xs
xsm
sm
md
lg

“มักกะสันสวนสร้างสรรค์” บทพิสูจน์สัญญา “คืนความสุข” จากรัฐบาล!! [ชมคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“มักกะสันคอมเพล็กซ์” แนวคิดนี้กลับมาให้คนกรุงได้หายใจติดๆ ขัดๆ อีกครั้ง หลังบอร์ด ร.ฟ.ท.ไฟเขียว เตรียมยกที่ดินมักกะสันจำนวน 497 ไร่ให้การคลังล้างหนี้สะสม 6 หมื่นล้านบาท เสียบแทนพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ใจกลางเมืองซึ่งเป็นปอดขนาดใหญ่ของกรุงเทพฯ!!
เมื่ออดทนต่อวิธีแก้ปัญหาแบบผักชีโรยหน้าไม่ไหว คนดังจากทุกวงการจึงรวมตัวกันในนาม “เครือข่ายมักกะสัน” ลุกขึ้นมาเสนอหนทางสร้างสรรค์ พร้อมทวงคืน “ความสุข” ที่รัฐบาลชุดนี้เคยให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ ด้วยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่ใช่เพียงลมปากที่ปลิวไปกับอำนาจทุน!!





ถึงเวลาทวงสัญญา! “คืนความสุขแก่ประชาชน”

รัฐบาลชุดนี้บอกจะมาคืนความสุขให้แก่ประชาชน ถ้าอย่างนั้นก็กรุณาให้ความสุขกับเราด้วยครับ ผมอยากเห็นสวนสาธารณะเพื่อเด็ก เด็กที่ด้อยโอกาส สวนสาธารณะคือสถานที่คืนความสุขให้แก่ผู้คนโดยรอบ ขอทีเถอะครับ แค่ความสุขพื้นฐาน การรถไฟตั้งขึ้นมาเพื่อให้บริการประชาชน การขาดทุนเป็นเรื่องปกติครับ ที่พูดกันว่ารัฐวิสาหกิจต้องทำผลกำไร มันเป็นคำพูดในยุคหลังที่มาพูดต่างหาก แต่จริงๆ แล้วการรถไฟจำเป็นจะต้องขาดทุน คืนกำไรให้แก่ประชาชนด้วยวิธีที่ให้สุขภาพประชาชนได้มีบ้าง ให้คนด้อยโอกาสที่บางครั้งไม่มีแม้แต่สตางค์จะขึ้นรถไฟไปเที่ยวไกลๆ ได้มาพักตรงนี้เถอะ

หรือการรถไฟจะใจดำ หรือกระทรวงการคลังจะบอกว่าจะเอาไปทำศูนย์การค้า งั้นผมถามว่าบริหารประเทศนี่ทำเพื่อใครบ้างครับ? ประชาชนส่วนใหญ่หรือเปล่า? ขอทวงสัญญาเลยครับ ไหนบอกว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” แล้วทุกวันนี้ยังไม่พอเพียงอีกหรือ? ตามแนวพระราชดำริ ผมเชื่อว่าในหลวงท่านจะทรงยินดีที่เห็นประชาราษฎร์ทั้งหมดมีความสุข ขอให้เราช่วยกันเถอะครับ

กนก เหวียนระวี อาจารย์พิเศษคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัทกรุงทวี จำกัด ผู้พลิกฟื้นพื้นที่ไร่ส้มอันแห้งแล้งให้อุดมสมบูรณ์ทุกหย่อมหญ้าได้ภายใน 10 ปี ขอแสดงจุดยืนจากประสบการณ์


(อาจารย์กนก ผู้พลิกฟื้นพื้นที่ไร่ส้มอันแห้งแล้งภายใน 10 ปี)

“2 แสนล้านบาท” คือเม็ดเงินที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) วางแผนจะลงทุนสร้างเมกะโปรเจกต์อลังการที่ใช้ชื่อว่า “มักกะสันคอมเพล็กซ์” ขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยตั้งใจจะผุดห้างทรงสูง โรงแรมหรู และพื้นที่เชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบขึ้นเสียบแทนร่มไม้ขนาดใหญ่กลางกรุงขนาดกว่า 700 ไร่ แต่ด้วยเสียงคัดค้านไม่เห็นด้วยอย่างถล่มทลายจากภาคประชาชน กับการลงทุนโดยไม่แยแสต่อผลกระทบของการทำลาย “ปอดขนาดใหญ่” แหล่งผลิตออกซิเจนที่หาไม่ได้อีกแล้วในกรุงเทพฯ จึงเป็นเหตุให้เจ้าของที่ดินอย่าง ร.ฟ.ท.ต้องพับโปรเจกต์ไปในครั้งนั้น

มาวันนี้ “6 หมื่นล้านบาท” คือตัวเลขใหม่ที่ ร.ฟ.ท.วาดฝันเอาไว้ว่าจะได้จากการยกที่ดินจำนวน 497 ไร่ ให้กระทรวงการคลังไปเสนอขายกลุ่มทุน เพื่อล้างหนี้สะสมจากการจัดซื้อรถจักรและการลงทุนแอร์พอร์ตลิงก์และยังไม่ได้ถอนทุนคืน แม้จะใช้พื้นที่ปลดหนี้น้อยกว่าเดิม และเม็ดเงินที่ได้ไม่อาจล้างหนี้ที่มีกว่า 110,000 ล้านบาทให้หมดไป แต่ดูเหมือนเจ้าของพื้นที่จะเข้าตาจนจนมองไม่เห็นทางออกอื่น นอกจากเลือกที่จะกลับมาทุบตึกเก่าอย่าง “นิคมรถไฟมักกะสัน” ซึ่งถือเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ทิ้งแล้วเตรียมไปสร้างใหม่ที่อื่น


("มักกะสันคอมเพล็กซ์" โมเดลเดิมที่ล่มไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว)

ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่านั้นคือ ดูเหมือนเรื่องกำไร-ขาดทุน จะเป็นแรงผลักสำคัญที่ทำให้รัฐวิสาหกิจอย่าง ร.ฟ.ท.ลืมไปแล้วว่าพื้นที่สีเขียวที่เหยียบย่ำอยู่ทุกวันนี้ มอบอากาศบริสุทธิ์ให้ประชาชนชาวกรุงได้หายใจสะดวกขึ้นในเมืองอันแสนแออัดแห่งนี้มากขนาดไหน




มากกว่า “ปอด-ตับ-ไต” แต่คือ “หัวใจ-สมอง” ของชาติ!

(ขอบคุณอินโฟกราฟิก: เครือข่ายมักกะสัน)
แค่ทุกวันนี้กรุงเทพฯ ก็มีพื้นที่สีเขียวอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามาตรฐานมากอยู่แล้ว จากที่ควรจะมีค่าเฉลี่ย 15 ตร.ม.ต่อคน กลับมีพื้นที่สีเขียวคิดเป็น 3.3 ตร.ม.ต่อคน แถมยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ 22 เมืองใหญ่ในเอเชียด้วย อาจารย์กนกบอกได้เลยว่าพื้นที่มักกะสันตรงนี้คือปอดของกรุงเทพฯ ที่ดีที่สุดแล้วแห่งหนึ่งเท่าที่จะมีเหลืออยู่ และวิธีการแก้ปัญหาในครั้งนี้ก็สะท้อนอะไรๆ หลายๆ อย่างที่คนจากอีกฝั่งอาจไม่ทันได้คิด

ที่บอกว่ามักกะสันเป็นปอด เป็นตับ เป็นไตของประเทศ แต่ผมว่ามันมากกว่านั้นครับถ้าเราทำได้ เพราะมักกะสันมันคือ “หัวใจและหัวสมองของคนไทย” ครับ มักกะสันในวันนี้ มันคือต้นแบบของความคิดที่จะนำไปพัฒนาให้เมืองต่างๆ มีสวนสาธารณะประจำเมืองให้ได้ และเป็นสวนสาธารณะที่สอนคนให้รักสิ่งแวดล้อม นำไปถึงการดูแลป่าเขาซึ่งก่อให้เกิดปัญหาอีกหลายอย่าง มันโยงไปได้ไกลกว่าที่เราจะคิด ถ้าเรารู้จักใช้ประโยชน์ในพื้นที่ให้ดี เพราะฉะนั้น อย่าสิ้นคิดครับ!


ผมไม่ได้มองว่าพื้นที่สีเขียวคือความสวยงามนะครับ แต่มันคือความจำเป็นสำหรับคนยากคนจนครับ มันมีผลการวิจัยออกมาว่าในรัศมีของสวนสาธารณะที่คนยากคนจนอยู่ 4-5 กม. อัตราการตายของเขตนั้นจะต่ำกว่าเขตที่ไม่มีสวนสาธารณะอยู่ใกล้ๆ ถามว่าทำไมต้องเอาคนยากคนจนมาวัด ก็เพราะคนรวยไม่มีปัญหาไงครับ เขาสามารถหนีไปอยู่ที่ไหนก็ได้ แต่คนจนไม่มีที่จะไปครับ ดังนั้น การต่อสู้เรื่องนี้ไม่ได้ต่อสู้เพื่อเราเอง แต่เราต่อสู้เพื่อคนอื่น เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกคนช่วยกัน”



(ปองขวัญ กรรมาธิการอนุรักษ์ฯ สมาคมสถาปนิกสยามฯ)
ถ้ามักกะสันเปรียบเหมือน “ปอดของกรุงเทพฯ” ต่อไปถ้าไม่มีปอดตรงนี้หลงเหลืออยู่ก็มีความเสี่ยงที่ “น้ำจะท่วมปอด” หนักกว่าครั้งไหนๆ ลองเทียบมูลค่าความเสียหายกับมูลค่าผลกำไรที่จะได้จากการตัดตอนพื้นที่ให้เอกชนเข้ามาประมูล บอกได้เลยว่าได้ไม่คุ้มเสีย ปองขวัญ สุขวัฒนา กรรมาธิการอนุรักษ์ฯ สมาคมสถาปนิกสยามฯ และกรรมการบริหารสมาคมอิโคโมสไทย ช่วยร่วมฟังธง!

ที่นี่มีบ่อน้ำขนาดใหญ่อยู่ ถ้าในอนาคตมันจะหายไป หรือต่อให้มีเงินมากมายมหาศาลแค่ไหนแล้วบอกค่อยขุดบ่อสร้างใหม่ มันก็ไม่สามารถทำให้มันกลับมาได้อุดมสมบูรณ์เหมือนเดิมแล้ว พื้นที่ตรงนี้มันมีมูลค่าในตัวเองอยู่แล้ว ขอแค่อย่าไปทำลายมันค่ะ ที่สำคัญ ถ้าเราทำลายพื้นที่รับน้ำขนาดใหญ่ตรงนี้ลง พื้นที่รอบๆ จะต้องเดือดร้อนแน่นอน ถ้าพื้นที่ตรงนี้กลายเป็นมักกะสันคอมเพล็กซ์ ลองคิดถึงมูลค่าของการเยียวยาความเดือดร้อนที่จะเกิดขึ้น มันเทียบไม่ได้เลยกับมูลค่าทางเศรษฐกิจที่จะตอบแทนมาเป็นเม็ดเงินเลยค่ะ ถ้าจะแปลงเป็นมักกะสันคอมเพล็กซ์ต้องคิดด้วยว่าความเสียหายที่จะเกิดขึ้นมันเป็นเงินอีกมากมายขนาดไหน


(หวั่นซ้ำรอย "มักกะสันคอมเพล็กซ์" โมเดลเดิมที่ล่มไปเมื่อ 2 ปีก่อน)

อาทิตย์ โกวิทวรางกูร สมาชิก “เครือข่ายมักกะสัน” พลเมืองอิสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมดิคราฟท์ จำกัด ยืนยันชัดเจนว่าที่เปิดเวที “Park Talk” ขึ้นมานั้น ไม่ได้ต้องการแสดงความก้าวร้าวทางสังคมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องการเมืองแต่อย่างใด แต่ภาคีทั้งหมดรวมกลุ่มกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ อยากให้พื้นที่สำคัญแห่งนี้ถูกใช้อย่างสร้างสรรค์และเกิดประโยชน์สูงสุด และโมเดลที่ บริษัท ฉมา จำกัด บริษัทออกแบบพื้นที่ Landscape หนึ่งในผู้ร่วมอุดมการณ์ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่จำลองให้ทุกฝ่ายมองเห็นเป็นรูปธรรมไปในทิศทางเดียวกันว่า “สวนสร้างสรรค์” ที่เรียกร้องอยากให้มีนั้น มีหน้าตาเป็นแบบไหน

“เพราะพื้นที่นี้มันขนาดใหญ่ มองในหลายๆ มิติแล้ว มักกะสันสามารถเป็นอะไรได้มากไปกว่าแค่ “คอมเพล็กซ์” หรือเป็นโปรเจ็กต์อสังหาริมทรัพย์ตามธรรมดาทั่วๆ ไป เราอยากชี้ให้เห็นว่าพื้นที่ในส่วนนี้ที่สามารถเป็นไปได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นมิติทางด้านสุขภาวะ การพัฒนาเยาวชน หรือเด็กได้มีกิจกรรมใกล้ชิดธรรมชาติ พื้นที่สร้างสรรค์ หรือพื้นที่ของคนที่อยากอนุรักษ์มรดกรถไฟ หรือกลุ่มคนพิการปัจจุบันที่มา พวกเขาเป็นกลุ่มที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เท่าเทียมกับคนอื่นๆ ไม่ได้รับความสะดวกสบายจากเมืองให้เขาได้ใช้ประโยชน์เพื่อเสริมคุณค่าในตัวเขาได้จริงๆ


(อาทิตย์ สมาชิก "เครือข่ายมักกะสัน”)

ถ้ามองจากฝั่งคนไทยที่อยู่ในกรุงเทพฯ หรือทั่วประเทศ มักกะสันอยู่ใจกลางเมือง มีแอร์พอร์ตลิงก์ มีรถไฟใต้ดิน มีถนนเข้าได้หลายทาง มี ถ.จัตุรทิศ ซึ่งตัดกับทางตะวันตก-ตะวันออก โลเกชันมีเอกลักษณ์มาก เพราะฉะนั้น การเข้าถึงของผู้คนจะเข้าถึงได้ง่ายอย่างที่สวนอื่นๆ ไม่เคยทำได้


(ออกแบบโมเดลใหม่ "มักกะสันสวนสร้างสรรค์" หลากทางเลือก)
หรือถ้ามองในมุมของต่างชาติ ส่วนใหญ่เขามาทางเครื่องบิน ก็จะมาลงสุวรรณภูมิ เข้าเมืองยังไงก็ต้องผ่านทางนั้นเกือบตลอด เลยคิดว่าจะดีมั้ยถ้าประเทศเรามีสถานที่ที่แสดงออกว่าเรามีความคิดในเรื่องเมือง เรื่องคุณภาพชีวิต การจัดการพื้นที่สาธารณะ ไม่ได้ด้อยกว่าประเทศอื่นๆ ในโลกเลย ผมรู้สึกว่ามักกะสันมีศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ที่จะแสดงออกตรงนี้ได้ นอกจากความภูมิใจจากเราได้รวมเอาคนที่มีความคิดหลากหลายมาร่วมกันในกรุงเทพฯ สำหรับคนต่างจังหวัดก็จะกลายเป็นกรณีศึกษาที่จะสามารถเข้าถึงและรับรู้ได้เหมือนกัน ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมากต่อกระบวนการพัฒนาเมือง”




อย่าสนแต่ “มูลค่า” จนลืม “คุณค่า”

(ยังสร้างสรรค์พื้นที่สีเขียวแห่งนี้ได้อีกหลายทาง โดยไม่ต้องเสีย "ปอดกรุงเทพฯ" ไป)
“ถ้ามักกะสันพูดได้ คิดว่าเขาจะอยากให้ถามว่า ฉันมีมูลค่าเท่าไหร่? หรือ ฉันมีคุณค่าเท่าไหร่? ประเด็นนี้ เรากำลังพูดถึง “มูลค่า” หรือ “คุณค่า” ลองถามตัวเราเองบ้าง เราอยากให้คนถามเราว่า “ฉันราคาเท่าไหร่” หรือ “ฉันมีค่าเท่าไหร่” คำตอบที่ได้มันต่างกันนะคะ”

กชกร วรอาคม นักปฏิวัติการออกแบบรุ่นใหม่ (Greenovative Design) อาจารย์ผู้ใช้ธรรมศิลป์บำบัดผู้ป่วยโรคมะเร็งและอัมพาตจากฮาร์วาร์ด เปิดประเด็นสำคัญเอาไว้ให้คิด

“We're the city เมืองของเราเป็นยังไง คนในเมืองก็เป็นอย่างนั้น เราไปเมืองไหน คนในเมืองนั้นเป็นเช่นนั้น กรุงเทพฯ เป็นหน้าเป็นตาของทุกคน ถ้ากรุงเทพฯ ป่วย ร่างกายเราก็ป่วย กรุงเทพฯ ไม่มีที่ว่าง ชีวิตเราก็ไม่มีที่ว่าง ถ้านี่เป็นโอกาสของการใช้ที่ว่างที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น มันคืออะไร?


(อาจารย์กชกร นักปฏิวัติการออกแบบรุ่นใหม่)

ที่นิวยอร์ก Central Park เกิดเมื่อ 200 ปีที่แล้ว มีคนกลุ่มนึงที่ออกมาเรียกร้องการมีที่ว่างของเมือง ให้มีสวนสาธารณะ จนปัจจุบัน Central Park กลายเป็นสิ่งที่ลงตัวสำหรับคนเมืองที่นั่นในตอนนี้ไปแล้ว ทุกวันนี้กรุงเทพฯ มีพังผืดขนาดใหญ่เกาะอยู่เต็มไปหมด แต่มีที่ว่างน้อยมาก ไม่ต่างอะไรไปจากตัวเรา ร่างกายของเรา ปัจจุบันคนไทยตายด้วยโรคมะเร็ง ตายปีๆ หนึ่งเป็นแสนคน

ตอนนี้หลายคนอาจจะยังมองไม่เห็นความงามของมักกะสันที่ถูกปกปิดอยู่ เพราะนั่งรถผ่านอาจจะเห็นแค่พื้นที่ปิดพื้นที่หนึ่ง แต่จริงๆ แล้วถ้าใครเคยเข้าไปดูจะเห็นว่าเขามีคุณค่ามากกว่านั้นค่ะ เราอย่าตีค่าเขาด้วยมูลค่าเลย เราถามเขา ถามตัวเองว่าคุณค่าเขาคืออะไร สิ่งที่เขาควรจะเป็นคืออะไร คำตอบน่าจะอยู่ที่ตัวคุณ ร่างกายคุณ และทุกคนในวันนี้”



(พื้นที่สีเขียวรายรอบโรงงานรถไฟ)
“มรดกสถาปัตยกรรมในประเทศไทย รางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น” คือรางวัลที่สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์มอบให้แก่ “ตึกแดง” โรงเก็บของเก่าแก่อายุเกือบร้อยปีซึ่งถูกออกแบบมาอย่างดี สะท้อนให้เห็นอีกหนึ่งคุณค่าบนพื้นที่มักกะสันแห่งนี้ที่ได้รับไฟเขียวให้ทุบทิ้ง ปองขวัญ ในฐานะกรรมาธิการอนุรักษ์ฯ สมาคมสถาปนิกสยามฯ บอกเลยว่าน่าเสียดาย

“ขอบอกเลยว่าตัวพื้นที่เองทุกวันนี้มันเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจของมันเองอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะเพิ่มมูลค่าให้มันได้ยังไง การที่เขาจะให้เราเอาพื้นที่ตรงนี้ไปทำศูนย์การค้า ทำธุรกิจในระดับโลก เรารู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มันมีเยอะเกินไปแล้วในประเทศไทย ทำไมเราไม่คิดใหม่ทำใหม่

มรดกเหล่านี้ สมาคมสถาปนิกสยามฯ ได้เคยให้รางวัลอนุรักษ์ดีเด่นแก่ทางการรถไฟ สมเด็จพระเทพฯ ท่านได้มอบรางวัลที่มีพระนามของท่านประทับอยู่ เป็นรางวัลจากการคัดเลือกของผู้ทรงคุณวุฒิ ถ้าเรารักมักกะสัน เราต้องรู้จักพื้นที่ก่อนว่าเรารักมันเพราะอะไร ให้ซึมซับลงไปว่าพื้นที่ตรงนี้มี “คุณค่า” อย่างที่ประเมินราคาไม่ได้”



(นุ่น-ศิรพันธ์ หนึ่งในคนที่เห็น "คุณค่า" ของพื้นที่สีเขียว)
แม้แต่นักแสดงชื่อดังอย่าง นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา ก็เห็นคุณค่าของพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่แห่งนี้เช่นเดียวกัน และขอเป็นอีกเสียงสะท้อนหนึ่งในฐานะที่มักจะใช้สวนสาธารณะเป็นที่พักพิงใจเมื่อไม่สามารถกลับบ้านซึ่งอยู่ต่างจังหวัดได้ เธอบอกว่าวินาทีนั้นมีเพียงธรรมชาติที่ปลอบประโลมจิตใจได้มากที่สุด โดยเฉพาะความทุกข์ครั้งใหญ่ที่เกิดในชีวิตทันทีที่ได้กระแสตอบรับหลังจากเข้าวงการ

“มนุษย์เราเวลาเรามีความทุกข์ เราอยากกลับบ้าน เวลาเรารู้สึกไม่ปกติ เราอยากหาที่ที่มันปลอดภัย ถามว่านอกจากที่บ้านแล้ว ความรู้สึกที่ให้ได้คือที่ไหน คือสวนสาธารณะค่ะ ณ วินาทีที่นุ่นได้ถอดรองเท้าและเดินเหยียบหญ้า มันคือความสงบ นี่คือความผูกพันของนุ่นกับสวนในกรุงเทพฯ ค่ะ ถึงนุ่นจะเป็นดาราแต่เราก็ไม่ได้ฟุ้งติดกับภาพที่ว่าเราเป็นซูเปอร์สตาร์นะ เพราะเรารู้สึกว่าชื่อเสียง เงินทอง สุดท้ายแล้วของพวกนี้มันก็ไม่มีอยู่จริง ธรรมชาตินี่แหละคือสิ่งที่ดึงให้เรากลับมาสู่ความเป็นจริงของชีวิต



นุ่นเข้าใจว่ามนุษย์เราต้องกินต้องใช้ ถามว่านุ่นทำงานต้องได้เงินใช้มั้ย ก็ต้องได้ค่ะ ไม่งั้นไม่มีตังค์กินข้าว แต่มันจะดีกว่ามั้ยถ้าเราสามารถทำให้ธุรกิจมันเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ อย่างที่ปักกิ่งจะมี “798 Art District” นุ่นว่ามันเท่มากเลย เขาเป็นพื้นที่โรงไฟฟ้าเก่า สกปรกๆ ไม่ได้ถูกใช้งานมานานแล้ว และวันนึงคนก็ออกไปหมด แต่มีศิลปินเข้ามาทำงานในนี้ หลังจากนั้นแต่ละโกดังก็ถูกศิลปะเข้ามาทำให้มันเติบโตอย่างสวยงาม และเขาได้ปลูกต้นไม้เพื่อทำให้ธรรมชาติยังคงอยู่ และที่สำคัญที่สุด เขาทำให้ธุรกิจเกิดขึ้นได้ และภาพที่เขาขายแพงมากนะคะ นุ่นซื้อไม่ไหว แต่มีคนซื้อและเขาก็อยู่ได้ ทำธุรกิจได้


(พลเมืองกรุงเทพฯ ร่วมโหวตในกิจกรรม "มักกะสัน สวนสร้างสรรค์")
ถามว่าจำเป็นมั้ยที่เราจะต้องแลกธรรมชาติเพื่อเงิน? นุ่นว่ามันจะฉลาดกว่ามั้ย ถ้าเราเบนสิ่งที่เราอยากทำเข้าหาธรรมชาติได้ มันยังมีโมเดลทางธุรกิจอีกมากเลยค่ะที่มันสามารถทำให้ธุรกิจ คน และสิ่งแวดล้อมอยู่ร่วมกันได้ เงินไม่สามารถสร้างต้นไม้ได้ เงินไม่สามารถสร้างมิตรภาพ เงินไม่สามารถสร้างชีวิตได้ ทุกอย่างต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติ”




บทพิสูจน์พื้นที่ “ปลอดคอร์รัปชัน”

ถ้า “สวนสร้างสรรค์” บนพื้นที่ 700 กว่าไร่แห่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้จริงก่อนที่ภาครัฐจะปล่อยให้กลุ่มทุนฮุบไป “พื้นที่ปลอดคอร์รัปชัน” คืออีกหนึ่งข้อเสนอที่กรรมการบริหารสมาคมอิโคโมสไทย กรรมาธิการอนุรักษ์ฯ สมาคมสถาปนิกสยามฯ ก็เอาไว้

“ต้องมาตั้งคำถามกันว่าอยากให้มักกะสันเป็นอะไร? ส่วนตัวแล้วอยากให้เป็นหลายอย่างมากค่ะ อยากให้มักกะสันเป็นพื้นที่แห่งสุขภาวะ ศิลปะวัฒนธรรม เศรษฐกิจสร้างสรรค์ พื้นที่แห่งเศรษฐกิจสีเขียว แหล่งเรียนรู้อนุรักษ์ฟื้นฟูมรดกเมือง แหล่งป่าไม้ในเมือง พื้นที่ที่ปลอดคอร์รัปชัน เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่สามารถได้รับรางวัล UNESCO Asia-Pacific Awards for Cultural Heritage ถ้าเราทำได้ดี แต่ถามว่าแล้วใครล่ะจะมาทำให้มันเกิดขึ้น?


การบริหารจัดการพื้นที่ขนาดใหญ่ของภาครัฐควรต้องคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนและประโยชน์สูงสุดในทุกมิติ ทางด้านสังคม ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน เอื้ออำนวยให้ทุกภาคส่วนในสังคมได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการ การกำหนดอนาคตในฐานะเจ้าของพื้นที่

นวัตกรรมเมืองสร้างสรรค์ที่เราพูดบ่อยๆ กัน แท้จริงแล้วควรจะมีพื้นฐานมาจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการกำหนดความต้องการในการสร้างเมืองน่าอยู่ของพวกเราทุกคน ในขณะเดียวกันก็สามารถตอบโจทย์ทางเศรษฐกิจได้ พื้นที่มักกะสันตรงนี้นี่แหละจะเป็นพื้นที่สร้างสรรค์นำร่องให้เกิดนวัตกรรมเมืองสร้างสรรค์และการปฏิรูปประเทศไทยได้อย่างเป็นรูปธรรมที่สุดในทุกมิติ ขอฝากไว้ให้ทุกคนมาร่วมเป็นเครือข่ายมักกะสันกันเถอะ เพื่อให้เกิดมักกะสันสวนสร้างสรรค์ค่ะ



เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็น “รัฐวิสาหกิจ” อย่างการรถไฟแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ อาจทำให้มีข้ออ้างของการเป็นกึ่งรัฐกึ่งเอกชนที่จะสามารถใช้สิทธิไปลงทุนธุรกิจแบบใดก็ได้โดยไม่ต้องถามความยินยอมจากประชาชน แต่ อาทิตย์ โกวิทวรางกูร สมาชิก “เครือข่ายมักกะสัน” พลเมืองอิสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมดิคราฟท์ จำกัด ยังคงยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและมีผลกระทบโดยตรงต่อภาคประชาชน จึงอยากให้ลองคิดดูให้ดีๆ

“ทรัพย์สินที่มีอยู่ในมือก็มีอยู่หลายชิ้น เราเข้าใจนะครับเรื่องปัญหาทางการเงินที่เขาต้องเผชิญอยู่ตรงหน้าว่ามันคืออะไร แต่เรารู้สึกว่ามันจะมีทางออกทางไหนได้อีกมั้ยให้มันมีมิติหลากหลายกว่า การเลือกทำแค่เป็นคอมเพล็กซ์ เป็นแค่อีกหนึ่งห้างฯ อีกหนึ่งหมู่ตึก ซึ่งคงจะช่วยให้ได้รับผลตอบแทนอย่างที่เขามองไว้กลับมาได้ส่วนหนึ่ง แต่เราคิดว่าถ้าบริหารพื้นที่แบบผสมผสานอย่างดี มันจะดีกว่านี้ ถ้าสามารถรวมเอาส่วนที่เป็น Commercial ซึ่งติดกับแอร์พอร์ตลิงก์ตรงนั้นมาเป็นจุดยุทธศาสตร์


(โสภณและเพื่อน นักแสดงละคนเวทีเพื่อคนตาบอด ร่วมแสดงจุดยืน)

(ดีเจ "ซี๊ด-นรเศรษฐ" กับการแสดงพลังผ่านกลอนเปล่าเรียงร้อยบทเพลง - มีคลิปท้ายข่าว)

ทุกวันนี้เรายังไม่มี Hub จุดรวมก่อนออกไปสนามบินเหมือนอย่างในเมืองนอกเขามีกัน เราอาจจะจัดสรรพื้นที่ตรงนั้นและทำให้มันเป็นตัวแสวงหารายได้ นอกจากนั้น พื้นที่ส่วนอื่นก็อาจจะใช้สวนและองค์ประกอบอื่นๆ ในพื้นที่ เป็นตัวขับเคลื่อนทั้งรายได้จากการท่องเที่ยว รายได้จากคนในประเทศนี้ มันก็จะเป็นทางออกสำหรับการปลดหนี้ได้เหมือนกัน

ทางเครือข่ายของพวกเราไม่ได้เรียกร้องจะเอาสวนสาธารณะทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ เราไม่ได้เรียกร้องจะเอาโดยไม่คำนึงถึงส่วนของเขา แต่เราคิดว่าในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่มีส่วนได้ส่วนเสียต่อพื้นที่นี้ อย่างน้อยประชาชนก็เป็นคนที่จ่ายภาษี เราคิดว่าเรามีบทบาทอื่นๆ ได้อีกถ้าได้พูดคุยกับทางเจ้าของที่จริงๆ ถ้ารัฐบาลหรือผู้รับผิดชอบจะเห็นว่าพื้นที่ตรงนี้มีคุณค่าได้มากกว่าการเอาไปทำการค้าแบบปกติ


(นิทรรศการจะจัดที่หอศิลป์ กทม. ถึงวันที่ 29 มี.ค.นี้)
เรากำลังระดมเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์สำหรับพื้นที่นี้จริงๆ กำลังช่วยกันคิดอยู่ว่ามีทางออกไหนบ้างที่จะช่วยแก้โจทย์ทางการรถไฟ, การคลัง และพื้นที่สาธารณะได้พร้อมๆ กัน เป็นการเปิดมิติระหว่างการร่วมไม้ร่วมมือระหว่างภาครัฐ ประชาชน หรือธุรกิจฝ่ายเอกชนจริงๆ ให้มันมีพื้นที่ที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อคนกรุงเทพฯ และเป็นต้นแบบของที่อื่นๆ ในประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน”

นิทรรศการ “มักกะสันสวนสร้างสรรค์” ซึ่งจัดแสดงรายละเอียดการเสนอนโยบายพัฒนาพื้นที่มักกะสันที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร จะจัดถึงวันที่ 29 มี.ค.นี้ และทันทีที่ปิดกิจกรรมลง เครือข่ายมักกะสันจะแถลงจุดยืนและทำจดหมายเพื่อยื่นถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อแสดงเจตจำนงของเครือข่ายต่อพื้นที่แห่งนี้ในทันที

จากนั้นขอให้ติดตามข่าวสารบนหน้าแฟนเพจ “เราอยากให้มักกะสันเป็นสวนสาธารณะและพิพิธภัณฑ์” (www.facebook.com/MakkasanHope) เอาไว้ให้ดี ทางเครือข่ายจะเปิดโหวตใน Change.org เพื่อสานต่อการโหวตด้วยลายมือ ณ จุดแสดงความคิดเห็นในนิทรรศการว่า สรุปแล้วประชาชนอยากให้มักกะสันเป็น “สวนสร้างสรรค์” หรือ “ห้างสรรพสินค้า” โดยตั้งเป้าเอาไว้ขั้นต่ำ 100,000 รายชื่อขึ้นไป

(ถึงเวลาแล้วที่คนไทยต้องลุกขึ้นมาทวงคืนคำสัญญา)

“คาดว่าน่าจะ 2-3 เดือนแล้วค่อยปิดโหวตครับ รายชื่อที่ได้ เราจะเอาไปสร้างกิจกรรมต่อเนื่อง เพราะทางเครือข่ายมุ่งหวังจะให้เป็นเครือข่ายในระยะยาว รณรงค์ร่วมกับพื้นที่มักกะสันเป็นหลัก แต่ในอนาคตอาจจะวิวัฒนาการเป็นเครือข่ายภาคพลเมืองไปได้ต่อไป โดยอาศัยโปรเจกต์มักกะสันเป็นจุดเริ่มต้น ตอนนี้กำลังทำเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ และกำลังจะตั้งเพจ “เครือข่ายมักกะสัน” เพิ่มด้วย อยากให้ทุกคนร่วมกันเข้ามาเป็นเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กันครับ



(ชัยวัฒน์ ผู้ก่อตั้งบางกอกฟอรั่ม ขอเชิญรัฐบาลมาวัดใจ!)
ผลการรวมตัวเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในครั้งนี้จะออกมาเป็นรูปแบบไหน ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ หนึ่งในภาคีและผู้ก่อตั้งบางกอกฟอรั่ม ขอทิ้งท้ายเอาไว้ว่า

การออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มคนในหลายๆ ครั้งที่สำเร็จและเป็นประวัติศาสตร์ มักเริ่มมาจากคนเพียงหยิบมือเดียวที่กล้าฝันเพียงพอทั้งนั้น และมีความตั้งใจมุ่งมั่นที่อยากจะทำให้เป็นจริง ไม่ต้องห่วงว่ารัฐบาลจะคิดอะไร จะมองยังไง เพราะครั้งนี้จะเป็นการวัดใจกันครับว่าคุณรักแผ่นดินแท้จริงหรือไม่ คุณรักที่จะมอบแผ่นดินนี้ให้กลุ่มทุนกลุ่มเดียว หรือจะให้ความสุขกับประชาชนทั้งมวล ครั้งนี้วัดใจกันเลยครับ!

“เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงามจะคืนกลับมา... เราจะทำอย่างซื่อตรง ขอแค่เธอจงไว้ใจและศรัทธา แผ่นดินจะดีในไม่ช้า ขอคืนความสุขให้เธอ ประชาชน...?


ชมคลิป Park Talk "มักกะสัน สวนสร้างสรรค์"


ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ Live
ข้อมูลเพิ่มเติม: แฟนเพจ “เราอยากให้มักกะสันเป็นสวนสาธารณะและพิพิธภัณฑ์”




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!

และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754




ข่าวที่เกี่ยวข้อง (คลิก)
- “มักกะสันสวนสร้างสรรค์” เพื่อเปลี่ยนกรุงเทพ!
- เปิดโมเดล สวนสร้างสรรค์ เพื่อเปลี่ยนกรุงเทพ
- “มักกะสันคอมเพล็กซ์” ก้อนเนื้อร้าย ทะลวงปอดชาวกรุง!!
กำลังโหลดความคิดเห็น