xs
xsm
sm
md
lg

รุมเรียก “วิญญาณปอ” โหนกระแส หรือ ของจริง?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


วิญญาณออกจากร่าง, เจ้ากรรมนายเวรตามมาเอาชีวิต, ต้องบวชเท่านั้นถึงจะช่วยได้ ทั้งหมดนี้คือคำทำนายของผู้ที่บอกว่าตนเองสามารถสื่อจิต นั่งกรรมฐาน มองเห็นภาพวิญญาณและเจ้ากรรมนายเวรของ “ปอ-ทฤษฎี” ได้ ทำให้เกิดคำถามตามมาว่าอะไรคือความเชื่อของทางพระพุทธศาสนา หรือบุคคลเหล่านี้พยายามโหนกระแสเพื่อดันให้ตนเองเป็นที่รู้จักกันแน่!?
 


 
 
‘รู้ได้ไงว่าเขาไม่ได้จินตนาการ’

หลังจากพระเอกหนุ่ม “ปอ-ทฤษฎี สหวงษ์” ป่วยหนักเข้าขั้นโคม่าเป็นไข้เลือดออกขั้นวิกฤตและยังไม่ฟื้นกลับมาเป็นปกติ ทำให้บรรดาหมอดูชื่อดังจากหลายๆ สำนักออกมาทำนายทายทักและเปิดตำรากันให้วุ่น เพื่อหาหนทางช่วยเหลือพระเอกหนุ่มให้หายจากอาการป่วยจากโรคไข้เลือดออกชนิดรุนแรงนี้ บ้างก็ว่าวิญาณของพระเอกหนุ่มได้ออกจากร่างไปแล้วไม่สามารถกลับเข้าร่างตัวเองได้ บ้างก็ว่าเป็นเพราะเจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติตามจองล้างจองผลาญบ้าง

ทั้งนี้ เมื่อคำทำนายดังกล่าวถูกเผยแพร่ก็เป็นที่ถกเถียงขึ้นมาทันทีว่าการรักษา “ปอ-ทฤษฎี” นั้นควรเป็นเรื่องของหมอกับคนป่วยไม่ใช่หรือ? หลากหลายคำถามตามมาหรือเป็นเพราะหมอดูและนักพยากรณ์ทั้งหลายต้องการโหนกระแสเพื่อดันตนเองให้เป็นที่รู้จัก? และอะไรคือความเชื่อทางศาสนาพุทธกันแน่?




เกี่ยวกับประเด็นนี้เองทางทีมข่าวผู้จัดการ Live จึงต่อสายตรงไปยัง “พระมหาวิชาญ สุวิชาโน” ผู้อำนวยการส่วนวางแผนและพัฒนาการอบรม สถาบันวิปัสสนาธุระ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อขอความรู้ว่าในทางศาสนาพุทธเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องวิญญาณออกจากร่างมีอยู่จริงหรือไม่? ซึ่งได้รับคำตอบมาว่าเรื่องวิญญาณที่ล่องลอยเดิมมันมีความเชื่อก่อนพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว และก็ไม่ได้มีแค่เพียงศาสนาเดียว

“การที่จะเชื่อเรื่องวิญญาณล่องลอยค่อนข้างจะเป็นพื้นฐานความเชื่อของแทบทุกศาสนา เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่าศาสนาพุทธเชื่อมั้ย พระอาจารย์ก็ตอบได้ว่าเป็นความเชื่อพื้นฐานของทุกศาสนา ศาสนามักจะมีความเห็นเช่นนี้ รวมถึงความเชื่อที่ไม่เป็นศาสนาด้วยเรียกว่าลัทธิ หมอดู เข้าทรง ในฝ่ายจิตวิญญาณก็จะเชื่ออะไรแบบนี้อยู่แล้วปกติ แต่พระพุทธศาสนายังสอนสูงขึ้นไปว่า วิญญาณจริงๆ คืออะไร”

อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้ายังได้ให้ความหมายของวิญญาณในความหมายใหม่คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่สัมผัสแล้วเห็นสิ่งต่างๆ เรียกว่า จักขุวิญญาณ เป็นต้น ในแง่นี้ เป็นวิญญาณที่เป็นวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ทุกคน เรียกว่าวิญญาณทางประสาทสัมผัส

“วิญญาณชนิดนี้ที่สามารถให้สุข ให้ทุกข์ได้ เช่น เมื่อจักขุวิญญาณมองเห็นชอบก็มีความยินดีพอใจ ถ้าไม่ชอบก็เป็นทุกข์ ซึ่งอาจจะตัดสินได้ว่าจริงหรือไม่จริง อยู่ที่คนๆ นั้น เรื่องวิญญาณที่ออกจากร่างแล้ววนเวียนไปมานี้ พุทธศาสนาไม่มี มีแต่ว่าตายแล้วเกิดเลย คือ พอมีจุติจิต (จิตขณะตาย)  ปฏิสนธิจิต (จิตขณะเกิด) ก็เกิดต่อกันเลย ไม่มีเวลาเป็นสัมภเวสี ดังที่เคยเล่ากันมาแต่อย่างใด ที่ออกจากร่างไปนั่นไป ไปนี่ก็เป็นเรื่องเล่าต่อๆ กัน




ส่วนชีวิตหลังความตายนั้นมันพยากรณ์คนอื่นไม่ได้นอกจากจะมีเครื่องมือหรือการฝึกปฏิบัติพิเศษเพื่อรู้ความเห็นนั้น ในพุทธศาสนาก็มีหลักฐานปรากฎในพระไตรปิฎกจริง เช่น การระลึกชาติ การได้ฌาณ การได้สมาบัติ แต่นั่นเป็นสิ่งเฉพาะตนมากๆ พระพุทธศาสนาไม่ได้เน้นเรื่องนี่ ใครไปถามพระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงตอบ ถ้าไม่จำเป็น เป็นอจินไตย คือไม่ควรคิด และพระองค์ก็ไม่ได้มีความประสงค์เพื่อผู้ที่ได้จะเล่าให้ใครต่อใครฟัง ถือเป็นอุตริมนุสสธรรมด้วย
 
หมายความว่าพระสงฆ์ถ้าเห็นแล้วจะไปบอกเล่าไม่ได้ เป็นความลับเฉพาะนักปฏิบัติธรรม แล้วก็ไม่ใช่ว่าพระทุกรูปจะเห็น หรือผู้ปฏิบัติทุกคนจะเห็นต้องได้เครื่องมือนั้นมาก่อน เครื่องมืออันที่จะเห็นเรียกว่าฌานสมาบัติ เช่น ทิพจักขุ เป็น ต้น การที่มีความรู้ความเห็นพิเศษที่ต้องฝึกฝนอบรมมาทั้งปัจจุบันชาติ หรือจากอดีตชาติ

ถ้าถามว่าฆาราวาสปัจจุบันมีสิทธิ์เห็นได้ไหม พระอาจารย์ก็จะตอบว่าถ้าเขามีเครื่องมือชนิดนี้หรือเปล่า ถ้ามีก็เห็นได้ รู้ได้ ไม่เหลือวิสัย ต้องดูการฝึกฝนอบรมของเขา ถามว่าเราสามารถปฏิเสธหรือว่ายอมรับได้ไหม เราต้องทำกลางๆ แล้วก็คือฟังหูไว้หู จนกว่าสิ่งเหล่านี้ประจักษ์แจ้งแก่เรา แต่ตราบใดที่เราแค่ได้ยิน ก็เชื่อ มันง่ายไปสำหรับชาวพุทธ ถามว่าพระอาจารย์เชื่อไหม ก็ไม่เหมือนกัน เพราะว่าไม่รู้ว่าคุณโยมคนนั้นเขาได้เครื่องมือแล้วจะรู้ได้ไงว่าเข้าไม่จินตนาการ




‘กรรม’ ของใครของมัน!

สำหรับกรรมในความหมายของทางศาสนาพุทธแล้วนั้นไม่เพียงแต่เป็นกรรมเก่าที่ชาวพุทธหลายๆ คนเข้าใจ แต่กรรมในที่นี้สามารถเกิดขึ้นได้ในปัจจุบัน และกรรมที่มีนั้นถือว่าเป็นของใครของมัน ต่อให้หมอดูหรือนักพยากรณ์ต่างๆ ออกมาทำนายทายทักหาวิธีช่วยเหลือเพื่อกำจัดกรรมเก่าก็ไม่สามารถทำได้ เพราะหากช่วยได้คนบนโลกนี้ก็คงไม่มีใคร ‘ตาย’

“กรรมคือการทำ เดิน นั่ง อยู่ก็เป็นกรรม ไม่ใช่มุ่งหมายกรรมเก่าอย่างเดียว ชาวพุทธเลยเข้าใจว่ากรรมหมายถึงกรรมเก่า กรรมปัจจุบันก็มี กรรมนี่ของใครของมัน เพราะฉะนั้น นักพยากรณ์ทั้งหลายแม้จะมองเห็น แม้จะรู้จะทราบก็ไม่สามารถช่วยได้ทุกคนไป ถ้าช่วยได้ก็คงไม่มีใครตายหรอก ก็ไปหาหมอดู นักพยากรณ์ให้ช่วยช่วยพ่อช่วยแม่ ช่วยคนเป็นมะเร็ง ก็ตั้งเป็นเจ้าหน้าที่คอยช่วยคนใกล้ตายให้ฟื้นไปเลย แต่มันช่วยได้น้อยทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ถ้าปอจะฟื้นมาก็ด้วยบุญของเขา หรือญาติส่งให้เขาคนอื่นเป็นตัวช่วยน้อยมาก

ถ้าสมมติว่าเห็นจริง ก็สักแค่ได้เห็นแต่ทำอะไรไม่ได้ การทำบุญทำบาปต้องเป็นของบุคคลนั้นเอง สมมติว่าเห็นจริงก็ช่วยปอไม่ได้ เพราะมันอยู่ที่กรรมของปอในปัจจุบันด้วยในอดีตด้วยว่าเขาทำมายังไง มันเป็นธรรมชาติที่กำหนดโดยกฎแห่งกรรม

สมมติเป็นเรื่องจริงเห็นเขามาบีบคอปอ หมอดูก็ไม่สามารถจะไปช่วยเขาด้วยซ้ำเพราะว่าคนนั้นเขาก็ทำกรรมของเขามา ถ้าคนไหนจะคิดไปช่วยคนอื่นแก้กรรมก็เท่ากับเขาทำตัวเป็นพระเจ้าเสียเอง พระเจ้าสร้างโลกพระพรมลิขิตใช่ไหม ถ้าผู้ใดไปลิขิตแทนคนอื่นก็เท่ากับพรมลิขิตซึ่งไม่มีใครทำได้หรอกมีแต่กฎแห่งกรรม ปอคงจะมีบุญที่ทำไว้เยอะ แฟนคลับอย่าได้กังวลกับคนทำนาย จงยึดมั่นในความจริง ในกฎแห่งกรรม แพทย์เขากำลังทำงานอย่างขมักเขม้น ให้เวลาเขา อย่าไปนอกทางลงสู่ไสยศาสตร์”




อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าไม่มีใครสามารถแก้กรรมที่เคยทำไว้ทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันได้เลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่ทำได้คือ ต้องรีบสร้างบุญ สร้างกุศล และหมั่นทำคุณงามความดีให้มากๆ เพราะความตายจะมาเยือนเมื่อไหร่เราไม่มีทางรู้ได้เลย

“สิ่งที่ทำได้คือแนะนำให้คนอื่นสร้างบุญสร้างกุศล เช่น ถ้าปอยังฟังได้อยู่ก็บอกตอนนี้นึกถึงคุณพระคุณเจ้านะ คนมีชีวิตอยู่ยังไม่ป่วยไม่ไข้ก็รีบสร้างกุศลทำความดีนะอย่างนี้ เจริญสติ สมาธิ ภาวนา ความตายมีกันทุกคนไม่ใช่แค่ปอหรอก คนเจ็บป่วยในโรงพยาบาลมีเยอะมาก เพราะฉะนั้น มันเป็นปรากฏการณ์ของชีวิตมนุษย์มีแก่ มีเจ็บ ผู้ที่รับรู้เรื่องนี้ควรจะเป็นเอากำลังใจช่วย น้อมนึกถึงตัวเองว่าตอนนี้เราได้สร้างอะไรที่เป็นคุณงามความดีอุบัติเหตุเพศภัยโรคร้าย ความตายมาถึงไม่รู้ตัวเลย”

สุดท้ายแล้วพุทธศาสนิกชนชาวไทยก็ยังคงหลงอยู่กับความเชื่องมงาย การใช้ไสยศาสตร์มากกว่าการใช้หลักของพระพุทธศาสนามาดำเนินชีวิต เพราะฉะนั้น จึงอยากให้ชาวพุทธทั้งหลายหันมาอยู่กับความเป็นจริง ใช้สติในการหาทางออก สังคมไทยจะได้เป็นสังคมแห่งสติปัญญา ไม่เป็นสังคมแห่งความเชื่องมงายเหมือนเช่นทุกวันนี้ “พระมหาวิชาญ สุวิชาโน” กล่าวทิ้งท้าย

“สังคมไทยเป็นสังคมเห็นแห่งความเชื่อ ไม่ใช่สังคมแห่งปัญญา พุทธศาสนามีอยู่ที่ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางแห่งโลกแต่ประเทศไทยก็ไม่ได้เจริญกว่าชนชาติอื่นในโลก เพราะว่าไม่ได้ใช้ปัญญาของพระพุทธศาสนามาดำเนินชีวิต ใช้แต่ความเชื่องมงาย ไสยศาสตร์เป็นสิ่งที่ประกอบตนเองว่านับถือหรือเชื่อพระพุทธศาสนา

ความจริงชาวพุทธก็ใช้ปัญญาทางพระพุทธศาสนาน้อยมากในโอกาสอย่างนี้ก็ควรจะหันมาดูว่าเราได้ใช้สติปัญญาทางพระพุทธศาสนากันดีไหม คนช่วยได้ด้วยวิธีการใดก็ช่วยไป แต่อย่างมงายนัก คนช่วยอะไรไม่ได้ก็ถือเป็นโอกาสเตือนตนในสัจธรรมชีวิต อย่างนี้จะได้ปัญญาธรรม”
 
ข่าวโดย ผู้จัดการ Live




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น