข้ไม่เดินเลย
“วิธีการรักษาคือต้องใช้ผ้าพันแผลแบบยืดได้พันตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาถึงโคนขา ต้องพยายามให้คนไข้เดินเยอะๆ เพื่อจะให้เลือดมันละลาย การบอกว่าห้ามเดินและให้นอนกับเตียงอยู่เฉยๆ ขัดกับหลักการแพทย์
นายแพทย์ทั่วไปที่มีความรู้และชำนาญทางด้านการผ่าตัดถึงกับหัวเราะ สำหรับวิธีการเขียนใบรับรองแพทย์ที่ออกมา แพทย์ที่ออกใบรับรองแพทย์ดังกล่าวถือว่าผิดกฎหมายอย่างชัดเจน เป็นการใช้สิทธิทางการแพทย์ โดยขัดกับกฎของทางราชการและขาดจรรยาบรรณทางการแพทย์ ”
หมอขำกลิ้ง! บ้าไปใหญ่ แก่แล้วยังเล่นเป็นเด็ก!
ล่าสุด เรื่องยิ่งเข้มข้นเมื่อหมอจับโกหกว่า ไม่เนียน! โดย เฟซบุ๊ก Tavatchai Kanchanarin ของ อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ ผช.ผอ.กองอุบัติเหตุและเวชกรรมฉุกเฉิน โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นเกี่ยวและตั้งข้อสังเกตว่า
เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ผู้ป่วยซึ่งหมายถึงพระธัมมชโย นอนราบไม่ได้หนุนขาซ้าย ดมหน้ากากออกซิเจน แต่ไม่ได้ต่อถังออกซิเจน รวมทั้งสายวัดความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด (Oxygen Saturation) ก็ไม่ได้ติดตั้ง อีกทั้งมอนิเตอร์อยู่ห่างไกล ส่วนแพทย์ตรวจร่างกายฟังปอดทะลุผ่านจีวรผ้าห่ม แปะสายเข้าทางหลอดเลือดดำ (IV หรือ Intra venous) ใกล้ข้อมือโดยไม่มีเครื่องควบคุมการให้สารละลายทางหลอดเลือด (Infusion Pump Control)
จากนั้นวันที่ 22 พ.ค. ฉากปรับปรุงขึ้น หนุนขาแล้ว ดมหน้ากากออกซิเจน ผ่านอุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหลของออกซิเจน (Flowmeter) ขวดทำความชื้น (Humidifier) ต่อถังออกซิเจน สายวัดความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดติดปลายนิ้วแล้ว สายตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG monitor) และถุงลมวัดความดันโลหิต (Blood Pressure Cuff) อยู่ในตะแกรง สายเข้าทางหลอดเลือดดำไม่มีแล้ว มีเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า (Defibrillator) ชุดอุปกรณ์ฉุกเฉิน (Emergency Kit) อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจ (Respirator) โต๊ะเมโยเหนือเตียง (Mayo overbed) รถทำแผล ซึ่งสงสัยว่าเพียงพอหรือไม่
นอกจากนี้ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ป่วยอาการหนักนานกว่า 2 สัปดาห์ สภาพภายในห้องควรเป็นอย่างไร กินนอนขับถ่ายเช็ดตัวกันอย่างไร แพทย์ พยาบาล นั่งเฝ้ากันตรงไหน
“ยิ่งดูวิดีโอเห็นภาพต่อเนื่องแล้ว ขำกลิ้งตั้งแต่หมอเปิดประตูมา ไหนโฆษกบอกว่า อยู่ในห้องพักฟื้นเป็นพื้นที่ปลอดเชื้อ ออกอาการร้อนตัว ให้สื่อเขียนตัวเลข ยืนถือหนังสือพิมพ์ถ่ายรูป จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว แก่จน 72 แล้ว ยังเล่นเป็นเด็กไปกับเขาด้วย
คนที่ทำงานในวงการแพทย์พยาบาลมานาน มีความรู้ประสบการณ์ด้านวิกฤต เขาไม่มองแค่เท้าคนไข้หรอก vital signs , ESI , APACHE score แสดงให้ดูด้วยซิ คุณบอกว่าอาการหนักจนไม่สามารถเดินทางมา รพ.ได้ ต้องรักษาที่วัด อันนี้มันผิดหลักการแพทย์น่ะ ไม่งั้นจะมี EMS ไว้ทำไม” อ.ธวัชชัย ตั้งข้อสังเกตจนเห็นภาพ
สุดท้าย เรื่องนี้จะอวสานลงอย่างไร หรือจะมีการพัฒนาฉากใหม่ แผลเน่าเฟะขึ้นมาอีกหรือไม่ ต้องรอชมและติดตามกันต่อไป
ข่าวโดย ผู้จัดการ Live
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754