บึ้ม! เสียงระเบิดดังกึกก้อง สะเก็ดไฟพวยพุ่งไปทั่วแยกราชประสงค์ ชายคนหนึ่งล้มลงกับพื้น ขณะที่ผู้หญิงวัยกลางคน นอนแน่นิ่ง เด็กกำลังกรีดร้อง และยิ่งมองไปรอบๆ บริเวณภายในศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ ควันดำๆ ปกคลุมไปทั่ว มีร่างที่โดนแรงระเบิดนับสิบ นอนเกลื่อนกระจัดกระจาย
ร่องรอยหลุมลึกบริเวณรั้วที่พังลงภายในศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ บ่งชี้ว่า ระบิดถูกจุดขึ้นตรงนี้ อีกด้านไม่ไกลนัก เชื้อไฟกำลังลุกโหมไหม้จักรยานยนต์ บางคนพาตัวเองหลบหาที่กำบัง บางคนตั้งสติได้เริ่มวิ่งออกจากพื้นที่บ้างก็เข้ามาประคองคนเจ็บ
นี่คือ วินาศกรรมอันน่าสะพรึงกลัวที่ใหญ่สุดอีกครั้งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร เมืองฟ้าเมืองอมร กำลังถูกจดจำ และบันทึกขึ้นอีกครั้งในวันที่ 17 ส.ค.2558 ราวเกือบหนึ่งทุ่มตรง เป็นบันทักสีเลือดของสังคมไทยและการตั้งคำถามมากมาย...
เรื่องที่เราต้องอึ้งและเชื่อ!
ข่าวกำลังสะพัดและการสืบสวนกำลังโหมกระพือ แต่อีกด้านหนึ่งถูกพูดและตั้งคำถามในวงสนทนา หรือแม้แต่สภากาแฟ ในประเด็นที่ว่า องค์ท้าวมหาพรหมเอราวัณ คือ อภินิหารและมีความศักดิ์สิทธิ์ที่ใครไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เนื่องจากแรงระเบิดรุนแรงระดับนี้องค์ท่านแทบจะไม่ได้รับความเสียหาย มีเพียงรอยแตกเล็กน้อยจากแรงระเบิดบริเวณคาง ถึงขนาดนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนที่ลงพื้นที่ ยังพูดคุยกันว่า ระเบิดขนาดใหญ่ สามารถทำลายรถ รั้ว มีอานุภาพรุนแรง แต่กลับไม่สามารถทำลาย องค์ท้าวมหาพรหมเอราวัณได้ เป็นเรื่องที่แปลกดีนะ
มีรอยแตกเล็กน้อยที่บริเวณคาง
มีรอยแตกเล็กน้อยที่บริเวณคาง
ทั้งนี้จากการรายงานของทีมสืบสวนแจ้งวว่า ผลจากการตรวจสอบระเบิดดังกล่าว เป็นระเบิดแสวงเครื่องน้ำหนักประมาณ 3 กิโลกรัม หรือ 5 ปอนด์ จุดระเบิดอยู่ด้านในรั้วศาลพระพรหมเอราวัณ (เดินเข้าศาลพระพรหมเลี้ยวซ้าย ระเบิดถูกวางริมรั้ว)
อานุภาพของแรงระเบิดค่อนข้างแรงมากกระจกแถวโรงแรมไฮแอทเอราวัณ ชั้น 1-3 แตกหมด และรถยนต์ที่ติดไฟแดงได้รับแรงระเบิดเสียหายหลายคัน รวมทั้งรถจักรยานยนต์ที่จอดติดไฟแดง สร้างความเสียหายรัศมีโดยรอบ 100-200 เมตร ขณะที่องค์ท้าวมหาพรหมเอราวัณ อยู่ใกล้เพียงไม่กี่เมตร กลับได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย
มีการตั้งข้อสังเกตและแปลกอีกว่า เกือบทุกวัน บริเวณภายในศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาสักการะเป็นจำนวนมาก เรียกได้ว่า บางวันแทบจะไม่มีที่ยืน แต่วันเกิดเหตุ มีคนน้อยมาก ไม่กี่สิบคน แม่ค้าที่เคยขายดอกไม้บริเวณริมรั้ว วันนี้ก็ไม่ได้มาขาย ถ้าเหมือนทุกวันผู้คนคงบาดเจ็บล้มตายอีกจำนวนมาก
นักข่าวภาคสนาม เอเอสทีวีผู้จัดการ บอกว่าตำรวจเองก็อึ้ง แม่ค้าแถวนั่นก็เชื่อว่า หลายๆ เหตุการณ์มานั่งคิด ร้อยเรียง ตั้งแต่ ณ เวลาช่วง ก่อนเกิดเหตุประมาณหนึ่งทุ่ม คนมาไหว้น้อยกว่าปกติ และ แม่ค้าหลายคนก็ไม่ได้ขายดอกไม้บริเวณนั้น นี่คือ แรงปฏิหาริย์ความศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านท้าวมหาพรหมเอราวัณ ช่วยเราให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด
สี่แยกราชประสงค์อาถรรพ์ที่เฮี้ยนที่สุด
แม้วินาศกรรมครั้งนี้จะเกิดขึ้นจากกระทำของคน แต่สำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ ที่คุ้นเคยกับสี่แยกราชประสงค์จะรู้ดีกันว่า ที่นี่คือ “สี่แยกอาถรรพ์และคำสาปแช่ง” เรื่องจริงที่คนส่วนใหญ่มักจะลืมเลือนกันไป
ที่นี่ไม่ใช่เพียงคำร่ำลือ แต่ตามหลักฐาน และคำยืนยันจากผู้ค้นคว้าประวัติศาสตร์ มักจะบอกว่า ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ เพราะที่นี่คือ ที่ดินที่เฮี้ยนที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ต่อให้มีนำเทพองค์ใดมาบูชา ก็อาจกระทำได้เพียงขจัดปัดเปล่าให้เบาบางลงได้เท่านั้น
กาลหนึ่งของราชประสงค์ ณ ที่ปัจจุบันคือห้างยักษ์-เซ็นทรัลเวิลด์ แต่ก่อนเป็นวังเพชรบูรณ์ในรัชกาลที่ 4 และยังเป็นที่พื้นที่ที่มีคลองตัดผ่านถึงสองเส้น ซึ่งยุคนั้นยังเป็นป่ารก ทำให้สี่แยกแห่งนี้เป็นพื้นที่สัญจรมาแต่อดีต คนโบราณเชื่อว่าบริเวณที่เป็นทางแยกใหญ่ๆ มักจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดานางไม้สิงสถิตอยู่ อีกทั้งเมื่อพื้นที่วังซึ่งเป็นของกษัตริย์ ถูกสามัญชนรุกล้ำโดยมิได้บอกกล่าว จึงทำให้ราชประสงค์เป็นที่ ‘แรง’ ผู้ที่คิดจะทำธุรกิจย่านนี้ล้วนเคยได้รับบทเรียน
จุดบริเวณเคยเป็นที่ประหารนักโทษ สมัยก่อนให้นักโทษนุ่งโจงกระเบนสีแดงนั่งคุกเข่าเรียงๆ กันแล้ว แล้วให้เพชฌฆาตตัดคอทีละคน จึงเป็นที่แรงเฮี้ยน ร่ำลือ จะหาตัวตายตัวแทน เพื่อนเซ่นวิญาณที่สิงสถิตย์อยู่
อาจารย์วิศิษฐ์ เตชะเกษม ผู้ค้นคว้า ศึกษาประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมตะวันออก หรือที่ใครหลายคนยกให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยของไทย บอกผ่านทีมข่าว ASTVผู้จัดการ Live ถึงความอาถรรพ์บริเวณแยกราชประสงค์ว่า เคยเป็นที่ดินเฮี้ยน และมีการสาปแช่งไว้มากมาย เหมือนที่ดินเป็นของเจ้าในวังไม่อยากให้คนที่ไม่มีเชื้อสายเจ้าเข้ามาครอบครองหาผลประโยชน์ แต่หลังจากมีการตั้งศาลท้าวมหาพรหมตรงโรงแรมเอราวัณ สถานการณ์ต่างๆ ก็ดีขึ้น ทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของท้าวมหาพรหมเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง และมีผู้คนเดินทางมากราบไหว้จำนวนมาก
ตามข้อมูลด้านฮวงจุ้ย มีข้อมูลที่น่ากลัวเช่นกันว่า สี่แยกราชประสงค์ถือว่าเป็นอันตรายมากๆ เป็น ฮวงจุ้ยแบบ “ใบพัด “ เมื่อมีคนเยอะ ใบพัดก็จะหมุน มีเทพเจ้ามากมายแสดงอำนาจกันใหญ ทำให้ อาจจะมีเหตุร้ายที่คาดไม่ถึง นอกจากนี้สี่แยกราชประสงค์เป็นลางไม่ดี มีโรงพยาบาลตำรวจ เป็นเสมือน ประตูผี มีคนตายทุกวัน ถือ เป็นจุดที่เฮี้ยนมาก
อย่างไรก็ตาม แยกราชประสงค์ ภายหลังมีการอัญเชิญเทพต่างๆมาประดิษฐาน ก็เชื่อว่าเหตุการณ์ร้ายๆและคำสาบร้ายจะหมดไปและมีแต่เรื่องดีเกิดขึ้น หนึ่งในองค์เทพนั้นก็คือ ท้าวมหาพรหมเอราวัณ
ความศักดิ์สิทธิ์ท้าวมหาพรหมเอราวัณ
บทความจาก วิกิพีเดีย ได้ลำดับถึง จุดกำนิดการอัฐเชิญท้าวมหาพรหมเอราวัณว่า เมื่อ พ.ศ. 2494 พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ กำหนดให้มีการก่อสร้างโรงแรมเอราวัณ ขึ้นบริเวณสี่แยกราชประสงค์ เพื่อรองรับแขกต่างประเทศ ว่ากันว่าในช่วงแรกของการก่อสร้างเกิดอุบัติเหตุขึ้นมากมาย เมื่อการก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ ปลายปี พ.ศ. 2499 ทาง บริษัท สหโรงแรมไทยและการท่องเที่ยว จำกัด ผู้บริหารโรงแรมได้ติดต่อ พลเรือตรีหลวงสุวิชานแพทย์ ร.น. นายแพทย์ใหญ่ กองทัพเรือ ผู้ทรงคุณวุฒิในเรื่องการนั่งทางใน เข้าดำเนินการหาฤกษ์วันเปิดโรงแรม
พลเรือตรีหลวงสุวิชานแพทย์ ร.น. ได้ท้วงติงว่า ในการก่อสร้างโรงแรมไม่ได้มีการทำพิธีบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณนั้นก่อน ฤกษ์ในการวางศิลาฤกษ์ของโรงแรมก็ไม่ถูกต้อง อีกทั้งชื่อของโรงแรม "เอราวัณ" นั้น เป็นชื่อของช้างทรงของพระอินทร์ ถือเป็นชื่อที่ศักดิ์สิทธิ์ จำเป็นต้องมีการบวงสรวงที่เหมาะสม วิธีการแก้ไขจะต้องขอพรจากพระพรหมเพื่อช่วยให้อุปสรรคหมดไป และจะต้องสร้างศาลท้าวมหาพรหมขึ้นทันทีหลังจากการก่อสร้างโรงแรมแล้วเสร็จ และสร้างศาลพระภูมิขึ้นไว้ในโรงแรม
จึงได้มีการตั้งศาลท้าวมหาพรหม ออกแบบตัวศาลโดยนายระวี ชมเสรี และ ม.ล.ปุ่ม มาลากุล องค์ท้าวมหาพรหมปั้นด้วยปูนปลาสเตอร์ปิดทอง ออกแบบและปั้นโดยนายจิตร พิมพ์โกวิท ช่างกองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร และอัญเชิญพระพรหมมาประดิษฐานที่หน้าโรงแรมเอราวัณเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 ตามแผนงานครั้งแรก องค์ท้าวมหาพรหมจะเป็นโลหะหล่อสีทอง แต่เนื่องจากระยะเวลาจำกัดด้วยฤกษ์การเปิดโรงแรม จึงได้เปลี่ยนวัสดุเป็นปูนปั้นปิดทองแทน
ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ ถือเป็นศาลพระพรหมศาลแรกที่มีขนาดใหญ่ ในเวลาต่อมาเมื่อมีการสร้างศาลพระพรหมไว้บูชาในอาคารหรือสถานที่ขนาดใหญ่ จะยึดแบบการสร้างจากศาลท้าวมหาพรหมที่โรงแรมเอราวัณ เนื่องจากความเชื่อว่าจะช่วยปัดเป่าความขัดข้อง อุปสรรค และส่งเสริมโชคและความสำเร็จ
แต่เหตุกาณ์ที่ทุกคนไม่คาดคิด เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้วกลางดึกในคืนวันที่ 21 มีนาคม 2549 นายธนากร หรืออามีน ภักดีผล อายุ 26 ปี นับถือศาสนาอิสลาม มีอาการป่วยทางประสาท ได้บุกปีนรั้วเข้าไปในศาลท้าวมหาพรหม ดึงค้อนที่เหน็บเอวขึ้นกระหน่ำตีองค์เทวรูปจนแตกกระจายต่อหน้าต่อตาผู้ที่ยืนสักการะอยู่ด้านนอกจำนวนมาก ก่อนจะวิ่งปีนรั้วหนี ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ได้วิ่งตามไปช่วยกันล็อกตัวบริเวณหน้าโรงแรม กระทั่งเกิดการชุลมุนรุมประชาทัณฑ์หนุ่มเสียสตินิรนามรายนี้จนเสียชีวิตคาที่
หลังเกิดเหตุฝ่ายสืบสวน สน.ลุมพินี สามารถจับกุมนายศักดิ์ศรี กลิ่นบัว อายุ 27 ปี และนายเกษมศรี การุณวงษ์ อายุ 42 ปี พนักงานรักษาความสะอาดของสำนักงานเขตปทุมวัน ที่ร่วมกันรุมประชาทัณฑ์นายธนากรจนเสียชีวิต
ต่อมา วันที่ 22 มีนาคม 2549 รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร โดยนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการประสานการบูรณปฏิสังขรณ์ ร่วมกับมูลนิธิทุนท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ มีมติให้สร้าง “พระพรหม” องค์ใหม่ขึ้นมาทดแทนองค์เดิม โดยมอบหมายให้กองช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม รับไปดำเนินการ กระทั่งการสร้างพระพรหมองค์ใหม่แล้วเสร็จ และมีกำหนดการพิธีอัญเชิญ และสมโภชองค์ท้าวมหาพรหม ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2549 ปัจจุบัน ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ อยู่ในความดูแลของ "มูลนิธิทุนท่านท้าวมหาพรหม"
เชื่อแบบมีสติ มีเหตุ มีผล
อาจารย์วิศิษฐ์ เตชะเกษม ให้ข้อคิดว่า จะมีอภินิหาร หรือ ความศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็ตาม แต่จุดสำคัญตอนนี้คนไทยต้องช่วยกัน ร่วมมือกัน เราต้องมีสติ พาประเทศชาติให้พ้นภัยจากอันตราย
"องค์ท่านเป็นประติมากรรม ท่านจะมีความศักดิ์สิทธิ์หรือไม่อยู่ที่คนไหว้ ถ้าคนไหว้มีศรัทธา และมีความตั้งใจในการทำชีวิตให้ดี ความศักดิ์สิทธิ์ก็จะเกิดขึ้น แต่ถ้าคนไหว้ไม่มีความศรัทธา ไม่มีความเพียร ความสำเร็จก็คงไม่เกิดขึ้น ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าผมไม่เชื่อความศักดิ์สิทธิ์ของพระพรหม แต่แทนที่จะมองเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพราะความเพียร หรือเกิดขึ้นเพราะการใช้หลักเหตุผล หรือหลักของพระพุทธองค์ กลับไปคอยพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากคิดกันแบบนี้หมด สังคมไทยก็จะกลายเป็นสังคมที่อ่อนแอ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้"
ทางที่ดี ควรให้ท่านเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และกราบไหว้เพราะท่านมีพรหมวิหาร 4 นั่นก็คือ เมตตา กรุณา อุเบกขา มุทิตา
"คำว่าศักดิ์สิทธิ์ ภาษาบาลีมาจากคำว่า 'ศักยภาพ' กับ 'สิทธิ' ที่แปลว่าความสำเร็จ เพราะฉะนั้น ศักดิ์สิทธิ์จึงหมายถึงความสามารถในการประสบความสำเร็จ การกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราจึงต้องอาศัยความสามารถของเราเองด้วย ถามว่ามีคนไปทำลายท่าน หรือมีเหตุร้ายๆ เกิดขึ้นตรงบริเวณที่ตั้งของท่าน ท่านจะเสื่อมไหม ไม่เสื่อมครับ เรื่องแบบนี้อยู่ที่ประชาชน
คนไทยควรสงบปากสงบคำ บางทีมันอาจทำให้ผู้ก่อการได้ประโยชน์มากขึ้น เพราะทำให้คนสับสน ทางที่ดี ช่วยกันหาข้อมูลที่ถูกต้อง และแก้ไขปัญหาด้วยทางที่ถูกต้อง ส่วนเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดครับ สิ่งใดก็ตามถ้ามันประสบความสำเร็จ ขึ้นอยู่กับว่า เวลาเหมาะสมหรือไม่ สถานที่เหมาะสมหรือไม่ บุคคลเหมาะสมหรือไม่ พฤติการณ์เหมาะสมหรือไม่" อาจารย์วิศิษฐ์ กล่าวทิ้งท้ายถึงระเบิดกลางกรุงครั้งล่าสุด
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live
มาสร้างแรงบันดาลใจไปด้วยกัน!!ตัวอย่างงานในเซ็กชั่นทั้งหมด>>>...
Posted by ASTV ผู้จัดการ Live on Friday, August 21, 2015
รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754