เฟซบุ๊กแพทย์ รพ.พระมงกุฎเกล้า ชี้ “ธัมมชโย” นอนเตียงป่วยหนัก คิดว่าเนียนแต่ไปกันใหญ่ คราวแรกนอนติดเตียง ดมหน้ากาก แต่ไม่ได้ต่อถังออกซิเจน ต่อมานอนยกขา เพิ่มอุปกรณ์มากขึ้น กังขาป่วยหนัก 2 สัปดาห์ กินอยู่ยังไง ระบุ วงการแพทย์ไม่ได้ดูแค่เท้า แต่ยังมีระบบและเครื่องมืออีกมาก เล่นเป็นเด็กทั้งที่อ้างว่าอยู่ห้องปลอดเชื้อ
เฟซบุ๊ก Tavatchai Kanchanarin ของ อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ ผช.ผอ.กองอุบัติเหตุและเวชกรรมฉุกเฉิน โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการถ่ายทอดสดของคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ที่เปิดเผยถึงอาการอาพาธของพระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาส ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร ตามหมายจับของศาลอาญา ซึ่งมีการโชว์บาดแผล
อ.นพ.ธวัชชัย ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ผู้ป่วยซึ่งหมายถึง พระธัมมชโย นอนราบไม่ได้หนุนขาซ้าย ดมหน้ากากออกซิเจน แต่ไม่ได้ต่อถังออกซิเจน รวมทั้งสายวัดความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด (Oxygen Saturation) ก็ไม่ได้ติดตั้ง อีกทั้งมอนิเตอร์อยู่ห่างไกล ส่วนแพทย์ตรวจร่างกายฟังปอดทะลุผ่านจีวรผ้าห่ม แปะสายเข้าทางหลอดเลือดดำ (IV หรือ Intra venous) ใกล้ข้อมือ โดยไม่มีเครื่องควบคุมการให้สารละลายทางหลอดเลือด (Infusion Pump Control)
จากนั้นวันที่ 22 พ.ค. ฉากปรับปรุงขึ้น หนุนขาแล้ว ดมหน้ากากออกซิเจน ผ่านอุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหลของออกซิเจน (Flowmeter) ขวดทำความชื้น (Humidifier) ต่อถังออกซิเจน สายวัดความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดติดปลายนิ้วแล้ว สายตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG monitor) และถุงลมวัดความดันโลหิต (Blood Pressure Cuff) อยู่ในตะแกรง สายเข้าทางหลอดเลือดดำไม่มีแล้ว มีเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า (Defibrillator) ชุดอุปกรณ์ฉุกเฉิน (Emergency Kit) อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจ (Respirator) โต๊ะเมโยเหนือเตียง (Mayo overbed) รถทำแผล ซึ่งสงสัยว่าเพียงพอหรือไม่
นอกจากนี้ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ป่วยอาการหนักนานกว่า 2 สัปดาห์ สภาพภายในห้องควรเป็นอย่างไร กินนอนขับถ่ายเช็ดตัวกันอย่างไร แพทย์พยาบาลนั่งเฝ้ากันตรงไหน ยิ่งดูวิดีโอเห็นภาพต่อเนื่องแล้ว ยังสงสัยว่า โฆษกบอกว่า อยู่ในห้องพักฟื้นเป็นพื้นที่ปลอดเชื้อ ออกอาการร้อนตัว ให้สื่อเขียนตัวเลข ยืนถือหนังสือพิมพ์ถ่ายรูป คนที่ทำงานในวงการแพทย์พยาบาลมานาน มีความรู้ประสบการณ์ด้านวิกฤตจะไม่มองแค่เท้าคนไข้ แต่ยังรวมถึงสัญญาณชีพ (Vital Signs) ระบบการคัดกรองผู้ป่วยแบบ ESI, เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินและจัดแบ่งกลุ่มผู้ป่วยตามความรุนแรงของโรค (APACHE score) อีกทั้งกรณีที่บอกว่าอาการหนักจนไม่สามารถเดินทางมาโรงพยาบาลได้ ต้องรักษาที่วัด ถือว่าผิดหลักการแพทย์ ไม่เช่นนั้นจะมีระบบ EMS ไว้ทำไม
“ธรรมกายเปิดวัด-ถ่ายสดผ่านวงจรปิด! คิดว่าเนียน กลับยิ่งไปกันใหญ่
14 พ.ค. โชว์ภาพนิ่ง ผู้ป่วยนอนราบไม่ได้หนุนขาซ้าย ดม oxygen mask ไม่ได้ต่อถังออกซิเจน สาย oxygen sat ก็ไม่ได้ติด มอนิเตอร์วางซะไกล แพทย์ตรวจร่างกายฟังปอดทะลุผ่านจีวรผ้าห่ม แปะ IV ใกล้ข้อมือ ไม่มี infusion pump control
22 พ.ค. ฉากปรับปรุงขึ้น หนุนขาแล้ว ดม oxygen canular ผ่าน flowmeter humidifier ต่อถังออกซิเจน สาย oxygen sat ติดปลายนิ้วแล้ว สาย EKG monitor & BP cuff อยู่ในตะแกรง IV ไม่มีแล้ว มี defibrillator, emergency kit , respirator, mayo overbed รถทำแผล .... แต่เท่านี้เพียงพอแล้วหรอ?
ผู้ป่วยอาการหนัก นานกว่าสองสัปดาห์ สภาพภายในห้องควรเป็นอย่างไร กินนอนขับถ่ายเช็ดตัวกันอย่างไร แพทย์พยาบาลนั่งเฝ้ากันตรงไหน?
ยิ่งดูวิดีโอเห็นภาพต่อเนื่องแล้ว ขำกลิ้งตั้งแต่หมอเปิดประตูเดินเข้ามา ไหนโฆษกบอกว่า อยู่ในห้องพักฟื้นเป็นพื้นที่ปลอดเชื้อ
ออกอาการร้อนตัว ให้สื่อเขียนตัวเลข ยืนถือหนังสือพิมพ์ถ่ายรูป จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว แก่จน 72 แล้ว ยังเล่นเป็นเด็กไปกับเขาด้วย
คนที่ทำงานในวงการแพทย์พยาบาลมานาน มีความรู้ประสบการณ์ด้านวิกฤต เขาไม่มองแค่เท้าคนไข้หรอก vital signs, ESI, APACHE score แสดงให้ดูด้วยซิ คุณบอกว่าอาการหนักจนไม่สามารถเดินทางมา รพ. ได้ ต้องรักษาที่วัด อันนี้มันผิดหลักการแพทย์น่ะ ไม่งั้นจะมีระบบ EMS ไว้ทำไม”
วีดีโอถ่ายทอดสด