เผลอเป็นไม่ได้! “มักกะสัน” ทำเลทอง ปอดขนาดใหญ่กลางกรุงจำนวน 497 ไร่ มีวี่แววว่ากำลังจะถูกเช่าซื้อนานถึง 99 ปีเสียแล้ว เพื่อปลดหนี้ของ ร.ฟ.ท.กว่า 6 หมื่นล้านบาท! งานนี้ สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย จึงทนอยู่เฉยไม่ไหวอีกต่อไป ออกมาลั่นกลองรบอย่างเป็นทางการ ว่าจะขอต่อสู้กับกลุ่มทุนและ “ขบวนการทำลายสมบัติของชาติ” ให้ถึงที่สุด เพื่อพิทักษ์รักษาพระราชมรดกที่รัชกาลที่ 5 พระราชทานไว้ตลอดไป!!
หยุด! หากินกับสมบัติของชาติ
["มักกะสันคอมเพล็กซ์" โมเดลเดิมที่ล่มไปเมื่อ 2 ปีก่อน]
มีมติเอกฉันท์ออกมาจากกระทรวงการคลังแล้วว่า ตกลงใจให้ “กรมธนารักษ์” หน่วยงานภายใต้สังกัด เช่าที่ดินย่านมักกะสัน จำนวน 497 ไร่ เป็นระยะเวลานาน 99 ปี เพื่อปลดหนี้สะสมจำนวน 6.2 หมื่นล้านบาทของ ร.ฟ.ท. (จากหนี้รวม 1.2 แสนล้านบาท) โดยกำหนดให้เปลี่ยนพื้นที่สีเขียว ปอดกลางกรุงขนาดใหญ่ในนาม “มักกะสัน” ให้กลายเป็นอาคารเชิงพาณิชย์จำนวน 317 ไร่
เหลือจากนั้นจะแบ่งให้เป็นสวนสาธารณะจำนวน 150 ไร่ และพิพิธภัณฑ์อีก 30 ไร่ เพื่อให้สอดคล้องกับเสียงเรียกร้องจากภาคประชาชนที่เคยออกมาต่อต้าน ไม่ต้องการให้ทำลายพื้นที่สีเขียว “ปอดขนาดใหญ่ของกรุงเทพฯ” แต่ดูเหมือนว่าการวางผังในครั้งนี้ก็ยังคงไม่ตอบโจทย์คำว่า “ประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ” อยู่ดี เมื่อกลับไปเทียบในเจตนารมณ์ของรัฐกาลที่ 5 ที่พระราชทานผืนดินแห่งนี้เอาไว้ จึงเป็นเหตุให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) ทนไม่ไหว ออกแถลงการณ์เรื่อง "หยุดขบวนการนำที่ดินของการรถไฟไปจำหน่ายจ่ายแจก" โดยมีใจความดังต่อไปนี้
[แถลงการณ์จากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย]
“พ.ร.บ.การรถไฟแห่งประเทศไทย 2494 มาตรา 43 "รายได้ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้รับจากการดำเนินงานให้ตกเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย... แต่ถ้ารายได้มีจำนวนไม่พอสำหรับรายจ่าย... และการรถไฟแห่งประเทศไทย ไม่สามารถหาเงินจากทางอื่น รัฐพึงจ่ายให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเท่าจำนวนที่ขาด"
ตาม พ.ร.บ.การรถไฟฯ ข้างต้น ทาง สร.รฟท. (สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย) จำเป็นต้องประกาศให้ทุกคนได้ทราบว่า ที่ดินรถไฟแปลงที่มักกะสันจำนวน 497 ไร่ เป็นที่ดินที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐกาลที่ 5 พระราชทานให้กับการรถไฟ เพื่อใช้ในกิจการรถไฟ เพื่อหาประโยชน์มาบำรุงกิจการ เพื่อลดต้นทุนของการรถไฟฯ เพื่อให้พสกนิกรของพระองค์ได้รับบริการรถไฟในราคาที่ถูก และปัจจุบันนี้ มูลค่าของที่ดินดังกล่าวมีราคาไม่น้อยกว่า 2 แสนล้านบาท แต่ถ้าบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ ก็สามารถเพิ่มมูลค่าได้มากกว่า 3 แสนล้านบาท
แล้วมาวันนี้ กระทรวงการคลังจะทำการยกที่ดินที่มักกะสัน จำนวน 437 ไร่ ให้กรมธนารักษ์ เป็นผู้เช่าระยะเวลา 99 ปี ในราคา 6 หมื่นล้านบาท เพื่อปลดหนี้ของ ร.ฟ.ท.จำนวน 8 หมื่นล้านบาทนั้น มันถูกต้อง และเป็นธรรมกับการรถไฟฯ แล้วหรือ? รัฐบาลยุคนักการเมืองที่ผ่านมาพยายามที่จะนำที่ดินแปลงนี้ให้เอกชนเข้ามาบริหาร แต่ก็ต้องมีอันเป็นไป ตกทอดมาถึงยุครัฐบาลชุดปัจจุบันก็ยังมีความพยายามเหมือนเดิม
พวกเราเห็นด้วยกับนโยบายแผนปฏิรูปการรถไฟฯ ของรัฐบาลชุดนี้ แต่จะต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นธรรมความถูกต้อง และความเหมาะสม ไม่ใช่จะเอาที่ดินจำนวน 497 ไร่ ไปจำหน่ายจ่ายแจกหรือโอนให้กับหน่วยงานอื่นๆ เป็นการไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ และพระราชประสงค์ในการพระราชทานที่ดินให้กับการรถไฟ พวกเราคนรถไฟจึงมีความเป็นจำเป็นต้องลุกขึ้นมาเพื่อปกป้องและช่วยกันพิทักษ์รักษาพระราชมรดกชิ้นนี้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการรถไฟฯ ตลอดไป
ด้วยเหตุนี้ สร.รฟท. จึงแถลงมาเพื่อให้พี่น้องคนรถไฟและพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่าน ได้ทราบความเคลื่อนไหวว่า บัดนี้ได้มีขบวนการทำลายและพยายามที่จะเอาที่ดินของการรถไฟฯ ซึ่งเป็นสมบัติของชาติ ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระราชทานไว้ให้การรถไฟฯ และประชาชนชาวไทยทุกคน แต่ขณะนี้ได้มีกลุ่มทุกบางกลุ่มเข้ามาหาผลประโยชน์ในที่ดินของการรถไฟ
ฉะนั้น จึงขอให้พี่น้องคนรถไฟทุกท่านเตรียมพร้อม และรวมพลังกันเพื่อปกป้องรักษาทรัพย์สมบัติของการรถไฟฯ ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ และพระราชประสงค์ของพระองค์ท่าน ในการพระราชทานที่ดินให้กับการรถไฟฯ ไว้ สร.รฟท.จะทำหน้าที่ตามที่สมาชิกได้มอบหมายให้อย่างเต็มความสามารถในการเป็นผู้นำการต่อสู้ในครั้งนี้ร่วมกับพี่น้องคนรถไฟทุกคน และจงเตรียมพร้อมรอฟังสัญญาณการเคลื่อนไหวอย่างเข้มแข็ง เฉียบขาด จาก สร.รฟท.ต่อไป”
รอทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ มาต่อ “จิ๊กซอว์ตัวที่หายไป”
[ขอบคุณภาพ: www.area.co.th]
ไม่ใช่แค่ฝั่ง “สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย” เท่านั้นที่ส่งสัญญาณว่าพร้อมคัดค้านโปรเจกต์นี้เอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จากแถลงการณ์ดังกล่าวซึ่งประกาศเอาไว้ตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา ฝั่ง “เครือข่ายมักกะสัน” กลุ่มผู้แสดงจุดยืนคัดค้านการสร้าง “มักกะสันคอมเพล็กซ์” โปรเจกต์การสร้างห้างฯ ทรงสูง โรงแรมหรู และพื้นที่เชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบขึ้นเสียบแทนร่มไม้ ตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ก็ยังคงติดตามความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไม่วางตา
เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทางเครือข่ายได้ออกมาทวงสัญญา “คืนความสุขแก่ประชาชน” จากรัฐบาลชุดนี้ โดยเสนอให้มอบความสุขผ่านพื้นที่นี้โดยออกแบบให้เป็น “มักกะสัน สวนสร้างสรรค์” ตอบโจทย์ทั้งด้านเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม ในแง่มุมที่ทีมผู้บริหารประเทศอาจจะลืมนึกถึงไป มาจนถึงตอนนี้ พวกเขาก็ยังคงตั้งมั่นอยู่บนจุดยืนเดิม ด้วยความเชื่อมั่นว่าทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งจะมองเห็นความสำคัญของการพัฒนาอย่าง “ยั่งยืน” และนี่คือมุมมองของ อาทิตย์ โกวิทวรางกูร สมาชิก “เครือข่ายมักกะสัน”
[อาทิตย์ สมาชิก "เครือข่ายมักกะสัน”]
“ขอให้รัฐบาลมองพวกเราใหม่อีกทีหนึ่งครับ เพราะถ้ามองติดภาพจำในอดีต คงคิดว่ากลุ่มคนที่ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวอะไรพวกนี้ คงมาในลักษณะเอ็นจีโอ แต่ถ้ารัฐบาลลงมามององค์ประกอบคนในเครือข่ายมักกะสันในปัจจุบันนี้ ซึ่งจะเห็นพัฒนาการได้ว่าเรารวมเอาคนจากทุกสาขาอาชีพมาไว้ด้วยกันจริงๆ ครับ ตั้งแต่นักเศรษฐศาสตร์-นักการเงิน ที่เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์, ผู้มีประสบการณ์การทำงานกับองค์กรระหว่างประเทศ, คนที่พัฒนาคอนเซ็ปต์ให้กับห้างฯ ดังๆ เพื่อจะมาหารูปแบบประนีประนอมที่คิดว่าสร้างสรรค์กว่าเดิม
มีอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง Branding เห็นความสำคัญในการที่ประเทศจะต้องมีอะไรสักอย่างที่มาเสริมตรงนี้ ผมคิดว่าถ้ารัฐบาลจริงใจพอ และเห็นแก่ประโยชน์สูงสุดในทุกด้านพอ ได้โปรดให้โอกาสเครือข่าย หรือไม่ใช่แค่เฉพาะเราก็ได้ครับ เพราะเราก็เป็นแค่ตัวแทนกลุ่มเล็กๆ ที่อยากจะบอกว่ามีอีกหลายๆ คนที่ควรจะมีสิทธิมีเสียงในการคิดและตัดสินใจตรงนี้ เราไม่ได้มาโดยเอาความคิดเราเป็นตัวตั้ง แต่เราแค่อยากบอกว่ามันใช่หรือไม่ ปัญหาเรื่องหนี้ที่ตั้งเอาไว้ตั้งแต่แรก หรือแท้จริงแล้วมันมีวาระอื่นๆ ที่ไม่ได้พูดเอาไว้หรือเปล่า?
เรามองว่ามันเป็นเรื่องตลกมากครับ ที่เขากำหนดสัดส่วนเอาไว้โดยบอกอย่างชัดเจนว่าจะเอาพื้นที่เอาทำอะไรกี่เปอร์เซ็นต์ เพราะมันเป็นการคิดแบบไม่ได้มององค์รวม เป็นการมองแบบแยกส่วนมากๆ แล้วก็เป็นการยื่นหมูยื่นแมวในทางสังคม ประมาณว่าถ้าประชาชนบอกอยากได้พื้นที่สีเขียว ก็ตัดแบ่งให้คุณเท่านี้ๆ มันกลายเป็นกระบวนการต่อรองที่ทำให้ทุกฝ่ายไม่ได้ประโยชน์สูงสุดเลยแม้แต่ฝ่ายเดียว
[โมเดล "มักกะสัน สวนสร้างสรรค์" ที่ทางเครือข่ายเคยส่องทางเอาไว้ให้รัฐบาล]
วิธีคิดที่ดีมันต้องเริ่มจากการวางภาพใหญ่ คล้ายแผนแม่บทออกมาว่าการที่เรามีพื้นที่แปลนใหญ่ขนาดนี้ในตรงนี้ บทบาทมันเป็นอะไรได้บ้าง โดยที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ว่าพื้นที่ในนี้ต้องตัดแบ่งออกเป็นสวน, ต้องเป็นห้างฯ, โรงแรม หรือต้องเป็นกาสิโน แต่คือการมองว่าจริงๆ แล้วเมืองเราขาดอะไร เพราะพื้นที่ตรงนี้มันคือแลนด์มาร์คของเมือง เราจะไม่สามารถมองแค่ความต้องการของคนที่อยู่รอบๆ นั้นได้ และก็ไม่สามารถมองแค่วงของความเป็นกรุงเทพฯ ด้วย ผมคิดว่าเราต้องมองในบริบทวงกว้างระดับประเทศเลยด้วยซ้ำ เพราะพื้นที่แห่งนี้มันเป็นประตูของเมืองไทย เราจะจัดการกับมันยังไงเพื่อให้เกิดประโยชน์ก่อสร้างสูงสุด
เพราะฉะนั้น กรณีอย่างนี้ก็จะมีชุดความคิดออกมาหลายแบบมาก จะมีฝ่ายออกมาบอกว่าตรงนี้สามารถเป็นพื้นที่รองรับนักท่องเที่ยวได้ ทำไมไม่ทำอะไรสักอย่างที่เกิดมูลค่าเพิ่มกับชาติ และเอื้อต่อบรรดาธุรกิจรายย่อยอย่างเป็นวงจรจริงๆ, บางคนก็มองว่าตรงนี้จะเป็นที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวระดับกรุงเทพฯ เชื่อมกับระดับประเทศเลยก็ได้ เพราะมันอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในพอดี, บางคนบอกว่าสร้างพื้นที่รวมสุดยอดความเป็นไทยเอามาไว้ตรงนี้ดีไหม เอาส่วนที่ดีที่สุดจากศูนย์ศิลปาชีพและหลายๆ แห่งมาจัดเรียงใหม่ ให้เห็นตั้งแต่ต้นน้ำยังปลายน้ำว่าเรามีกระบวนการยังไง แปลงออกมาเป็นเวิร์กชอปได้ยังไง จนกระทั่งเป็นร้านของที่ระลึกที่มีการบูรณาการเชื่อมโยงสินค้าในประเทศและขายให้ได้ผลประโยชน์สูงสุด ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ มันไม่จำเป็นจะต้องคิดแบ่งแยกไปว่า เราได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจบางอย่าง แล้วเราจำต้องสูญเสียทางด้านสิ่งแวดล้อม เพราะเทียบกับโมเดลของเมืองนอก เขามีวิธีการผนวกเอาอาคารหรือการใช้งานพื้นที่ที่ไม่ใช้กลางแจ้งอย่างเดียว มาเข้ากับสวนหรือป่าในเมืองด้วยซ้ำไป ให้มันบูรณาการอยู่ในพื้นที่ผืนเดียวกันได้เกิดประโยชน์มหาศาล เพียงแต่เราจำเป็นจะต้องก้าวข้ามกรอบเดิมๆ ที่เรานึกได้ เพราะในเมืองไทยยังมีต้นแบบอะไรพวกนี้น้อยมากเท่าที่เทียบกับหลายๆ โครงการที่ผ่านมา
อาจจะเป็นเพราะเราโตมาในสภาพที่มีแต่วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เด็กและเยาวชนก็ใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้างฯ ไม่มีพื้นที่อื่นๆ ที่อารยประเทศเขามีกัน ซึ่งถ้าทำพื้นที่ตรงนี้ได้ พื้นที่มักกะสันก็จะกลายเป็นจิกซอว์ตัวที่หายไปของสังคมไทยได้ เราเชื่อกันอย่างนั้นครับ จิ๊กซอว์ตัวนี้มันจะช่วยถมทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อมที่มันแย่ ให้มันฟื้นกลับคืนมาในใจของคนเมืองและประเทศนี้ จิ๊กซอว์นี้อาจจะรวมถึงการใช้เวลาไปกับกิจกรรมอื่นๆ นอกเหนือไปจากการทำงานและการชอปปิง เพื่อให้เกิดเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ หรือจิ๊กซอว์ตัวนี้อาจจะเป็นแหล่งเรียนรู้เศรษฐกิจแห่งอนาคตที่จะทำให้คนทั้งชาติได้เข้ามาเรียนรู้ เกิดการปะทะสังสรรค์ แลกเปลี่ยน รวมทั้งคนอื่นๆ ในโลกที่เข้ามาพบปะช่วยให้เป็นนวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ได้”
ร้องขอ... “มักกะสัน ของขวัญให้ประเทศไทย”
[ยังสามารถสร้างสรรค์พื้นที่สีเขียวแห่งนี้ได้อีกหลายทาง โดยไม่ต้องเสีย "ปอดและไตกรุงเทพฯ" ไป]
“เคยทราบบ้างไหมครับว่ากรุงเทพมหานครมีบึงรับน้ำขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่เสมือนไตคอยฟอกกรอง และบำบัดน้ำเสียในเมือง บึงที่เป็นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จัดว่าเป็นแก้มลิงของกรุงเทพฯ ใช่แล้วครับบึงที่ว่านี้คือ “บึงมักกะสัน” แก้มลิงขนาดใหญ่ใจกลางเมือง กี่ร้อยกี่พันหรือกี่หมื่นครั้ง ที่คนกรุงเทพฯได้รับประโยชน์จากบึงนี้โดยไม่รู้ตัว หากไม่มีบึงแห่งนี้เหตุการณ์น้ำท่วมหลายครั้งในเมืองหลวงคงรุนแรงกว่านี้มากนัก
หากจะบอกว่ากรุงเทพฯเป็นเมืองน้ำและเราจะไม่ย้ายบ้านไปอยู่บนดอยเสียก่อน เราก็ควรมีแหล่งรับน้ำ และสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ขวางทางน้ำ ลองจินตนาการดูสิครับว่าถ้าบึงมักกะสันถูกถมแล้วเอาซีเมนต์ลาดหลังจากนั้นก็มีสิ่งปลูกสร้างเชิงพาณิชย์ผุดขึ้นเต็มไปหมด น้ำมาคราวหน้าคงดูไม่จืดเลยทีเดียว
เราคงเคยได้ยินมักกะสันทำหน้าที่ในฐานะเป็นของปอดของคนกรุง แต่อีกหน้าที่หนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการเป็นไตธรรมชาติของเมืองนี้ หากไตที่ชื่อ “มักกะสัน” เกิดวาย เมืองคงหายไปในวารี”
น้ำจะท่วมใหญ่หาก ไตชื่อ “มักกะสัน” ถูกทำลายน้ำจะท่วมใหญ่หาก ไตชื่อ “มักกะสัน” ถูกทำลาย เช้าวันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน...
Posted by Imagine มักกะสัน on Thursday, June 11, 2015
เผื่อใครยังไม่รู้ว่าเหตุใดใครต่อใครจึงต้องเดือดร้อน ออกมาคัดค้านการสร้างพื้นที่เชิงพาณิชย์ทับบนพื้นที่สีเขียวแห่งนี้กันหนักหนา ความคิดเห็นจากเครือข่ายมักกะสัน ซึ่งเขียนเอาไว้ในแฟนเพจ “Imagine มักกะสัน” ดังกล่าวน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เมื่อถามถึงความสุ่มเสี่ยงที่ปอดและไตขนาดใหญ่แห่งนี้ของกรุงเทพฯ จะถูกนำไปแปรสภาพเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ตามมติกระทรวงการคลังที่แจงเอาไว้ครั้งล่าสุด ทางตัวแทนเครือข่ายอย่างอาทิตย์ก็ได้แต่ตอบว่ายังไม่ทราบความคืบหน้าที่แน่ชัด เนื่องจากตั้งแต่เคลื่อนไหวมา ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่ได้มีโอกาสเข้าหารือกับทางรัฐบาลแม้แต่ครั้งเดียว
“รู้สึกว่าพื้นที่แห่งนี้เสี่ยงมาโดยตลอดนะครับ ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ในบริบทของรัฐบาลที่มี คสช.แบบนี้ เราก็ภาวนาครับว่า ถ้าการตัดสินใจมันเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง มันก็จะดีเลย แต่ถ้าไม่ถูกต้อง มันก็มีแนวโน้มว่าจะเสี่ยงไปอีกทางหนึ่งเลย เหมือนตอนนี้รัฐบาลกำลังดูว่าจะกดสวิตช์ให้มันเป็นยังไง เห็นหรือไม่เห็นว่าศักยภาพที่แท้จริงของมักกะสันอยู่ที่ตรงไหน สิ่งที่เครือข่ายกำลังทำก็คือว่า กำลังจะเริ่มต้นการรณรงค์และหาวิธีเข้าไปติดต่อเพื่อนำเสนอความคิด แลกเปลี่ยนกับทางรัฐบาลที่ดูแลในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่นี้ครับ
เดี๋ยวจะมีการประชุมของเครือข่ายเพื่อกำหนดทิศทางอีกครั้งหนึ่ง เพราะก่อนหน้านี้เราพยายามทำความเข้าใจรัฐบาลและปัญหาของประเทศว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องได้รับการแก้ไข เราพยายามดูว่าจังหวะจะโคนในการดำเนินการของรัฐบาลเป็นแบบไหน เพื่อจะได้ทำในจังหวะที่เหมาะสม เมื่อผ่านพ้นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลควรทำไปแล้ว ก็อยากให้เขามองเห็นว่าเรื่องนี้สำคัญนะ ถึงจะไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนมากแต่ก็ไม่ควรปล่อยเอาไว้ให้เนิ่นนาน ควรจะมาช่วยกันคิดกันใหม่ว่ามักกะสันควรจะเป็นยังไงกันแน่
[ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ "เราอยากให้มักกะสันเป็นสวนสาธารณะและพิพิธภัณฑ์”]
เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่ารัฐบาลมองยังไงครับ แต่เรามองว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญและเร่งด่วน แม้ว่าไม่ได้เร่งด่วนถึงขนาดที่ต้องรีบแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ก็ถือว่าสำคัญและต้องรีบลงมือ เพราะถ้ายิ่งปล่อยให้ช้าออกไป การพัฒนาเมืองหรือคุณภาพชีวิตที่เราต้องการอยู่ในเมือง หรือการจะให้เป็นพื้นที่ในการเรียนรู้ด้านเศรษฐกิจ พื้นที่สำหรับ SMEs เพื่อสนับสนุนการแข่งขันระหว่างประเทศ เรื่องเหล่านี้ก็จะยิ่งช้าและตกขบวนไป แต่ถ้ากลับมาทำเร็วไปและทำไปผิดทาง มันก็จะยิ่งซ้ำร้ายหนักเข้าไปใหญ่
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี มันจำเป็นจะต้องมีกระบวนการบางอย่างที่กินเวลาปีหรือ 2 ปี เพื่อให้ได้มานั่งขบคิดถึงความเป็นไปได้ในแง่มุมต่างๆ เพื่อให้ได้แลกเปลี่ยนกันจริงๆ ถ้ารัฐบาลทำให้มีความต่อเนื่องและถ้าทำให้เกิดความร่วมมือแบบนั้นได้จริงๆ โอกาสที่เราจะสร้างสิ่งที่ดีในระยะยาวก็จะเกิดขึ้นได้ในประเทศนี้
เรากำลังเตรียมยื่นรายชื่อคณะผู้เชี่ยวชาญชุดหนึ่ง น่าจะชื่อโปรเจ็กต์ “มักกะสัน ของขวัญให้ประเทศไทย” รวมผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ทุกคนเอามาไว้ที่เดียว คิดกันว่าของขวัญชิ้นนี้มันจะออกมาหน้าตาเป็นยังไงที่จะตอบโจทย์ของคนไทยจริงๆ และตอนนี้เราก็กำลังสร้างเครือข่ายของคนที่ทำงานเรื่องเมืองในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศด้วยครับ เพื่อมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และหาแง่มุมที่จะทำให้เกิดพื้นที่เมืองที่สร้างสรรค์และยั่งยืน ตรงนี้ก็จะมีการโยงกันในหลายๆ ส่วน เพราะเรารู้สึกว่าอยากให้กระบวนการของมักกะสันจะเป็นจิ๊กซอว์ตัวหนึ่งในการพัฒนาเมืองในระดับประเทศครับ เพราะฉะนั้น ตรงนี้จะต้องเอาประสบการณ์มาผนึกพลังกันถึงจะทำได้
[ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ "Imagine มักกะสัน”]
มันเป็นเรื่องสำคัญครับที่พลเมืองจะลุกขึ้นมาคอยหาพื้นที่ทางสังคม ให้ประชาชนมีส่วนร่วมเรื่องเมืองและเรื่องที่อยู่รอบๆ ตัวเขาได้ในระยะยาว เพราะฉะนั้น วิธีคิดตรงนี้เราจะต้องค่อยๆ สื่อสารให้คนเข้าใจว่า มันไม่ใช่การคัดค้านเพื่อเอาชนะหรือไม่ชนะ แต่มันคือหน้าที่ของพลเมืองจริงๆ ที่ไม่ใช่เพียงแต่ทำงานหรืออยู่บ้านพักผ่อน ไปห้างฯ แต่พลเมืองจะต้องมีส่วนมากกว่านั้น เช่น การจัดตั้งเป็นองค์กรหรือเป็นเครือข่ายที่ดีได้ ก็จะมีการรณรงค์กันเกิดขึ้นในระยะยาว และจากนั้นมักกะสันก็จะเป็นเพียงแค่โปรเจกต์เริ่มต้นที่เป็นโปรเจกต์ใหญ่ และอาจจะต้องมีเรื่องอื่นๆ ที่ติดตามมาจากตรงนี้ต่อไปในระยะยาว
ที่ผ่านมามันเหมือนดูเป็นเรื่องใหม่ของพวกเราที่โตขึ้นมาโดยที่ไม่ได้มีบทบาทต่อสังคม แต่ต่อไป ผมคิดว่าโลกมันจะเปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะมันเป็นปรากฏการณ์พื้นฐานที่พลเมืองทุกคนในโลกจะเริ่มเข้ามามีบทบาท มีส่วนช่วยรัฐบาลหรือภาคส่วนอื่นๆ ในการจัดการพื้นที่สาธารณะหรือประเด็นทางสาธารณะมากขึ้นครับ
เพราะฉะนั้น ทางเครือข่ายมองไปในระยะยาวเลยว่า เราไม่ได้มองว่าเราจัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นกลุ่มต่อสู้พิทักษ์มักกะสันอะไรแบบนั้น อันนั้นมันคือภาพในอดีตครับ ตอนนี้เราต้องการจะเปลี่ยนและอยากให้มักกะสันเป็นเหมือนอวัยวะหนึ่งของสังคมที่จะอยู่คู่กันไปเรื่อยๆ ในประเด็นอื่นๆ ในสังคมในฐานะพลเมืองของประเทศ”
[ขอบคุณภาพ: makkasan.net]
[เสวนา "Park Talk : มักกะสัน สวนสร้างสรรค์" เมื่อช่วงต้นปี]
ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ Live
ขอบคุณภาพบางส่วน: แฟนเพจ "Imagine มักกะสัน", “เราอยากให้มักกะสันเป็นสวนสาธารณะและพิพิธภัณฑ์”, makkasan.net และ www.area.co.th
ข่าวที่เกี่ยวข้อง (คลิก)
- “มักกะสันสวนสร้างสรรค์” บทพิสูจน์สัญญา “คืนความสุข” จากรัฐบาล!! [ชมคลิป]
- “มักกะสันสวนสร้างสรรค์” เพื่อเปลี่ยนกรุงเทพ!
- “มักกะสันคอมเพล็กซ์” ก้อนเนื้อร้าย ทะลวงปอดชาวกรุง!!
มาสร้างแรงบันดาลใจไปด้วยกัน!!ตัวอย่างงานในเซ็กชั่นทั้งหมด>>>...
Posted by ASTV ผู้จัดการ Live on Friday, August 21, 2015
รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754