เหลือเชื่อ! เมื่อพระสงฆ์รูปหนึ่งเกิดอุบัติเหตุศีรษะแตกเป็นเหตุให้มีเลือดไหลออกมาเป็น “พระธาตุ” สร้างความฮือฮาให้แก่เหล่าลูกศิษย์และประชาชนเป็นอย่างมาก และทันทีที่ข่าวแพร่สะพัด ผู้คนต่างจับจ้องว่าเรื่องนี้คือเรื่องจริง หรือเป็นเพียงกุศโลบายเพื่อหลอกลวงประชาชนให้หลงงมงายเท่านั้น ไม่เว้นแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ก็ออกมาตอกกลับว่าสิ่งที่เห็นคือ “ซิลิกาเจล” สารเคมีชนิดหนึ่งที่ดูดน้ำกลายเป็นเม็ดๆ คล้ายพระธาตุ
จริง หรือ มั่ว ต้องพิสูจน์!
กลายเป็นประเด็นร้อนระอุในโลกโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีรูปภาพของพระสงฆ์รูปหนึ่งใช้สื่อออนไลน์สร้างความมหัศจรรย์ว่า ตนเองมีเหงื่อ และปัสสาวะ รวมทั้งเลือดไหลออกมากลายเป็นผลึกคล้ายเกล็ดแก้ว หรือความเชื่อตามหลักพระพุทธศาสนาเรียกว่า “พระธาตุ”
สืบเนื่องมาจากเฟซบุ๊ก “Navaporn Srikaewnawan” ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า “เรื่องเหลือเชื่อ!! เมื่อพระ อ.ชา ได้รับอุบัติเหตุทำให้ศีรษะแตกขณะทำงานในตอนแรกเหล่าลูกศิษย์ตกใจ ช่วยกันจะทำแผลแต่แล้วกลับต้องดีใจกันเพราะงานนี้พระอาจารย์ศีรษะแตก แต่ลูกศิษย์ชอบใจ เพราะจะได้โลหิตท่าน เก็บไปบูชา นี่คือเรื่องมหัศจรรย์ที่เห็นกับตาตัวเอง”
เมื่อเรื่องราวดังกล่าวแพร่สะพัดออกไป ได้มีการตรวจสอบพบว่าพระรูปดังกล่าวเป็นสมภารวัดวังหอมวิปัสสนาราม ม.5 ต.วังอ่าง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช โดยมีฉายาว่าพระอนานันต์ ญาณธนโชติ หรือพระอาจารย์ชา อายุ 39 ปี โดยพระอนานันต์ กล่าวยืนยันถึงกรณีภาพที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ได้โพสต์เอง ตนห้ามศิษย์ทุกครั้งว่าอย่าเอาไปโพสต์ให้ใครดู เพราะอาจนำไปสู่อบายภูมิได้ และอาจทำให้หลง เมื่อหลงแล้วไม่เกิดปัญญา เมื่อเรื่องนี้เผยแพร่ออกไปก็ทำให้เกิดปัญหาได้
เรื่องราวมหัศจรรย์นี้สร้างความฮือฮาให้กับพุทธศาสนิกชน ไม่เว้นแม้แต่ “เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์” อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้ออกมาโพสต์ภาพและระบุข้อความเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า "วัตถุ 2 สิ่ง แตกต่างกันที่ศรัทธา หากสิ้นศรัทธา จะกลายเป็นวัตถุเดียวกัน" ทันทีที่ข้อความนี้แพร่สะพัดออกไปก็ได้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่าสิ่งที่เห็นน่าจะเป็นซิลิกาเจล
ด้าน “รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์” อาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวความว่า “กรณีพระเหงื่อ-เลือดไหล แล้วกลายเป็นพระธาตุ ล่าสุดสำนักพุทธฯ สั่งให้มีการตรวจสอบแล้วนั้น อ.วีรชัย คิดว่าพระท่านคงเอา Polymer ดูดน้ำมาทาตัวหรือเปื้อนตามเสื้อผ้า และเมื่อเหงื่อออกก็จะดูดน้ำกลายเป็นเม็ดๆ เหมือนพระธาตุ ที่หัวแตกน่าจะเลือด (ที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบอยู่แล้ว) โดน polymer กลุ่มนี้ดูดน้ำเข้าไปกลายเป็นเม็ด polymer ดูดน้ำมีหลายรุ่นหลายขนาด หาซื้อได้ทั่วไปหรือแกะเอาจากผ้าอ้อมเด็กก็ได้ครับ”
ส่วนสื่อสังคมออนไลน์ต่างเข้ามาคอมเมนต์ว่าเรื่องราวดังกล่าวเป็นเรื่องหลอกลวง เพราะตามหลักศาสนาแล้วไม่ได้สอนให้คนงมงาย และเชื่อในเรื่องของไสยศาสตร์
“คนก็เชื่อไปได้ ใช้ประโยชน์ของรอยหยักในสมองหน่อยเหอะ”
“หลอกให้คนงมงาย ไม่สอนแก่นธรรมะ ตกนรกแน่ๆ”
“ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้คนงมงายนะครับ สอนให้ยึดหลักความจริง ของการกระทำ มีเหตุและมีผลไปตามหลักของโลก ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”
“ผ้าอนามัยก็ได้ผลเหมือนกันนะครับ มันสารเคมีตัวเดียวกัน (ไฮโดรเจล) จริงๆ ก็เอาสารนี้ทาตัวแล้วนั่งรอเหงื่อออกมาพอมันจับกันเข้า ยิ่งเหล็กไหลสารพัดอาจารย์พวกหามาให้บูชาทีเป็นตันๆ เมืองผี-พุทธแบบนี้หากินได้เรื่อยๆ ครับ สุดแต่จินตนาการจะสรรหามา”
ขณะที่บางรายกลับมีความศรัทธาและเลื่อมใสเป็นอย่างมาก “สาธุ พระบารมีของพระอาจารย์ชาเหลือจะพรรณนา พรุ่งนี้จะไปกราบนมัสการท่านและไปปฏิบัติธรรมด้วย” หรือ “ไม่เชื่อก็ไม่ได้ว่าเป็นใบ้ ไม่รู้ไม่เห็นจริงอย่าพูด”
เป็นไปไม่ได้ เพราะมันคือ “ซิลิกาเจล”
“ผมคิดว่ามันเป็นซิลิกาเจลครับ” นี่คือคำพูดของ “เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์” อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ให้ความคิดเห็นในเชิงวิทยาศาสตร์กับทางทีมข่าวในเชิงที่ว่าไม่สามารถเป็นไปได้อย่างแน่นอน เพราะโดยปกติแล้วหากคนเรามีเลือดออกจะออกมาเป็นลิ่มเลือดมากกว่า
“เนื่องจากว่ามันเป็นภาพนิ่งมันก็เลยทำให้ดูค่อนข้างยาก มันไม่ใช่คลิปที่เราจะทำให้เห็นลักษณะของเม็ดสีแดงๆ พวกนั้น ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะครับ แต่ถ้าดูภาพข่าวอันหนึ่งจะเป็นช่วงเหมือนที่เขามีก่อนหน้านี้แล้วในวัดก็จะมีเหงื่ออยู่ในถ้วยที่เป็นเม็ดๆ สีขาวบ้าง ชมพูบ้าง แล้วก็มีที่เป็นปัสสาวะด้วยนะ เป็นถ้วยแล้วก็ปัสสาวะใส่ลงไปเป็นเม็ดสีเหลืองๆ อันนี้เป็นภาพที่ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของวัด
ส่วนแผลที่หัวแล้วเลือดไหลออกมาเป็นเม็ดแดงๆ ทีนี้ลักษณะพวกนี้ก็จะมีคนพูดไปต่างๆ นานา แต่ว่าโดยพื้นฐาน ถ้าเป็นเลือดจริงๆ จะไม่สามารถออกมาเป็นเม็ดกลมๆ แบบนี้ได้ มันจะออกมาเป็นลิ่มเลือดมากกว่า ถ้าดูจากรูปลักษณะมันคล้ายซิลิกาเจลมาก ซิลิกาเจลคือเม็ดดูดความชื้น เม็ดดูดความชื้นก็จะมีลักษณะแบบนี้ เป็นเม็ดเล็กๆ ใหญ่ๆ หลายขนาด เราก็น่าจะเห็นตามถุงอาหาร บางคนเขาก็แซวนะ อย่างรูปล่าสุดที่แตกออกมาจากที่หัว บางคนบอกว่าดูแล้วเหมือนไข่กุ้งซูชิ”
อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีนี้เพื่อไม่ให้เป็นการถกเถียงว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่นั้น ทางออกที่ดีที่สุดคือต้องเชิญพระอาจารย์ท่านนี้มาพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ด้วยตัวของท่านเอง และสำหรับเหตุการณ์นี้ หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องที่หลอกลวงประชาชนจริงๆ ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเข้ามาตรวจสอบอย่างจริงจังเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นซ้ำอีก
“มันก็เป็นไปได้อยู่แต่ว่าเราไม่เห็นของจริง เขาบอกว่าเขาแจกให้ลูกศิษย์ไปเก็บไว้บูชาด้วย ถ้าเป็นไข่กุ้งมันคงจะฟีบเล็กไป แต่ถ้าเก็บบูชาเป็นเม็ดๆ ได้ ก็คิดว่าเป็นซิลิกาเจลเม็ดดูดความชื้นมากกว่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาเอามาจากไหน แต่เขาก็คงมีเทคนิคในการเอาไปป้ายตัวหรือว่าเอามาทำท่าทำทางต่างๆ ซึ่งอันนี้ก็บอกไปแล้วว่าเป็นแค่รูปถ่ายเราไม่ได้เห็นภาพความเคลื่อนไหว
ท้ายที่สุดจริงๆ แล้วต้องเชิญท่านมา แล้วมาถ่ายกันเห็นๆ เลยว่าตกลงเหงื่อท่านออกมาเป็นแบบนี้จริงหรือเปล่า หรือเม็ดที่ออกมาเป็นอะไร ให้ทางวิทยาศาสตร์ออกมาพิสูจน์จะสบายมากเลย จะดูได้ แต่เพียงตอนนี้สิ่งที่ออกมาเป็นเพียงรูปถ่าย เลยไม่สามารถพิสูจน์ได้ครับ
เราก็จะเห็นว่ามีพระหลายท่านทำแบบนี้ ไม่แน่ใจว่าเป็นกุศโลบายที่ต้องการให้คนมาสนใจศาสนา ทำบุญ หรือว่าฟังคำเทศน์มากขึ้น เพราะว่าลักษณะอย่างนี้มีอยู่เยอะ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็อาจจะยังพอคุยกันได้ แต่ว่าในมุมของศาสนาจริงๆ ก็ไมได้ส่งเสริมให้เราเชื่อในเรื่องของปาฏิหาริย์ ไสยศาสตร์ต่างๆ
ทีนี้ท่านเกิดทำไม่ได้จริงๆ ถ้าทำไปแล้วมีเรื่องของการเสียเงินเสียทองเกิดขึ้น อันนั้นก็จะเป็นการหลอกลวงประชาชน เพราะฉะนั้น โดยภาพรวมๆ แล้วต้องสาวไปทางด้านสำนักสงฆ์ ทางสำนักงานศาสนาต้องเข้ามาตรวจสอบเสียหน่อยว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วจริงๆ ควรจะห้ามปรามเขาซะ เพราะทางศาสนาพุทธก็ไม่ได้ส่งเสริมให้ทำเรืองแบบนี้”
สำหรับเรื่องราวสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นนี้ ต้องใช้วิจารณญาณคิดให้ถี่ถ้วนเสียก่อนว่ามีความจริงเท็จแค่ไหนก่อนที่จะแชร์และส่งต่อกันไป เพราะเมื่อเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปแล้วนั้น มันคือการกระจายความเชื่อในสิ่งที่มันไม่เป็นความจริง อาจารย์เจษฎากล่าวทิ้งท้าย
“มันจะมี 2 ส่วน ส่วนที่ใช้โซเชียลมีเดียพอเห็นภาพพวกนี้แล้วก็แชร์ต่อๆ กันก็จะฝากว่าคนที่แชร์ต้องใช้วิจารณญาณก่อนว่าเรื่องจริงเท็จแค่ไหน ไม่ใช้คิดว่าเห็นอะไรแปลกๆ ก็แชร์กันไป มันก็จะยิ่งกระจายความเชื่อไปอีกว่ามันมีจริง ส่วนคนที่ไปบูชามาถ้าเป็นความศรัทธาส่วนตัว เอามาแล้วทำให้เกิดเป็นเรื่องที่ดีต่อชีวิตก็ไม่เป็นไร แต่ว่าถ้าเสียเงินเสียทองแล้วเกิดอยากพิสูจน์ก็มาให้ทางวิทยาศาสตร์ดูได้ก็จะรู้เลยว่ามันเป็นแค่มายากล ทางเคมีจะช่วยให้ตัดสินใจได้ว่าเรื่องไหนควรเชื่อไม่ควรเชื่อ”
สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นได้!
ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านศาสนา “ธวัช หอมทวนลม” หัวหน้าภาควิชาปรัชญา คณะศาสนาและปรัชญา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เขาได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ผ่านทางทีมข่าว ASTV ผู้จัดการ Live ว่า โดยทั่วไปพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบก็มีผลสำเร็จในทางใดทางหนึ่งได้เหมือนกัน และในส่วนพระอาจารย์ท่านนี้ก็ไม่รู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของท่านเป็นอย่างไร
ทว่า พระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติอยู่ในศีลในธรรมแล้วเจริญสมาธิ พระท่านก็จะมีผลสำเร็จในทางใดทางหนึ่งได้เหมือนกัน อีกทั้ง ยังเห็นได้ว่าในประเทศไทยมีพระสงฆ์อีกหลายรูปมากมายที่สร้างเรื่องราวปาฏิหาริย์ให้พุทธศาสนิกชนได้เห็น เพื่อเป็นการสร้างเสริมความเป็นสิริมงคล
“โดยทั่วไปชาวพุทธ พระสงฆ์ที่เราเคยทราบกันต่างๆ มีเยอะแยะ ท่านก็ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระที่ชอบกรรมฐานประจำ สมาธิสูงมีโอกาสที่จะสร้างปาฏิหาริย์ให้เราเห็นได้ เพียงแต่ว่าท่านจะแสดงหรือไม่เท่านั้นเอง อย่างเช่น หลวงพ่อคูณปาฏิหาริย์ของท่านก็เยอะแยะ เรื่องนี้ก็มีโอกาสที่จะเป็นเรื่องจริงได้ แต่ลึกๆ เราไม่รู้ อย่างที่ท่านให้สัมภาษณ์ว่าท่านไม่ได้อุตริ อันนี้เราก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเป็นยังไง อันนี้ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา พระที่ปฏิบัติอาจจะผิดแปลกแตกต่างจากองค์อื่นๆ
อย่างบางคนเป็นมะเร็งพอมาปฏิบัติธรรม ผลจากการทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น แล้วแผ่เมตตา มีสมาธิสูง อำนาจจิตสามารถสร้างเม็ดโลหิตแดงขึ้นมาได้ ทำให้คนเราหายแล้วก็เป็นปกติได้ มีเยอะนะ พวกพระ ฆารวาส อย่างหวงพ่อที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี จะสอนให้ทำวัตรสวดมนต์ สวดบ่อยๆ จิตจะเป็นสมาธิ อำนาจจิตก็จะมีพลัง อธิฐานอะไรก็จะเกิดความสำเร็จ
เพียงแต่ว่าอำนาจจิตมันสามารถที่จะดลบันดาล อำนาจ ฤทธิ์บทสวดมนต์มันอยู่ภายใน พอคนมาเจริญบ่อยๆ เข้า จิต สมาธิ เขาเรียกจิตแข็งนะ อำนาจก็จะเกิดขึ้นมาสามารถอธิษฐานอะไรได้ พระท่านเจริญพุทธมนต์ก็ทำน้ำมนต์ให้คนดื่มก็จะหายเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็จะได้ยินข่าวอยู่แบบนี้บ่อยๆ”
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับพระสงฆ์ถือเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เพราะระบุไว้ชัดเจนในหลักพระธรรม และถึงแม้ในกรณีนี้ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านศาสนาจึงอยากขอให้พุทธศาสนิกชนใช้สติปัญญากลั่นกรอง และคิดให้รอบคอบเสียก่อนที่จะหลงงมงายเชื่อในสิ่งที่เห็นหากยังไม่ได้พิสูจน์
“ตามหลักพระพุทธศาสนามีทำได้ สมัยนี้หลวงพ่อที่ดังๆ ยิงไม่เข้า ฟันไม่ออก ที่เราเห็นๆ กันทำไมพระเครื่องมันถึงดัง อันนี้คืออำนาจจิตที่ท่านปลุกเสกลงไป ส่งกระแสจิตลงไปในวัตถุที่เราเคยได้ยิน อย่างเช่น เราอาจสงสัยว่าทำไมหลวงพ่อท่านถึงรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่เพราะหลวงพ่อมีกระแสจิต มีหูทิพย์ ตาทิพย์ สามารถที่จะย้อนอดีตได้ อันนี้ในหลักธรรมก็มีอยู่
อย่างในกรณีนี้ข้อมูลมันไม่ชัด จะบอกว่าจริงมันก็ไม่ได้ ขอเตือนให้ชาวพุทธ มีสติ ใช้ปัญญาตริตรอง ถ้าสิ่งที่ท่านทำจริงก็ถือว่าเป็นบุญบารมีของท่าน คนไปกราบไปไหว้ไปคุยกับท่านก็เกิดประโยชน์ด้วย ได้ธรรมมะที่แท้จริง ถ้าเกิดว่ามันไม่จริงเขาสร้างขึ้นเพื่ออยากจะดังขึ้นมา ก็ใช้ปัญญาตริตรองหน่อย คิดกันให้รอบคอบก่อนครับ”
ข่าวโดยASTV ผู้จัดการLive
รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754