ลับ-ลวง-พราง ไม่จบไม่สิ้น! หลังเจ้าของที่ดินแปลงใหญ่ประจำชุมชน “เพชรเกษมซอย 15 แยก 5” ถูกสังคมกระหน่ำเละว่าเป็น “นายหน้าค้าที่หน้าเลือด” จงใจสร้างรั้วสังกะสีปิดทางเข้าออกหน้าบ้านคุณป้าวัยเกษียณ 2 ราย กับคุณพ่อวัย 97 ซึ่งมีโรคประจำตัว จนต้องอดอยากอยู่ในบ้าน เก็บผลหมากรากไม้ในสวนกินเป็นเวลาถึง 16 วันเต็ม! เพื่อบีบให้คนแก่ๆ ทั้ง 3 รายยอมย้ายและขายที่ให้ โดยทางอ้อม
เมื่อทนคำครหาไม่ไหว ผู้ถูกสังคมสาปแช่งจึงส่งทนายความออกมาแฉแง่มุมสีเทาบนพื้นที่ของ 2 ป้า 1 ตาบ้างว่า มีผลประโยชน์ขัดแย้งที่ถูกเก็บงำไว้ แต่เมื่อนำข้อมูลเดียวกันนี้กลับไปถามบ้านที่เคยถูกปิดตายใหม่ กลับได้ทราบว่าข้อมูลจากอีกฝั่งคือความจริงที่เล่าไม่หมด คือหนังคนละม้วนที่ต้องตั้งสติพิจารณาให้ดี หากไม่อยากหลงทางเพราะข้อมูลที่อาจมีเบื้องลึกเบื้องหลังซ่อนเร้น!
[คลิป] ลงพื้นที่ สืบความจริง 2 ด้าน หนังคนละม้วน! บ้านปิดตาย “เพชรเกษม 15”
เปิดใจทนาย ฝ่ายถูกกล่าวหา “นายทุนหน้าเลือด”!!
(คุณนิตยา เจ้าของที่ในซอยเพชรเกษม 15 - ขอบคุณภาพ news.tlcthai.com)
“ที่พูดกันว่า “นายทุนหน้าเลือด” ผมถามหน่อยเถอะว่าเขารู้ข้อมูลตรงนี้ไหม คุณป้าเล่าให้ฟังไหมว่าเดิมเราเคยทำกำแพงยังไง ไม่ใช่แบบปิดตาย และทำไมเขาไม่เข้ามาเจรจาก่อน อยู่ดีๆ เขามาฟ้องจะเอาที่ทั้งซอยเป็นทางเดินเขา คุณว่ามันสมเหตุสมผลไหม คุณนิตยา (เจ้าของที่) ซื้อที่มา 30 กว่าล้านในการขายทอดตลาด 7 ปีแล้ว ทำอะไรไม่ได้เลย ต้องมาคอยสู้คดี เสียค่าทนาย เสียค่าใช้จ่ายอีกเท่าไหร่
ทางเดินกลางซอยตรงนั้นมันคือกลางที่เลยนะ ถ้าเกิดผมเปิดให้ป้าเขาเดินเข้าออกตลอดเวลา มูลค่าที่จะขายต่อคนอื่นเขาจะเอาไหม และต้องเปิดพื้นที่ข้างหลังอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ล้อมรั้วไม่ได้ มันเสียมูลค่าอยู่แล้ว ทางเราต้องรับภาระเยอะไหม แทนที่เขาจะไปขอทางเดินตรงขอบแปลง หรือไปขอทางสาธารณะ ให้เขาไปร้องทางเขตดู
(วงกลมสีแดง บ้านสุดซอยเพชรเกษม 15 แยก 5 บ้านของ 2 ป้า 1 ตา)
คุณนิตยามาซื้อที่ดินฉบับ 580 มาจากกรมบังคับคดี ซื้อมาเมื่อตอนปี 2550 พอซื้อมาเสร็จ ก็ได้ดำเนินการแจ้งไปยังป้าสุนีย์ (บ้านท้ายซอยที่ถูกกั้นรั้วปิด) ให้มาเจรจาว่าจะปิดทางแล้วนะ ส่วนเหตุผลของการปิดเพราะต้องการสร้างอาณาเขตของตัวเอง เนื่องจากพื้นที่ด้านหลังมีโจรมีอะไรเยอะแยะ ฝั่งนู้นก็เป็นป่ารก มีการเสพยากันเยอะ เขาก็ต้องการรักษาความปลอดภัยของเขาไว้ ก็เลยต้องปิด”
(วิสูตร ปราโมทย์ ทนายประจำสำนักงาน เนติ 33)
วิสูตร ปราโมทย์ ทนายประจำสำนักงาน เนติ 33 ซึ่งเป็นทนายความผู้ดูแลคดีความให้แก่ “นิตยา ตันติบุญชูวงศ์” ผู้เป็นเจ้าของที่ดินชุมชนเพชรเกษมซอย 15 คู่กรณีผู้สั่งสร้างรั้วสังกะสีปิดตายทางเข้าออกบ้านของ 2 ป้า 1 ตา อธิบายด้วยน้ำเสียงอึดอัดใจ
สาเหตุที่ต้องสร้างรั้วสังกะสีสูงกว่า 2 เมตรขึ้นมาปิดกั้นทางเข้าออกหน้าบ้านผู้สูงอายุทั้ง 3 รายให้กลายเป็นเรื่องเป็นราวกันขึ้นมา เป็นเพราะความต้องการของเจ้าของที่ที่ต้องการรักษาความปลอดภัย จึงอยากล้อมรั้วให้แก่ลูกบ้านผู้อยู่อาศัยในอาคารเช่าทั้งซอย แต่เนื่องจากบ้านของคุณครูกุลธร-คุณครูสุนีย์ คู่กรณีตั้งอยู่ท้ายซอย และมีทางเข้าออกบ้านตรงกับบริเวณสุดซอยพอดี การกั้นพื้นที่จึงกลายเป็นการทำให้บ้านหลังนี้กลายเป็น “ที่ตาบอด” ไปโดยปริยาย เพราะไม่มีทางเข้าออกอื่นอีกแล้ว
(ก่อนหน้านี้ถูกกั้นรั้วปิดตาย เดินเข้าออกไปซื้อของไม่ได้ ต้องใช้วิธีนี้ประทังชีวิต)
แม้ทางฝั่งทนายผู้ล้อมรั้วจะอ้างว่ายังมี “ทางสัญจรสาธารณะ” อยู่ทางหลังบ้านอีก แต่จากการลงพื้นที่ของทีมข่าว ASTVผู้จัดการ Live เมื่อครั้งก่อนทำให้ทราบว่าเป็นเส้นทางที่ใช้ไม่ได้จริง โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุซึ่งขาไม่ดีจนต้องอาศัยไม้เท้าช่วยค้ำหนึ่งราย และที่เดินไม่ไหวจนต้องนั่งรถเข็นอย่างคุณตาอีกหนึ่งราย จึงกลายเป็นว่าถ้ายังมีรั้วสังกะสีกั้นปิดตายอยู่เหมือนเดิม ทั้งคุณป้าและคุณตาจะไม่อาจเดินเท้าเข้าออกฝั่งหน้าบ้านได้เพราะจะถูกข้อหาบุกรุกพื้นที่ แถมยังไม่อาจใช้เส้นทางหลังบ้านได้อีกด้วย เพราะปัจจุบันทางสำนักงานเขตบางกอกใหญ่ยังไม่ได้เข้ามาปรับปรุงพื้นที่ แต่มีแนวโน้มว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น อย่างที่ระบุเอาไว้ในหนังสือ ส่งตรงถึงครูกุลธร พิเชษฐกิจ คุณป้าวัย 65 ผู้อยู่อาศัยในบ้านท้ายซอย
(ทีมข่าวสำรวจพื้นที่ทางออก เต็มไปด้วยทางกันดาร)
(ต้องห้ามลำน้ำ ไม่ง่ายแน่ๆ สำหรับผู้สูงอายุทั้ง 3)
(ทางแคบ แถมเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง ไม่มีทางสำหรับรถเข็น)
“หากจะพัฒนาคลองวัดประดู่ โดยการก่อสร้างเขื่อนหรือรางระบายน้ำ เพื่อจะอาศัยแนวสันเขื่อนหรือขอบรางระบายน้ำเป็นทางเดินเข้า-ออก จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ ไม่สามารถดำเนินการได้ในขณะนี้”
หลังขึ้นโรงขึ้นศาลกันไปเมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมาด้วยข้อบาดหมางเรื่องการกั้นรั้วและรื้อถอนที่เกิดขึ้น ทางออกก็เริ่มชัดเจนมากขึ้น โดยทางทนายความฝั่งเจ้าของอพาร์ตเมนต์ออกปากว่า จะไม่สั่งปิดตายรั้วสังกะสีหน้าบ้านยายไปจนกว่าทางออกด้านหลังจะสร้างเสร็จ สรุปคือถ้าเข้ามาเจรจากันดีๆ จะยินยอมให้เดินผ่านเข้าออกได้ชั่วคราว ไม่โดนข้อหาบุกรุกเหมือนที่เคยใช้แจ้งข้อหาเมื่อก่อนหน้าอีกแล้ว แต่ยังคงยืนยันว่าเป็นเพียงทางเดิน “ชั่วคราว” เพราะถึงอย่างไรก็ตั้งใจจะปิดแนวรั้วให้มิดอยู่ดีในวันข้างหน้า
(จากปากซอย มุ่งสู่หน้าบ้านคุณป้า เส้นทางที่เดินผ่านไม่ได้)
“ให้เปิดตอนนี้ก็ได้ แต่มันต้องมีเงื่อนไข เงื่อนเวลาระบุว่าจะเปิดไปจนถึงเมื่อไหร่ ทุกอย่างมันต้องมีกฎเกณฑ์ ไม่ใช่จะมาอาศัยสิทธิของคุณอย่างเดียว ที่ต้องปิดอย่างที่เห็น มันเริ่มมาจากครั้งแรกหลังจากเราซื้อที่มา ผมเรียกคุณป้าเขามาไกล่เกลี่ยแล้ว แต่เขาก็นิ่ง ผมก็เลยล้อมรั้วครั้งแรก คือตอนแรกเราจะอนุญาตให้เขาใช้ทาง แต่ต้องเซ็นเป็นหลักฐานว่ามาขอใช้ทางโดยเราอนุญาตให้ใช้ เพราะถ้าเราไม่ทำแบบนี้ แล้วปล่อยให้เขาเดินผ่านไปผ่านมา 10 ปี ทางเดินตรงนี้ก็จะกลายเป็น “ทางภาระจำยอม” ของเขาโดยผลของกฎหมาย แต่คุณป้าไม่มาเซ็น ผมเลยต้องล้อมรั้วและทำกำแพงเป็นรูปตัวแอลซ้อนขึ้นมา ตั้งแต่ปี 2551”
(เคยมีกรณีล้อมรั้วครั้งแรก มาตั้งแต่ปี 2551)
(สร้างกำแพงอิฐฉาบปูนอีกชั้นหลังรั้วสังกะสี สร้างทางเดินเป็นรูปตัว L เพื่อประกาศสิทธิเจ้าของที่)
(คุณป้าและตา ออกมาจากบ้านต้องเลี้ยวซ้าย ผ่านร่องเล็กๆ ในปี 2551 จึงต้องฟ้องละเมิดสิทธิ)
ขั้นตอนการล้อมครั้งแรก ยังไม่ได้เป็นรั้วสังกะสีปิดตายทั้งหมด แต่เว้นช่องทางออกเอาไว้ให้ 1 ช่อง ขนาดกว้าง 2 เมตร บวกกับกำแพงซีเมนต์กั้นอยู่อีกทบหนึ่ง กลายเป็นว่าเวลาเดินออกมา คุณป้าจะเจอกำแพงให้ต้องเดินเลี่ยง เลี้ยวซ้ายไปตามแนวช่องแคบๆ เกือบเท่าตัวคนพอดี แต่ถึงอย่างไรก็เดินได้ลำบากกว่าเดิมอีกหลายเท่า และที่สำคัญ ไม่อาจเอาเข็นรถเข็นผักออกมาขายได้ เช่นเดียวกับที่รถเข็นคุณตาเองก็ผ่านไปไม่ได้ จึงเป็นที่มาที่ทำให้คุณป้าฟ้องร้องว่าทางเจ้าของอพาร์ตเมนต์ข้อหาละเมิดสิทธิ แต่สุดท้าย คุณป้าและครอบครัวก็พ่ายคดีนี้ไปทั้งศาลชั้นต้น, อุทธรณ์ และฎีกา จึงเป็นที่มาของคำพิพากษาเมื่อปี 2557 ที่ออกมาว่าการล้อมรั้วปิดตายสามารถทำได้ ไม่เป็นการละเมิด
“ที่ต้องสร้างกำแพงขึ้นมาบล็อกอีกทบหนึ่ง เพื่อให้รู้ว่ามันไม่ใช่ทางสัญจรสาธารณะ แต่มันเป็นทางส่วนบุคคล มีกำแพงกั้นอยู่ แต่การกั้นแบบนี้ก็จะทำให้คุณป้าไม่สะดวกนิดหนึ่ง เพราะคุณยายต้องเดินเลียดทางและอ้อมออกมา ตามที่คุณป้าบอกไว้ว่าต้องเดินออกไปซื้อยามาให้คุณพ่อของเขา
ผมถามว่าการสร้างกำแพงเป็นรูปตัวแอลเพื่อแสดงสิทธิของเรา มันใจร้ายไหมล่ะ ทั้งๆ ที่จริงๆ เรามีสิทธิที่จะปิดกั้นได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ คุณว่าใจร้ายไหมล่ะ? เขาว่าเราเป็นนายทุนหน้าเลือด เพราะมันเป็นทางเดินในซอย เขามีไว้ให้คนในซอยที่เช่าบ้านอยู่ 2 ข้าง เดินเข้าออก อำนวยความสะดวกให้ผู้เช่าบ้านเท่านั้นเอง แต่อันนี้เขาอนุญาตให้เดิน เหมือนคนมักคุ้นกันที่ขอเดิน เราก็ให้เดิน แต่คนในซอยอื่นเข้าไม่ได้นะ”
ทำไมไม่รอให้ทางหลังบ้านสร้างเสร็จก่อน แล้วค่อยกั้นรั้วปิดตาย จะได้ไม่ทำให้คนในบ้านหลังนี้เดือดร้อน ออกไปรับยาจากโรงพยาบาลให้คุณตาไม่ได้ แถมยังลำบากถึงขั้นต้องคอยรับส่งเสบียงจากคนนอกด้วยการผูกเชือกที่ตะกร้าโยงข้ามรั้วสูงๆ ลงมา? ทนายปากเอก ตัวแทนเจ้าของที่ดินซอยเพชรเกษม 15 ก็ได้แต่ตอบว่าเป็นเพราะ “เขาแสดงเจตนาไม่บริสุทธิ์กับเรา” ด้วยมุมมองที่ว่าทางคุณป้าไม่ยอมเข้ามาเจรจาตั้งแต่แรก แต่กลับไปฟ้องศาลว่าละเมิดสิทธิ ความประนีประนอมจึงไม่หลงเหลือ จนเรื่องต้องถึงโรงถึงศาลอย่างที่เห็น ด้วยเหตุผลแบบนี้ ถ้าถามว่า “ใจร้ายหรือไม่?” “หน้าเลือดหรือเปล่า?” ก็คงต้องแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน
ขอใช้สิทธิทนาย แฉเบื้องหลังที่ดินคุณป้า
(ทนายเผย เจ้าของที่ดินของ 2 ป้า 1 ตา ไม่ใช่ตัวจริง)
ก่อนจะมุ่งสู่ประเด็นสำคัญถัดไป ทนายคู่ใจ “นิตยา ตันติบุญชูวงศ์” ขอแก้ต่างให้เจ้านายเสียก่อน ประเด็นถูกกล่าวหาว่าเป็น “นายหน้าค้าที่” เป็นผู้ใช้อำนาจมืดบีบให้บ้านท้ายซอยซึ่งมีเนื้อที่ 4 ไร่ 57 ตารางวาแห่งนี้ออกโดยทางอ้อม เพื่อนำไปขายทอดตลาดให้แก่คอนโด-บ้านจัดสรรรายยักษ์ในภายหลัง ด้วยทำเลงามๆ ใกล้กับรถไฟฟ้า “ตลาดพลู” และกำลังจะมีรถไฟฟ้าใต้ดินผุดมารองรับความสะดวกสบาย คนเล่นอสังหาฯ รู้กันว่าซื้อง่ายขายคล่องอยู่แล้ว ซึ่งข้อมูลตรงนี้ ทางทนายขอบอกเลยว่าเป็นข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด
“คุณนิตยาเขาเสียใจครับ เพราะเขาก็ไม่ได้เป็นตามที่โซเชียลมีเดียลงกัน เขาไม่ใช่นายทุนหน้าเลือดอย่างที่ถูกกล่าวหา ไม่ใช่นายทุนด้วย เขาก็เป็นคนค้าขายตามปกติ ขายลอตเตอรีอยู่วงเวียนใหญ่ เก็บเงินของเขามาซื้อ ไม่ใช่เขาจะจนแบบไม่มีเงิน แต่คำว่านายทุนมันก็ไม่ใช่ เขาไม่ได้เล่นที่แบบนายทุน แต่เขาแค่ซื้อที่ตามประสาคนพอมีเงินที่อยากซื้อที่เท่านั้นแหละ ก็หวังว่าทุกคนจะเข้าใจเพราะเขาก็ยินดีที่จะเจรจา เพียงแต่ขอให้เข้ามาเจรจา
(คลองวัดประดู่ เส้นทางน้ำเน่าที่รอคอยให้สำนักงานเขต เข้ามาพัฒนาเป็นทางเท้าสัญจรสาธารณะ)
เขามีอพาร์ตเมนต์ที่อื่นอีกบางที่ แต่ไม่เคยมีปัญหาแบบนี้ เขาก็ซื้อที่จากการขายทอดตลาด โดยไม่รู้หรอกว่าจะมีปัญหาอะไรตามหลังหรือเปล่า เพราะเขาก็ซื้อมาจากกรมบังคับคดีที่มีการประกาศขาย ไม่รู้มาก่อนเลยว่าคุณป้าจะมีความขัดแย้งกับเจ้าของที่ดินของตัวเองมาก่อน ผมก็ทำงานกับเขามาเกือบ 10 ปีแล้ว ตัวผมก็อยู่ในซอยนี้มาเหมือนกัน
ส่วนเรื่องข่มขู่คุณป้า ไม่มีหรอกครับ ผมยืนยันได้เลยว่ามีแต่เขานั่นแหละ ข้างบ้านกล้ารบกวนเขาหรือเปล่า ขนาดคุณนิตยาแค่ไปสวดมนต์ไหว้ศาลเจ้าที่ตั้งอยู่หน้าบ้านเขา ยังโดนเคาะสังกะสีเลย เขาอ้างว่าเคาะสังกะสีไล่หมา และที่คุณป้าแกบอกว่าเป็นชาวสวน แต่ผมก็ไม่รู้นะ ไม่เคยเห็นคุณป้าเข็นรถมะม่วง มะพร้าวอะไรออกมาเลย ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเขาเดินทางไหน”
(อธิบายข้อครหาจากทนาย กรณีเคาะสังกะสีไล่คือความเข้าใจผิด มันคือกิจวัตรเคาะขี้ยากันยุงออกจากกล่อง)
ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ทนายรายเดิมยังคงเสริมต่อประเด็นร้อนชวนสงสัยต่อไป โดยเผยเบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวกับที่ดิน 4 ไร่ 57 ตารางวาของ 2 ป้า 1 ตาว่า จริงๆ แล้วที่ดินตรงนั้น ไม่ใช่ที่ของทั้ง 3 ท่าน แต่มีเจ้าของที่ตัวจริงที่ชื่อ “อุบลศรี กระแสร์ชล” ครอบครองอยู่ ซึ่งได้ฟ้องศาล ขับไล่ผู้อยู่อาศัยทั้ง 3 รายนี้ออกไปแล้ว แต่ทั้งหมดยังไม่ยอมออก
“พื้นที่ที่คุณป้าอ้างว่าเขาปลูกบ้านอยู่ในเลขที่ 199 และเป็นเจ้าของที่อยู่ 4 ไร่อยู่ ณ ตอนนี้ ความจริงแล้วเป็นที่ของ นางสาวอุบลศรี คนที่เป็นเจ้าของที่ตัวจริง ซึ่งเป็นที่ที่ไม่เคยประกาศขาย ทางเราก็ไม่เคยคุยกับคุณอุบลศรี เขามีการฟ้องร้องไล่ที่กันมาตั้งแต่เรายังไม่เข้ามาแล้ว และศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ทุเลาในการบังคับคดี หมายความว่ายายสุนีย์และบริวารทั้ง 3 คน จะต้องออกไปจากบ้านเลขที่หรือรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ของนางสาวอุบลศรี
หมายความว่าระหว่างนี้ ถ้าเจ้าของที่เชิญออกแล้วไม่ออก เขาสามารถนำตำรวจมาปฏิบัติตามคำพิพากษา มาเจรจา หรือกักขังไว้ตามหมายที่ศาลออกมา แต่ตอนนี้ ทางเจ้าของที่ดินคุณป้า เขายังไม่ดำเนินการถึงขั้นนั้น ก็ถือว่าเขายังใจดีอยู่เลยยังไม่ทำ มาจนถึงตอนนี้ คุณป้าก็ยังไม่ย้ายออก เขายังดื้อแพ่ง เพราะคดีแบบนี้มันไม่มีโทษจำคุกอะไร ถ้าโจทก์ไม่นำตำรวจมาจับและถ้าเราไม่มีหมายไป ก็จับเขาไม่ได้
ด้วยความที่เราเป็นทนาย เราสามารถจะคัดคำพิพากษามาดูได้ว่า จำเลยคนนี้คือใคร เคยถูกฟ้องดำเนินคดีอะไรแล้วบ้าง ผมก็เลยใช้ข้อมูลตรงนี้มาสู้ทุกคดีว่าเขาไม่ใช่เจ้าของที่ แม้กระทั่งในคดีที่ศาลฎีกาพิพากษาให้คุณนิตยาชนะ ผมก็สู้ในประเด็นที่ว่าเขาไม่ใช่เจ้าของที่ เพราะฉะนั้น เขาไม่มีสิทธิที่จะขอทางภาระจำยอมหรือออกทางเดินนี้ เขาจะต้องไปออกทางสาธารณะตามจุดอื่น”
เมื่อทีมข่าวนำข้อมูลจากฟากนี้ ไปถามหาความจริงจากฝั่งครอบครัวพิเชษฐกิจ กลับได้รายละเอียดในมุมที่แตกต่างไปอีกคนละด้าน ไม่ต่างไปจากหนังคนละม้วนอย่างไรอย่างนั้น ทันทีที่ได้ทราบเรื่อง ครูกุลธรและครูสุนีย์ก็ถึงกับเหลืออดกับพฤติกรรมเช่นนี้ เพราะดูเหมือนอีกฝั่งจะไม่ฟังคำแนะนำของศาลที่บอกเอาไว้ว่า “อย่าโหมไฟใส่กัน” คือให้เลิกใส่ไฟและเจรจากันด้วยเหตุผล แล้วเรื่องทุกอย่างจะยุติลงอย่างสงบสุข
ด้วยเหตุผลข้างต้นนี้เองจึงทำให้ทีมข่าวมาถึงบางอ้อในภายหลังว่า เหตุใดการเคาะประตูขอสัมภาษณ์ในครั้งนี้จึงแตกต่างออกไปจากครั้งแรกที่มาลงพื้นที่ ดูครูทั้งสองท่านแทบไม่อยากจะเปิดประตูต้อนรับเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดในความขัดแย้งกรณีนี้อีกแล้ว ต้องให้ทีมข่าวอธิบายอยู่นานกว่าจะมีท่าทีอ่อนลงและยอมเผยข้อมูลจากอีกฝั่งให้ฟัง
(เหนื่อยหน่ายกับผลที่ได้รับ แทบไม่อยากให้สื่อมาทำข่าวอีกแล้ว)
“ศาลท่านให้ไกล่เกลี่ยแล้วไปหาข้อยุติร่วมกัน แต่กลายเป็นว่า อีกฝ่ายเขาให้ข้อมูลโจมตีเป็นลบ แล้วก็ทำท่าพยายามจะยั่วยุให้เกิดเรื่องเรื่อยๆ ไม่ให้จบ โดยเฉพาะเรื่องที่ไปคุ้ยคดีความเกี่ยวกับที่ดินผืนนี้ของเรา ซึ่งเป็นเรื่องความขัดแย้งภายในครอบครัวระหว่างญาติพี่น้องของเราแบบนี้ ตอนแรกที่ครูไม่ได้พูดเรื่องนี้ เพราะคดีนั้นมันยังไม่จบ และเราก็ไม่อยากจะสาวไส้ให้กากิน เพราะฉะนั้น ครูเลยไม่อยากให้รายละเอียดอะไรมากมาย แต่ยืนยันได้ด้วยความบริสุทธิ์ใจเช่นเดิมว่า เราเป็นเจ้าของที่ผืนดินผืนนี้จริงๆ ค่ะ แต่เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการเซ็นชื่อในโฉนดเจ้าของที่ เลยทำให้ตอนนี้ชื่อตกเป็นของญาติฝั่งพ่อ และยังต้องสู้คดีกันอยู่ เลยทำให้ครูยังพูดอะไรมากไม่ได้
และการที่ทางทนายความของคู่กรณีหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูด มันถือว่าเป็นการไร้มารยาทอย่างยิ่ง ขอให้ทุกคนรับทราบและผู้ที่อ่านสื่อใช้วิจารณญาณอย่างดีด้วยนะคะว่า การที่ทนายของเนติ 33 ในซอยเพชรเกษม 15 มาทำแบบนี้มันถูกต้องไหม ได้ทำตามที่ศาลสั่งมาหรือเปล่า จริงๆ แล้วมันเป็นการกระทำที่ไร้มารยาทของผู้มีความรู้ทางกฎหมายมากๆ นะคะ ฝากไว้ด้วย
คุณไม่ปฏิบัติตามคำศาลที่ท่านพยายามไกล่เกลี่ย ที่ท่านอุตส่าห์พยายามชี้แจง พยายามพูดจนคุณรับปากกัน แต่พอออกนอกศาล คุณก็มาใช้วิธีนี้ ถามว่ามันถูกต้องไหม และที่คุณจะมาบอกว่าตั้งแต่ออกจากศาลมา เรายังไม่เข้าไปเจรจาขอประนีประนอมเลย ทั้งๆ ที่คุณเป็นฝ่ายบอกเองว่า ขอเวลาคุยกับญาติพี่น้องก่อนสัก 2-3 วัน แล้วนี่มันเพิ่งผ่านไปกี่วัน และถ้าคนฝั่งนั้นเขามีใจให้กันจริงๆ เขาก็โทร.มาก็ได้ใช่ไหมคะ เพราะต่างฝ่ายต่างมีเบอร์ติดต่อกันแล้วด้วย
คุณเป็นเจ้าของที่แปลงนอก คุณอ้างมาตลอดว่าคุณได้เปรียบ แต่ทำไมคุณไม่ยื่นเมตตาธรรมมาตรงนี้บ้างล่ะคะ สังคมจะได้ชื่นชมคุณว่า โอ้โห! เขาออกมาแก้ตัวแล้วนะ จากการที่ไปรังแกคนเฒ่าคนแก่เอาไว้ ซึ่งประเด็นนั้นเราก็ไม่ได้เรียกร้อง ไม่ต้องอ้างหรอกค่ะว่าเราใช้ความเป็นครู หรือความเป็นผู้สูงอายุมาเรียกร้องความสนใจ อันนั้นขอให้ตัดประเด็นไปได้เลย ลองคิดว่าถ้าเป็นเขามาเจอแบบนี้บ้างล่ะคะ หรือขอโทษนะคะ ถามว่าถ้าเป็นพ่อเป็นแม่เขาโดนบ้าง เขาจะรู้สึกยังไง เขาจะยังทำไหม
(ขอร้องอย่าโหมไฟ อย่าทำให้เรื่องราวที่ไม่เกี่ยวข้องมาพันกัน)
บางทีครูก็เบื่อหน่ายนะคะ อยากให้ทุกอย่างเหมือนเดิม เหมือนที่เราอยู่มาตั้งแต่เดิม ตั้งแต่ก่อนคนรุ่นนี้อีกค่ะ ตอนนั้นสังคมสงบสุข ทุกคนเข้าใจกันดี ไม่มีปัญหา การเดินทางก็ปลอดภัย แล้วก็มองหน้ากันได้สนิทใจ ถามว่าพอจะประนีประนอมกันได้ยังไงบ้าง เราคงต้องมีโอกาสได้คุยกับคนฝั่งนั้นก่อนค่ะ แต่ต้องคุยแบบไม่มีทนายของเขานะคะ ทนายที่คอยโหมไฟอยู่ตลอดเวลา จนผลออกมารูปนี้ แบบนี้ครูไม่ชอบเลยพูดกันตรงๆ
มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากเลยนะกับคนที่มีความรู้ทางกฎหมายแล้วพยายามทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม ใช้กฎหมายทำร้ายคนอื่นโดยที่ตั้งใจ ส่วนหนึ่งที่สังคมไทยเสื่อมสลายก็เพราะทนายที่ชอบยุและชอบทำให้มันแตกร้าวนี่แหละค่ะ ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ในสังคมปัจจุบันเสียด้วย”
[คลิป] ลงพื้นที่ สืบความจริง 2 ด้าน หนังคนละม้วน! บ้านปิดตาย “เพชรเกษม 15”
[คลิป] ลงพื้นที่ พิสูจน์อำนาจเงิน!
ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ Live
เจาะลึกที่มาที่ไป จุดเริ่มต้นของข่าวนี้ (คลิก)
- บทพิสูจน์อำนาจเงิน! 2 ป้า 1 ตา กับนายหน้าค้าที่แห่ง “เพชรเกษม 15” [ชมคลิป]
รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754