xs
xsm
sm
md
lg

ไฟปริศนา...เถ้าธุลีของความเชื่อที่ต้องพิสูจน์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นับแต่ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เหตุไฟปริศนาจุดประกายปะทุในที่ลับตาภายในบ้าน บ้านเลขที่ 144 ถนนสายกงหรา - ป่าบอน หมู่ 6 ต.ตะโหมด อ.ตะโหมด จ.พัทลุง ของนายล้อม ศักดิ์หวาน กลายเป็นปรากฏการณ์เหนือลี้ลับที่สังคมจับตา

ในมุมความเชื่อหลายคนมองว่าสิ่งนี้ห้ามลบหลู่ แต่กับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป หลายคนกลับต้องการคำอธิบายที่สมเหตุสมผล จนสำนักข่าวหนึ่งทำการซ่อนกล้องแฉเฉลยต้นเหตุทั้งหมด ข้ามเส้นบางเส้นจนเจ้าบ้านหมายตาฟ้องร้อง
ความเชื่อ ศรัทธากับสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลง เราได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์ประหลาดแบบนี้บ้าง

ไฟปริศนา

ดวงไฟประหลาดจุดเปลวขึ้นครั้งแรกในวันที่ 17 มีนาคม ที่บ้านเลขที่ 144 หมู่ 6 ต.ตะโหมด อ.ตะโหมด จ.พัทลุง จากนั้นข่าวลือของเหตุเหนือจริงดังกล่าวก็แพร่สะพัดดั่งไฟลามทุ่ง ปากต่อปาก หมู่บ้านต่อหมู่บ้าน ไฟยังคงลามลุกจุดดวงตามที่ลับตั้งแต่กองผ้ายันซอกหลืบลึกในบ้านจนเป็นที่หวาดหวั่นของผู้อยู่อาศัยโดยมีเด็กน้อยเป็นผู้รู้เห็นเหตุพิศวงนั้นเป็นคนแรกอยู่เสมอ ปรากฏการณ์ดังกล่าวถูกขนานนามว่า “ไฟปริศนา”

จนเหตุแปลกประหลาดกลายเป็นข่าวโด่งดังระดับประเทศ ควันไฟแห่งความหวาดกลัวที่ก่อกำเนิดจากความไม่รู้ตามติดมาด้วยพิธีกรรมความเชื่อในทางไสยศาสตร์เพื่อขับไล่บางสิ่งที่เชื่อกันว่าอาจเป็นต้นต่อของเรื่องราวทั้งหมด
แต่แล้วเหตุการณ์ยิ่งทวีความพิศวงด้วยระหว่างทำพิธีกลับเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นที่ฐานพระพุทธรูปบนหิ้งพระในบ้าน ยิ่งสร้างความแตกตื่นมากกว่าจะผ่อนปรนความหวาดกลัว ร่างทรงจึงได้แนะให้ขยับที่ตั้งศาลพระภูมิเพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยปกปักรักษา เหตุประหลาดสงบไปได้เพียง 10 วันก็กลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง

น้องปลายฟ้า อายุ 2 ขวบลูกสาวคนเดียว ได้มากระซิบบอกตำแหน่งจุดปะทุของไฟปริศนาได้อย่างแม่นยำ เรื่องยิ่งลี้ลับมากขึ้นเมื่อเด็กสาวเผยว่า จุดตำแหน่งไฟเธอได้ยินคำบอกมาจากเพื่อนที่ไม่มีตัวตน และแล้วหญิงคนหนึ่งจาก จ.นครศรีธรรมราชผู้อ้างตัวเป็นร่างทรงเจ้าแม่กาลีก็บอกว่า น้องปลายฟ้าเป็นเทพ สามารถรู้และเห็นในสิ่งลี้ลับและบอกเหตุแก่คนในครอบครัวได้ ต่อไปให้เรียกน้องปลายฟ้าว่า"โมลานา"!!!
ม่านหมอกแห่งความเชื่อเข้าปกคลุม เส้นแบ่งของ “ศรัทธา” กับ “งมงาย” ค่อยๆ เลือนราง แต่ท่ามกลางยุคข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วฉับไว เรื่องลี้ลับต่างต้องการบทพิสูจน์และคำอธิบาย และชุดคำอธิบายที่มีเหตุมีผลในยุคนี้ที่สุดคงหนีไม่พ้น “วิทยาศาสตร์”

ปรากฏการณ์ทางความเชื่อในสังคมไทยมักถูกวางไว้เป็นประเด็นอ่อนไหวยากจะแตะต้องอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป เมื่อนักวิทยาศาสตร์ต่างพร้อมใจกันออกมาวิพากษ์อภิปรายถึงปรากฏการณ์ดังกล่าว บ้างฟันธงถึงขั้นว่า ไฟปริศนาเกิดจากฝีมือมนุษย์แน่นอน!

รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์สาขาเคมีและนิติวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า การเกิดการเผาไหม้ การเกิดเปลวไฟ เป็นปฏิกิริยาทางเคมี โดยองค์ประกอบของการเกิดไฟ มี 3 อย่างพื้นฐาน คือ เชื้อเพลิง ออกซิเจน และพลังงาน ซึ่งมักจะอยู่ในรูปของพลังงานความร้อน โดยไฟหรือการเผาไหม้จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีองค์ประกอบครบทั้งสามประการและจะต้องรวมกันในอัตราส่วนที่เหมาะสม

"กรณีไฟปริศนาลุกไหม้สิ่งของภายในบ้านได้นั้น ต้องมีทั้งสามส่วนคือ เชื้อเพลิง อากาศภายในบ้าน และตัวแปรสำคัญคือความร้อนในการจุดประกายไฟ ซึ่งต้องรู้ให้ได้ว่าใครหรืออะไรที่ทำให้เกิดการจุดประกายไฟ ซึ่งหากได้ภาพวิดีโอก่อนและหลังการเกิดไฟปริศนา จะสามารถระบุถึงสาเหตุทางวิทยาศาสตร์ได้ชัดเจนขึ้น จึงแนะนำให้ทำการพิสูจน์ โดยการตั้งกล้องวงจรปิดไว้ เพื่อไขปริศนานี้ และโดยส่วนตัวไม่เชื่อว่า มันจะเกิดไฟบ่อยและถี่มากได้เองโดยธรรมชาติ หรืออาจเป็นมนุษย์กระทำขึ้น" รศ.ดร.วีรชัยกล่าว

ต่อมารายการข่าวช่อง 8 มีการเผยแพร่คลิปเฉลยเหตุการณ์ พบว่า มีหญิงรายหนึ่งเป็นคนจุดไฟ โดยภาพจากกล้องบันทึกเหตุการณ์ได้ชัดเจน บทสรุปดังกล่าวส่งผลให้เจ้าของบ้านตัดสินใจฟ้องร้องเอาความจากสื่อสำนักดังกล่าว

ขณะที่ กิติยา ศักดิ์หวาน ลูกชายเจ้าของบ้านไฟไหม้ปริศนา กล่าวหลังไปให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกมาสอบเพิ่มเติมหลังมีคลิปข่าวเผยแพร่ออกไป แต่ตนเชื่อว่าไม่มีใครในบ้านเป็นคนเผา หากเผาตามที่สื่อเสนอจะเผาเพื่ออะไร

“อยากถามว่าทำไมไม่นำเสนอมุมอื่นว่าเป็นเช่นไร คนในครอบครัวยอมเอาหัวเป็นประกันหากมีคนในบ้านเผาเอง ไม่โทษนักวิชาการ หรือสื่อที่ทำคลิปข่าวนี้หรอกเพราะพวกนี้ชอบหากินบนความทุกข์ของคนอื่นอยู่เสมอ”

ถึงตอนนี้การพิสูจน์หาความจริงทางวิทยาศาสตร์จึงเริ่มขึ้น โดยดร.เปลื้อง สุวรรณมณี ผู้อำนวยการสถาบันปฏิบัติการชุมชนเพื่อการศึกษาแบบบูรณาการ (ICOFIS) มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา พร้อมคณะนักวิทยาศาสตร์ในสาขาที่เกี่ยวข้องต่อเรื่องนี้และเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ จำนวนประมาณ 20 คน จะทำการตรวจสอบพิสูจน์ใช้เวลาประมาณ 2 วัน จนถึงตอนนี้ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วก็ยังไม่ปรากฏไฟปริศนาแต่อย่างใด

เราควรคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหตุการณ์เหนือธรรมชาติจะกลายเป็นที่ถกเถียง มีหลายปรากฏการณ์ในประเทศไทยที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงไม่ว่าจะเป็นบั้งไฟพญานาค คนทรงเจ้า สัตว์ใบ้หวย จนถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระสงค์บางรูปที่ไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม

รศ.วิทยากร เชียงกูล คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต มองปรากฏการณ์ไฟปริศนาว่า เกิดขึ้นในสังคมไทยได้ค่อนข้างง่าย มันมาจากการที่ประเทศไทยนั้นไม่ได้มีการพัฒนาทางด้านการศึกษาอย่างจริงจัง

“เราเรียนแบบท่องจำ ไม่ได้ฝึกวิธีคิดให้เป็นเหตุเป็นผลเพื่อจะไปพิสูจน์อะไรต่างๆ มันเลยมีโอกาสที่จะเชื่ออะไรได้ง่ายๆ”

โดยรากของปัญหาเขามองว่า มาจากวัฒนธรรมซึ่งเปลี่ยนได้ยาก ทั้งนี้ เหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นนั้นก็มักจะเปลี่ยนเรื่องเปลี่ยนสถานที่เปลี่ยนประเด็นทำให้คนยังคงหลงเชื่อได้ง่ายอีกด้วย

“มันไม่เหมือนกัน เรื่องที่ว่าโดนเปิดโปงแล้วอันนี้หลอกแล้วพอเกิดขึ้นอีกครั้งก็รู้กันแล้ว แต่ครั้งใหม่มันไม่เหมือนครั้งก่อนคนก็นึกว่ามันอาจจะจริงก็ได้”
ในส่วนของผลประโยชน์ที่อาจเกิดเบื้องหลังความเชื่อนั้น เขาไม่แน่ใจว่าอาจมีคนอาศัยความเชื่อนั้นในการแสวงหาผลประโยชน์ แต่ลักษณะของสังคมไทยโดยรวมแล้วยังคงมีแนวโน่มที่จะเชื่อเรื่องอะไรแบบนี้ได้มากเมื่อผูกเข้ากับความเชื่อเดิมของเรื่องชะตากรรม และเรื่องหวย

“มันเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมมาจากสังคมหมู่บ้าน สังคมชนบทแล้วการศึกษาวิทยาศาสตร์มันก็ไม่ค่อยแพร่หลาย มันเป็นวิทยาศาสตร์แบบเราหยิบยืม สั่งเข้ามาใช้อย่างสำเร็จรูป เราไม่ได้ศึกษาค้นคว้าเอง ส่วนใหญ่เราสั่งเข้ามา ทั้งที่เราก็ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่นะ แต่ความคิดมันไม่ไปด้วย บางทีเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่ไปใบ้หวยอีก มันไม่ไปด้วยกัน”

แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับกรณีไฟปริศนานี้คือการออกมาค้นหาบทพิสูจน์โดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ เขามองว่าเป็นทิศทางที่ดีขึ้น

“มันต้องมีการพิสูจน์ดู ให้นักวิทยาศาสตร์เข้าไปพิสูจน์ดูแล้วก็อธิบายว่ามันเป็นยังไง คือหลายเรื่องรัฐบาลหรือกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ต้องสนใจที่จะอธิบายให้ประชาชนทราบด้วย”
ในส่วนของสื่อมวลชนนั้น เขามองว่าโดยธรรมชาติของสื่อแล้วในช่วงแรกสื่อจะหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาเล่นในทางบันเทิง ก่อนมาสอบสวนหาผลในภายหลัง

“ถ้าจะให้ดีมันก็ต้องตามต่อ ไปสัมภาษณ์ด้านวิทยาศาสตร์บ้าง ฟังหลายๆด้าน ให้คนคิดหลายๆ ทาง อะไรอย่างนี้ สื่อควรจะเสนอ 2 ด้าน ไม่ใช่เสนอเฉพาะด้านที่คนชอบแล้วคนก็เชื่อไปแล้ว วันหลังมาแก้ข่าวคนก็ลืมไปแล้ว มันต้องพยายามเสนอ 2 ด้าน”

ในส่วนของการแอบติดกล้องแฉ ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการ สถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.) โพสต์ถึงกรณีของซ่อนกล้องไว้ว่า

“การซ่อนกล้อง/แอบถ่าย บันทึกภาพทำได้ไหม? จากกรณีบ้านไฟไหม้ปริศนาที่กำลังเป็นข่าว 1. ทำได้...แต่ต้องคิดว่า ใช่เรื่องที่ "ประชาชนมีสิทธิ/จำเป็นต้องได้รู้จริงๆหรือไม่ ? โดยปกตินักข่าวจะซ่อนกล้องหรือไมโครโฟนได้ (และควรเป็นวิธีสุดท้าย) เช่น - กรณีเปิดโปงการทุจริต โกง ขบวนการคอร์รัปชันของรัฐ ราชการ รัฐวิสาหกิจ - กรณีเปิดโปงลัทธิ ขบวนการต้มตุ๋น แก๊งหลอกลวงชาวบ้านประชาชนในสิ่งที่โง่งมงาย - กรณีการหาข้อพิสูจน์ทางสังคม เช่น ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่แปลก - กรณีอาชญากรรม ภัยสังคม อันตรายที่กระทบต่อชีวิตทรัพย์สินของประชาชนและนักข่าว ต้องแน่ใจว่าซ่อนกล้องเพื่อค้นหาความจริง
“2. ทำอย่างไร? ....- ปรึกษากับผู้บริหาร/กองบรรณาธิการก่อน - คำนึงถึงความปลอดภัยของทีมงานและผู้ถูกบันทึกภาพ - ต้องมีทีมงานข่าว ผู้สื่อข่าวที่อยู่ในภาพข่าวที่แอบซ่อนกล้องนั้นด้วย - อาจแจ้งขออนุญาตเจ้าของสถานที่ หรือเจ้าทุกข์ เจ้าของเรื่องก่อน - เมื่อได้ภาพแอบบันทึกนั้นมาแล้ว ต้องให้เจ้าของ(คนที่อนุญาต) ได้พิจารณาดูก่อนออกอากาศ - เซ็นเซอร์ ปกปิดอัตลักษณ์บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมด ในกรณีนี้ (บ้านไฟไหม้) ต้องเซ็นเซอร์ทั้งหมด เพราะทุกคนยังเป็นผู้ต้องสงสัย

“3. เจ้าของบ้านฟ้องสื่อได้ไหม? 1. ฟ้องได้ ในลักษณะละเมิดสิทธิ แต่กรณีนี้ เจ้าของบ้านไม่น่าจะฟ้องได้ ถ้าทีมงานข่าวได้แจ้งเจ้าของบ้าน/และหรือก็ไปยืนถ่ายทำด้วยตัวเองในบ้าน(เจ้าของบ้านอาจจะรู้อยู่กับนักข่าวแค่สองคน) 2. ฟ้องได้ แต่อาจจะแพ้ถ้านักข่าวพิสูจน์จนสุดทางว่าเป็นขบวนการต้มตุ๋นหลอกลวง หรือนักข่าวก็นำเสนอโดยเซ็นเซอร์ภาพทุกคนทั้งหมดแต่แรก

“3. ฟ้องได้ ถ้าสำนักข่าวนั้นไม่ควบคุมความคิดเห็นของผู้คนอื่นๆ ที่อาจมีลักษณะหมิ่นประมาท มาดร้าย สื่ออาจโดนฟ้องในคดีหมิ่นประมาท 4. วิธีการอื่นมีมั้ย? การซ่อนกล้องควรเป็นวิธีการสุดท้ายจริงๆ”


ในโลกยุคปัจจุบันที่ความเชื่อหลายอย่างต้องการการพิสูจน์ ความเชื่อเก่ามักถูกท้าทาย และหลายครั้งข้อถกเถียงที่สุดปลายทางก็เป็นเพียงการปะทะกันของความเชื่อยุคเก่ากับยุคใหม่ที่ต่างคนก็อาจมีตัวเลือกไว้ในใจที่แตกต่างกันอยู่แล้วก็เป็นได้

ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!

และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754






กำลังโหลดความคิดเห็น