ผลงานของเขาทำเอาฝรั่งต้องอ้าปากค้าง! รีบยกให้ขึ้นแท่นเอ็มวีสุดเจ๋งใน “Vimeo” เว็บไซต์เทพแห่งวิดีโอที่คอนเฟิร์มว่าห้ามพลาด! ด้วยเทคนิคแอนิเมชันบ้าพลัง วาดลายเส้นเน้นความถึกเป็นจำนวนถึง 4,000 ช็อต! พลังการร่ายเวทมนตร์บนโลกดิจิตอลจากเขาคนนี้คือปรากฏการณ์ใหม่ที่กำลังสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้วงการเพลงและเอ็มวีไทย รับรองได้เลยว่าในวินาทีนี้ คนที่มีตัวโน้ตในหัวใจ ไม่มีใครไม่รู้จักมิวสิควิดีโอเพลง “Hailstorms” และไม่มีใครไม่อยากรู้จักผู้อยู่เบื้องหลังคนนี้!
("Hailstorms" สุดยอด MV บ้าพลังจนฝรั่งให้ขึ้นหิ้ง)
ทำแล้วต้องเจ๋ง! ไม่งั้นเซ็งแย่...
("Hailstorms" สุดยอด MV บ้าพลัง จนฝรั่งขอยกให้ขึ้นหิ้ง)
“ผมตั้งใจไว้เสมอว่าเราจะทำงานเพื่อเอาตังค์ด้วย แล้วก็เพื่อให้มันได้รางวัลด้วยนะ ให้เป็นที่แปลกหูแปลกตาสักปีละครั้ง” ต้น-ยศศิริ ใบศรี ผู้ก่อตั้งบริษัท หัวกลม จำกัด (Huaglom) เจ้าของปรากฏการณ์แชร์เอ็มวี “Hailstorms” สนั่นเน็ต บอกถึงแรงขับเคลื่อนเบื้องหลังงานขั้นเทพครั้งนี้เอาไว้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คล้ายคนไม่ยินดียินร้ายอะไรกับคำยกย่องเชิดชูที่ได้รับมา อาจเพราะมองว่าผลของหยาดเหงื่อที่ทุ่มเททุ่มเวลาให้ไปคือปณิธานที่ตั้งเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
“ตั้งใจไว้อยู่แล้วด้วยครับว่าอยากทำงานแนวทดลองออกมา มันเป็นเรื่องของการแก้เบื่อด้วยแหละ เพราะไม่งั้น ทำงานอยู่แต่กับโจทย์ลูกค้า สมองมันฝ่อนะ มันเบื่องานนะ อย่างงานนี้ก็คุยกันกับทางค่าย (Lullaby Entertainment, SO::ON DRY FLOWER) ก่อนแล้วด้วยว่า ขอเวลาทำไปเรื่อยๆ นะ อย่าเร่งนะ เพราะงานแบบนี้มันต้องใช้เวลา”
ก็จะไม่ให้ใช้เวลาได้อย่างไร ในเมื่อสุดยอดเอ็มวีตัวนี้เป็นงานแฮนด์เมดแทบทั้งดุ้น เริ่มจากการพรินต์ฟุตเทจหรือช็อตที่ถ่ายทำออกมาเป็นจำนวนถึง 4,000 ใบ! แล้วค่อยๆ ใช้ฟองน้ำชุ่มๆ ละเลงลงไปเพื่อสร้างเทคนิค “ละลาย” ให้ภาพออกมามีสภาพเลอะคล้ายโทนสีน้ำ จากนั้นก็สนองความซนลึกๆ ที่นึกอยากละเลงหน้าหล่อๆ ของ “ฮิวโก้-จุลจักร จักรพงษ์” ศิลปินเจ้าของเพลงซึ่งอยู่ในช็อตถ่ายทำนั้นให้เละ เล่นเอาหนุ่มเครางามขวัญใจสาวๆ กลายมาเป็นของเล่นให้ผู้กำกับไอเดียล้ำรายนี้ สร้างผลงานเอ็มวีสุดแนวฝากเอาไว้ให้สะเทือนวงการ!
(4,000 ช็อตเอามาละลายน้ำ ก่อนกลายร่างเป็นเอ็มวีแอนิเมชันสุดแนว)
“ถ่ายช็อตพี่ฮิวโก้แกมานั่งเล่นกีตาร์ที่ออฟฟิศเก็บไว้ก่อนประมาณครึ่งชั่วโมงครับ ซื้อสต๊อกฟุตเทจมาปน ตัดต่อให้เสร็จ แล้วก็ให้ลูกศิษย์มาช่วยละลาย พรินต์มันออกมาทีละเฟรม เป็นภาพ 4,000 ใบเอามาปูที่พื้น เอาฟองน้ำชุบน้ำแล้วก็ถูทุกใบ แล้วถ่ายรูปมันกลับเข้ามาในกล้องใหม่ เรียงทีละเฟรมในคอมพิวเตอร์ แล้วก็ drawing ทับแบบ frame by frame ผมไม่ค่อยถนัดวาดเท่าไหร่เลยให้แฟนผม แล้วก็น้องในทีมอีกคนหนึ่งช่วย ใช้เวลาทำรวมๆ แล้วประมาณ 3 เดือนครึ่งกว่าจะเสร็จ เพราะว่าเราค่อยๆ ทำกันไปเรื่อยๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไปทำไม มันเหนื่อยมากเลยนะ (ยิ้ม) แต่ผมเป็นคนชอบทำงานทดลอง แล้วก็ชอบหาเรื่องท้าทายตัวเองอยู่เรื่อยๆ
(ถ่าย "ฮิวโก้" เก็บเป็นฟุตเทจเอาไว้ ก่อนร่ายมนตร์แห่งดิจิตอลใส่เข้าไป จนกลายเป็น MV ที่เจ๋งที่สุดในช่วงเวลานี้!)
(ขั้นตอนการ "ละลาย" ใช้ฟองน้ำชุ่มๆ ละเลงช็อตให้กลายเป็นภาพสีน้ำ)
ผมชัดเจนเสมอว่าผมจะทำเอ็มวีที่ support เพลง ผมรู้สึกว่าเอ็มวีบ้านเรามันมีความประหลาดกว่าที่อื่นนะ เพราะคนไทยชอบดูละคร เอ็มวีที่ดังเลยมักเป็นการเล่าเรื่องแบบละคร กลายเป็นเพลงประกอบภาพ ไม่ใช่ภาพประกอบเพลง ซึ่งผมก็ชัดเจนเสมอว่าผมจะทำเอ็มวีที่ support เพลง เพราะฉะนั้น อะไรที่มันเด่นในเพลงก็จะดึงมันออกมา ที่เลือกเทคนิคการละลายก็เพราะอยากทำลายหน้าพี่ฮิวโก้แกให้มันพังแบบเละตุ้มเป๊ะไปเลย เป็นเหมือนงานระบายอารมณ์”
นิสัยซนๆ แบบนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่มีอยู่ในสายเลือดของต้นมาตั้งนานแล้ว ลองย้อนกลับไปในงานประกาศรางวัล “Channel [V] Thailand Music Video Awards ครั้งที่7” เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ก็เป็นเขาอีกนั่นแหละที่คว้ารางวัล “มิวสิกวิดีโอ กำกับภาพยอดเยี่ยม (Best Cinematography)” ไปครอง จากเอ็มวีเพลง “จันทร์เจ้า” ของศิลปิน Slot Machine ซึ่งเล่าเรื่องเชิงทดลอง สลับภาพเวลากลางวัน-กลางคืนไปตามจังหวะเพลงแบบที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน
(แอนิเมชันแฮนด์เมดสีน้ำ ความเจ๋งของเอ็มวี “Hailstorms” ศิลปิน "Hugo" จากอัลบั้มใหม่ "Deep In The Long Grass")
แล้วก็เป็นเขาอีกนั่นแหละที่เอาเทคนิคการปรับสี (Color Grading) มาสร้างเฉดแปลกใหม่ให้แก่เลนส์ตาของคอเพลงเป็นรายแรกๆ ในเมืองไทย ทำให้เทคนิคนี้กลายเป็นหนึ่งในไม้ตายการสื่ออารมณ์ภาพ ที่ต้นยังคงสนุกที่จะเล่นมาจนถึงทุกวันนี้ พอๆ กับที่ไม่เคยลืมเติมเทคนิคใหม่ๆ อัพเดทเข้าไปในตัวเพื่อปั้นชิ้นงานคุณภาพออกมาชิ้นแล้วชิ้นเล่า
“เทคนิคมันมีไม่หยุดหรอกครับ เราต้องทดลองสิ่งใหม่ไปเรื่อยๆ เพราะเทคโนโลยีมันมาใหม่ทุกๆ 2 เดือนอยู่แล้ว หรืออย่างน้อยๆ ก็ทุกๆ ครึ่งปี เลยจะมีเรื่องท้าทายเราเรื่อยๆ อยู่แล้ว อย่างสมัยที่มันมีกล้อง DSLR รุ่นที่อัดวิดีโอได้ ผมก็เป็นคนซื้อมันมาอาทิตย์แรกเลยที่มันออก ตอนนั้นเอามาทำเอ็มวีของวง Scrubb ชื่อเพลง “ให้เธอ” แล้วก็เอ็มวี “ถามจันทร์” ของ 25Hours ก็เป็นเอ็มวีตัวแรกๆ เลยครับที่ใช้กล้อง DSLR ถ่ายมิวสิควิดีโอ และบังเอิญเอ็มวีตัวนั้นดันได้รับกระแสตอบรับดีมากๆ เพราะเพลงมันฮิต แถมเอ็มวีก็ดันแปลกอีก เลยกลายเป็นปากต่อปากถามกันต่อๆ มาเรื่อยๆ ว่าใครทำวะ? “ไอ้ต้น” มันคือใครวะ?”
25 hours - ถามจันทร์ from HUAGLOM on Vimeo.
("ถามจันทร์" เอ็มวีที่ต้นบอกว่า ได้ปลดปล่อยความคิดและความเป็นตัวเองได้มากที่สุดแล้ว เรียกได้ว่า 100 เปอร์เซ็นต์)
มาจนถึงตอนนี้ ค่ายเพลงที่สนใจผลิตเอ็มวีแหวกแนวก็ไม่จำเป็นต้องถามหาอีกต่อไปแล้วว่า ใครคือ “ไอ้ต้น” จอมซนคนนั้น แค่ติดต่อไปยังบริษัทหัวกลม ซึ่งต้นเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นหลังได้รับความมั่นใจในฐานะผู้กำกับมือรางวัล ก็จะได้เจอกับงานที่สเกลไม่ได้ใหญ่คับจอ แต่คุณภาพคับใจสไตล์เอ็มวีฝั่งอินดี้ที่หาตัวจับได้ยาก!
หาเรื่องใส่ตัว! มี “ต้น” ไม่มี “ตัน”
“ผู้กำกับเอ็มวี” คือคำที่ต้นใช้เรียกอาชีพหลักของตัวเอง กำหนดจุดยืนเอาไว้ชัดเจนเลยว่าต้องมุ่งมาทางสายนี้ “ด้วยความที่ไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วเป็นวงการที่เงินน้อยจังเลยนะ แต่เราก็เลือกมาแล้ว มันก็สนุกของมันอยู่นะผมว่า มันล็อกตัวเราไว้แล้วว่ายังสนุกและยังสลัดไม่ออก ก็เลยยังทำมาเรื่อยๆ ทุกวันนี้ก็มีรับทำโปรดักชันโฆษณาเพิ่มด้วยครับ แต่ไม่ได้ทำสเกลใหญ่อะไรมาก ยังอยู่ในฐานการทำเอง-ถ่ายเอง-และตัดต่อเองอยู่”
“ด้นสดเอง” ก็เป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งที่ต้นใช้มาตลอดในสายงานนี้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าผู้กำกับไอเดียเก๋รายนี้ไม่เคยมีความรู้ตามหลักสูตรแบบจริงๆ จังๆ เกี่ยวกับภาษาภาพมาก่อนเลย “ผมเป็นคนนอกกรอบ เข้ามาในกรอบ” คำบอกเล่าของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า เล่นเอาคู่สนทนางงไปพักใหญ่ๆ จนต้องย่นคิ้วแสดงอาการสงสัยเพื่อรอคำอธิบาย
“ผมเป็นคนที่ไม่ได้จบมาทางโปรดักชัน ไม่ใช่คนที่จบการเล่าเรื่องแบบภาพยนตร์มา ผมจบนิเทศศิลป์มาครับ เพราะฉะนั้น ผมจะไม่มีความรู้ในเรื่องการถ่ายมาก่อนเลย ไม่เคยรู้เลยว่าการ pan กล้อง การ zoom in-zoom out คืออะไร มันเหมือนเป็น sense ความบังเอิญที่เราชอบและรู้สึกว่าทำแบบนี้แล้วมันดี มันตอบโจทย์การเล่าเรื่องได้ก็เลยทำ เลยอาจจะเป็นความโชคดีของผมอีกแบบหนึ่งที่ทำให้งานมันแตกต่าง
(หลากหลาย MV สุดแนว จากผู้กำกับฝีมือเทพ)
จริงๆ แล้ว ผมเคยไปลงเรียนปริญญาโทภาพยนตร์เหมือนกันนะ แต่ไปเรียนได้แค่แว้บเดียวแล้วก็รู้สึกว่า เฮ่ย! หรือเราไม่ต้องรู้มันก็ได้... ใช่ไหมวะ ไม่อยากรู้ละ เพราะบางทีถ้ารู้แล้ว เราจะออกนอกกรอบไม่ได้ ก็เลยไปแค่ 3 อาทิตย์แล้วก็เลิกเรียนไป คิดว่าให้มันเป็นแบบนี้ไปแหละดีแล้ว ไม่อยากตีกรอบไปมากกว่านี้แล้ว ผู้กำกับบางคนที่เจอกัน เขามักจะมาพูดกับผมเสมอว่า ต้นไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลย ต้นทำอย่างที่ต้นทำอย่างนี้แหละ มันคือตัวของต้นแล้ว ไม่ต้องอยากจะเป็นผู้กำกับนั่งหน้าจอมอนิเตอร์ หรือไปใช้กล้องดีๆ ใช้อุปกรณ์แรงๆ เป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันชัดพอแล้ว และมันก็อยู่ได้
ผมเลยบอกว่าผมเป็นคนนอกกรอบเข้ามาในกรอบไงครับ เพราะสิ่งที่ผมทำมันมาจาก sense ของตัวเองอย่างเดียว ในทางตรงกันข้าม มันก็คือการสร้างงานใหม่ๆ ให้คนที่ทำงานวิดีโอเห็นว่า เฮ่ย! แปลกตา แปลกใหม่ และพอทำเยอะขึ้นๆๆ ภาพผมมันก็ชัดขึ้น มันก็เลยมีแต่งานที่ผมชอบให้ทำอยู่เรื่อยๆ ครับ และมันก็มีเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อน”
“ชอบหาเรื่องใส่ตัว” คือคุณสมบัติเฉพาะตัวอีกอย่างหนึ่งที่ต้นจำกัดความให้ตัวเอง “ผมชอบทำงานยากๆ อยู่เรื่อยๆ แล้วก็มักจะมีวินัยกับตัวเองว่าจะไม่ทำงานที่เหมือนชาวบ้านเขาเสมอๆ”
ต้นไม่ใช่คนโม้เก่งหรือมีอีโก้สูงเสียดฟ้า ทุกถ้อยคำที่กลั่นออกมาจากตัวตนของเขาล้วนเต็มไปด้วยความเรียบง่าย ดูขี้อายแต่ชัดเจนและจริงใจอยู่ในที โดยเฉพาะช่วงที่พูดถึงงานที่ตัวเองรัก พลังบวกที่ไหลวนอยู่ในตัวเขาช่วยอธิบายได้เป็นอย่างดีว่า อะไรทำให้คนคนนี้มีมุมมองที่น่าทึ่งปรากฏออกมาได้แบบไม่มีลิมิตและไม่มีวันตัน!
“ทุกอย่างคือแรงบันดาลใจได้หมดเลยนะ มันเกิดจากการมองนู่นมองนี่ครับ ผมเป็นคนขี้สงสัย ชอบอยากรู้ ทุกอย่างรอบตัวมันคือการตั้งคำถามหมดเลยว่า เฮ้ย! ทำไมต้องเป็นแบบนี้ แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งเราอยากทำแบบนี้ผสมกับแบบนี้บ้าง มันจะออกมาเป็นงานใหม่ได้ยังไง การที่ผมไปดูหนัง ฟังเพลง การที่ผมได้คุยกับศิลปินว่าคนนี้เขามีวิธีการเล่นดนตรีที่แปลกประหลาด ต่างจากคนอื่นยังไง มันช่วยสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ได้ มันคือการเอาความชอบ เอางานอดิเรกของตัวเองมาสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองว่าเราจะยังพัฒนามันต่อไปได้อีกหรือเปล่า
บางอย่างที่ออกมาเป็นงาน มันก็เกิดมาจากความชอบในเชิงลึกของเรานะผมว่า อย่างผมเป็นคนชอบวาดรูป ชอบถ่ายรูปต้นไม้เยอะๆ มันเลยทำให้ผมชอบสีเขียวกับสีฟ้าไปโดยอัตโนมัติ โดยที่ผมไม่รู้ตัว งานผมจะเป็นโทนสีฟ้าสีน้ำเงินซะเยอะเลย เวลาจะเลือกอะไรก็จะชอบโทนนี้ หรือเวลาจะเลือกนางแบบก็จะเลือกคนที่ผมยาวเพราะเป็นคนชอบถ่ายรูปผม รู้ว่าผมปิดแบบไหนถึงจะสวย เหมือนเวลาเราฝึกมองต้นไม้ไปเรื่อยๆ หลายๆ ปี แล้วเราจะมองเห็นความพิเศษของมันบางอย่างที่คนทั่วไปมองไม่เห็น อันนี้เขาเรียกว่าเป็นความชอบที่ทำให้เกิดรสนิยมเฉพาะตัวขึ้นมา
(ชอบถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะโทนฟ้า/เขียว ทำให้ชอบสร้างงานออกมาในโทนนี้แบบไม่รู้ตัว)
ผมโชคดีตรงที่ผมชัดเจนมาตั้งแต่ประถมแล้วว่าจะมาทางนี้ เพราะแม่จะบังคับให้เรียนวาดรูปแล้วก็ดันให้เข้าประกวดเยอะๆ ทำให้ผมได้เจอคนที่ทำงานในสิ่งที่ผมชอบ เป็นแรงบันดาลใจผลักดันให้ผมไปทางนี้เรื่อยๆ หลายๆ อย่างเราถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เพราะว่าน้าผมเป็นช่างภาพ ตาผมก็เป็นช่างภาพ เป็นศิลปินแห่งชาติคนแรก (ศ.พูน เกษจำรัส)
ผมโตมากับตา ถูกสังคมครอบครัวบอกว่าเราควรจะมาทางนี้นะ มันทำให้เราเคยชินแล้วก็รู้สึกว่ามันสนุกดี เราเลยมาทางนี้เรื่อยๆ พออยู่ ม.6 น้าก็เอาไปฝึกงานแล้ว น้าเขาทำบริษัทกราฟิกอยู่ เลยสอนผมทำ Photoshop ตั้งแต่ตอนนั้น เราเลยเป็นเด็กเนิร์ด กีฬงกีฬาไม่ค่อยได้เล่น นั่งอยู่กับคอมพ์ จดจ่ออยู่กับมันเยอะไปหน่อย ก็เลยค้นพบตัวเองเร็ว”
“มาสเตอร์พีซ” ไม่มี เพราะ “สุด” ทุกงานที่ทำ!
(การทำงานแบบนี้แหละ! "ต้นสไตล์")
“ถ่ายจนกล้องหักคามือ หกล้มหัวทิ่ม ไม่เอาตังค์เลย จำได้ว่างานนั้นได้เงินเข้าตัวมา 1,700 จากเกือบๆ 2 แสน เป็นงานที่ทำเต็มที่สุดทางมากๆ รู้สึกว่าเป็นงานที่ภูมิใจในความยากของมันที่สุดแล้ว”
ผู้กำกับมือทองผู้ถูกขนานนามว่า อึด-ถึก-บ้าพลัง ย้อนรอยเส้นทางขรุขระกว่าจะเป็นเอ็มวีเพลง “จันทร์เจ้า” ให้ฟังอีกครั้งด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นราวกับว่าเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง
“ตอนนั้นไปถ่ายกันที่รีสอร์ตแถวโคราช ต้องขับรถเข้าไปในนั้นเป็นชั่วโมงกว่าจะถึง แล้วดันคำนวณเวลาผิด ไปถึงตอนห้าโมงเย็น ทั้งๆ ที่ต้องให้เสร็จทุกอย่างก่อนทุ่มนึง เพราะจะเป็นช่วงที่กระทิงจะออกมาขวางถนนหมดเลย ออกช้ากว่านั้นจะกลับบ้านไม่ได้ พอไปถึงก็เลยต้องรีบถ่ายมากๆ วิ่งถ่ายกันในป่า ก็ถือว่าเป็นการทำงานที่ท้าทายมากเหมือนกันนะ
พอมาอีกวันหกล้มจนกล้องหัก นักแสดงเห็นก็ตกใจว่าไอ้ต้นมันล้มจนกล้องหักแล้วยังจะวิ่งมาถ่ายต่ออีก คือตอนนั้นไม่สนใจแล้วว่าแผลจะถลอกยังไง จอกล้องก็มองไม่ได้แล้วด้วย แต่ก็ถ่ายไปทั้งๆ ที่มองมันไม่เห็นนั่นแหละ คิดว่าจะเกิดอะไรก็เกิดในเมื่อมันยังเรคคอร์ดได้ พอทีมเห็นว่าต้นมันสู้ เขาก็เอาสุดทางกับเราด้วยเหมือนกัน
ที่ภูมิใจกับงานนี้เพราะมันยาก แล้วเอ็มวีตัวนี้ก็ได้เข้าชิงรางวัลทุกสาขาเลย จนรู้สึกว่านี่เราทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอวะ (ยิ้ม) ทำให้เกิดความภูมิใจในตัวเองขึ้นมานิดนึง แต่ถามว่ามีตัวไหนที่เป็นงานมาสเตอร์พีซไหม สำหรับผมไม่มีนะ เพราะทุกตัวมันก็มีการคิดงานออกมาเป็นพิเศษในตัวมันเองอยู่แล้ว”
Slot Machine : จันทร์เจ้า (Goodbye) from HUAGLOM on Vimeo.
("จันทร์เจ้า" เอ็มวีที่กวาดรางวัลจนทำให้ชื่อของ "ต้น-ยศศิริ" ลือลั่นในวงการ)
มีทุกสกิล ทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่คิดคอนเซ็ปต์ ติดต่อลูกค้า หาสถานที่ ถ่ายทำ ตัดต่อ จ่ายเงิน บริหารงาน ทำบัญชี ฯลฯ พูดได้เต็มปากเลยว่า ทั้งชีวิตนี้ต้นทำมาหมดทุกตำแหน่งแล้วในบริษัท แถมยังไม่คิดว่ามันจะหนักหนาอะไร กระทั่งถึงวันที่โชคชะตาลากเขามาปะทะกับจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต จนถึงกับต้องล้มหมอนนอนเสื่อเข้าโรงพยาบาล เขาจึงตระหนักได้ว่าถึงเวลาที่จะต้องปล่อยวางชีวิต “เผด็จการด้านการงาน” เสียที
“เมื่อก่อนเป็น one stop service อยู่ที่ตัวคนเดียวหมดเลย เพราะเงินค่าเอ็มวีก็ไม่ได้เยอะอะไรมากมาย ไม่รู้จะไปจ้างใครได้ เลยคิดว่าทำเองดีกว่า แต่สุดท้ายมันก็ทำไม่ได้ตลอดไป พอถึงวันที่ตัวเรา shut down ปุ๊บ มันพังไปหมดเลยครับ วันที่ผมไม่สบายนั่นแหละคือจุดเปลี่ยนของแท้เลยนะ ตอนนั้นดันทะลึ่งไปกินไส้ย่างที่สระแก้ว แล้วอ้วกเละเทะ เข้าโรงพยาบาล อาหารเป็นพิษอย่างที่ไม่เคยเป็นมาตลอดทั้งชีวิต แล้วลูกค้าก็โทร.มาทวงงาน ตอนนั้นรู้สึกอยู่อย่างเดียวเลยว่าน้ำใจอยู่ที่ไหน เรานอนพะงาบๆ อยู่ยังจะโทร.มาเร่งให้ส่งงานให้ได้จริงๆ เหรอวะ กูจะตายแล้วนะ (น้ำเสียงเคร่งเครียด) ก็เลยคิดได้ว่าคงต้องถึงเวลาสร้างคนมาทำแทนเราบ้างแล้วล่ะ”
แต่ปัญหามันดันไม่จบลงตรงที่หาคนมาช่วยได้แค่นั้น ผลพวงจากการทำงานด้วยตัวคนเดียวมันทำให้งานของต้นมี “ลายเซ็น” ที่ชัดเจนโดยไม่ตั้งใจ เมื่อต้องถ่ายโอนความรับผิดชอบที่เคยแบกรับไว้ทั้งหมดคนเดียวไปยังลูกทีม จึงกลายเป็นอุปสรรคต่อการทำงานครั้งใหญ่ ลูกค้าที่มาจ้างงานก็อยากจะได้ลายเซ็นที่เป็นของต้นเอง แต่บทเรียนที่ผ่านมาครั้งนั้นก็ทำให้ต้นต้องใจแข็งและเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะรู้แล้วว่าถึงจะเป็นสุดยอดผู้กำกับที่อึด-ถึก-บ้าพลังแค่ไหน ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าคำว่า “พอดี”
“ผมไม่เคยมองว่าผมเป็นคนมีลายเซ็น แต่คนอื่นบอกว่าดูงานแล้วรู้ครับว่าชิ้นนี้ผมทำ คือปกติผมจะพยายามทำให้มันเป็นธรรมชาติที่สุด ไม่ได้คิดว่าจะต้องถ่ายพิเศษอะไร การทำงานแบบนี้มันคือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเสียส่วนใหญ่ มันคือ sense เฉพาะหน้าตลอดเวลา ก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้หรือเปล่าที่คือลายเซ็นของเรา สำหรับคนที่ทำงานอยู่แล้วในวงการจะพอเดาออกว่า งานนี้ต้นตัด ซีนนี้ต้นทำ
แต่ผมก็เชื่อว่าเราสามารถแก้ปัญหานี้ได้ ถ้าเราสามารถวิเคราะห์สิ่งที่เราชอบออกมาเป็นรูปธรรมได้มากขึ้นเรื่อยๆ ผมเชื่อว่าเราจะสร้างคนที่มาทำแทนได้ในลายเซ็นแบบนี้ ถ้าเราบอกกันดีๆ ค่อยๆ สอนไปว่าผมมักจะตัดต่อแบบนี้ๆ นะ แล้วทำไมเราจะสอนให้คนอื่นทำไม่ได้บ้าง ของมันฝึกกันได้อยู่แล้ว
เทียบกับเมื่อก่อน มันยากมากที่เราจะเชื่อใจคนอื่น เพราะใครทำอะไรมันก็ไม่พอใจไปหมด ไม่เอาละ ทำเองดีกว่า เมื่อก่อนจะดื้อมากครับ จะเอาชนะแล้วก็ตีโพยตีพาย ขี้โมโห เหวี่ยงเยอะมาก รู้สึกว่าอะไรมันก็ไม่ได้ดั่งใจ แล้วมันก็ถูกบีบด้วยเวลา ด้วยหลายๆ เรื่องที่มันจะต้องเร่ง เลยกลายเป็นคนใจร้อนไปโดยอัตโนมัติ แล้วก็สมาธิสั้นเพราะต้องเปลี่ยนเรื่องคิด ต้องแก้ไขปัญหานู่นนี่ตลอดเวลา ช่วงหลังๆ ก็พยายามจะเบาๆ ลง ถอยหลังมานั่งเฉยๆ ดูบ้าง คิดว่าอะไรที่แบ่งคนอื่นทำแทนได้ก็เริ่มๆ ทำซะบ้างนะต้นนะ (ลากเสียง) มันจะไม่มีใครคบแกแล้วนะ จะดื้อไปถึงไหน”
เป็นเพราะเคยมองว่าตัวเองคือ “ศิลปิน” คือเจ้าของผลงานทุกชิ้นที่ทำ จึงทำให้ต้นในสมัยก่อน เป็นไอ้คนดื้อแพ่งชนิดที่ไม่น่าให้อภัย ดื้อถึงขนาดที่ว่าต้องการเอาชนะแม้กระทั่งกับธรรมชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีวันเป็นไปได้!
“มีอยู่งานหนึ่ง ไปถ่ายตอนหน้าฝนเลยครับ ตอนนั้นไปถ่ายกันที่ลานๆ หนึ่งแถวชลบุรี คิดว่าคงโดนธรรมชาติลงโทษแหละครับเพราะถ่ายผู้หญิงแก้ผ้ากลางแจ้ง (หัวเราะเบาๆ) ฝนตกหนักเป็นบ้าเป็นหลังเลย เราก็ไปปักไฟนีออนกันเต็มสนามแล้วไฟก็ดูดกระจุย แต่ผมก็ไม่ยอม คิดว่าจะเอาให้ได้ อยากได้ภาพมันๆ อย่างที่เราตั้งโจทย์ไว้ แต่ฝนมันตกหนักมากเลยหยุดถ่ายไป
พอวันถัดมาก็กลับมาถ่ายกันใหม่ คราวนี้ตกหนักกว่าเดิมอีก บอกเลยว่าเฮ้ย! ไม่ยอม มีเงินเท่าไหร่ก็ไปเอามา แต่ฝนก็ตกเละอีก พอรอบสามถึงคิดว่ายอมก็ได้ ยอมเข้าไปถ่ายในสตูดิโอ กว่าจะถ่ายเสร็จเงินเข้าเนื้อหมดเลย ก็ถือเป็นบทเรียน รู้เลยว่าปัญหามันยังมีทางแก้ทางอื่นอีกถ้าคิดดีๆ แล้วก็ใจเย็นๆ ลงนิดหนึ่ง ถ้าเราลงรายละเอียดกับมัน เราก็จะเห็นว่ามันยังมีทางเลือกอื่นอยู่เสมอ
หลังจากนั้นมาก็พยายามทำงานด้วยความมีวินัย ขยัน เคารพความคิดตัวเอง และอย่าดื้อให้มันมากนัก เพราะอาชีพที่เราทำมันคือการแก้ปัญหา แต่ตอนแรกๆ ผมคิดว่าเราเป็นศิลปิน พอมาจนถึงวันนี้ ผมถึงรู้สึกว่าเราไม่ใช่ศิลปินนะ เราก็แค่คนทำงานเซอร์วิสให้เขา งานที่เราทำก็ไม่ใช่งานของเรา มันเป็นงานของเขา เขาจ่ายเงินให้เราทำ เพราะถ้าศิลปินจริงๆ เขาก็ไปวาดรูปสิ ไปทำงานของตัวเอง ไม่ใช่มาทำงานรับโจทย์ของคนอื่นเขาแบบนี้
คนที่ทำงานด้านนี้ ถึงวันหนึ่งจะเข้าใจเองว่าเราไม่ใช่ศิลปิน ประสบการณ์จะบอกเราเอง ถึงวันหนึ่งเราดื้อไป ลูกค้าเขาก็ยกเลิกแล้วจะอีโก้ไปทำไม จะดื้อไปถึงเมื่อไหร่ พอถึงวันที่มันจำเป็นต้องใช้เงิน ก็ลดอีโก้ลงได้นี่หว่า อ้าว! ก็ไม่ใช่ศิลปินนี่หว่า ก็แค่ต้องเอาอีโก้ของตัวเองลงมาแล้วก็เคารพในโจทย์ เคารพในหน้าที่ตัวเองก็แค่นั้นเองนะ”
ต้องบอกว่า “ไอ้ต้นเลือดร้อน” ในวันนั้น โตขึ้นเยอะในวันนี้ เพราะต้นในวัย 31 ปีพอจะมองออกแล้วว่า “ความสุขที่แท้จริง” ของชีวิตไม่ได้มีแค่เรื่องงานอย่างเดียว
“ทุกวันนี้ก็จะพยายามให้เวลาตัวเองเยอะๆ ครับ อยากไปดูอะไร อยากไปเที่ยวไหนก็พยายามเก็บตังค์ให้ตัวเองได้ไป ได้ดูหนังที่ชอบ ได้กินข้าวในที่ที่อยากกินก็โอเคแล้ว จริงๆ แล้วความสุขของผมไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตเลย เย็นนี้อยากกินหมูจุ่มก็พยายามให้ได้ไปกินบ้างนะ หรือวันเสาร์อาทิตย์ ให้มันได้หยุดบ้างนะ อย่างที่คนอื่นเขาได้หยุดกัน มันก็แค่นั้นเอง ผมเลยกลายเป็นคนที่เวลาว่างจะอยู่บ้านเฉยๆ พ่อแม่ไปเที่ยวไหนก็ไม่อยากไป อยากอยู่บ้าน ไม่อยากทำอะไร เพราะที่ผ่านมา งานมันทำให้เราต้อง active ตลอดเวลามากเกินไป
ปีนี้ก็พยายามจะสร้างโรงเรียนสอนเรื่องออกแบบ (BEAR Visual Specialist School) ขึ้นมาด้วย แต่ยังไม่รู้ว่ามันจะไปได้ขนาดไหน แรกๆ ก็แค่อยากสร้างขึ้นมาให้สำเร็จก่อนครับ อยากสร้างคนที่ขึ้นมาทำงานแทนเราได้ เพื่อให้บริษัทดูแลตัวเองได้ แล้วก็เพื่อให้ตัวเราเองได้เหนื่อยน้อยลง”
(สาธิตกระบวนการทำเอ็มวี สร้างคนรุ่นใหม่ในฐานะอาจารย์โรงเรียน BEAR Visual Specialist School)
สมดุลให้ดีระหว่างเวลาพักกับเวลางาน คือคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการบ้างานที่เคยก้าวพลาดมาแล้ว ส่วนคนที่ยังค้นหาตัวตนไม่เจอ และคิดว่าอยากเอาดีในเส้นทางสายเอ็มวีหรือเส้นทางฝันในแบบของตัวเอง มีคำแนะนำสั้นๆ ง่ายๆ จากเขาคนนี้ นั่นคือคำว่าลองทำให้ “สุดทาง!”
“ต้องชัดเจนในสิ่งที่ตัวเองชอบ ถ้าไม่รู้ว่าชอบอะไรก็ลองทำให้มันสุดทางสักอย่างหนึ่ง เช่น บอกว่าถ่ายรูปได้ ก็ไม่ใช่ว่าจะถ่ายรูปไปเรื่อย ก็อาจจะต้องถ่ายรูปอะไรสักอย่างหนึ่งไปให้มันสุดทาง เช่น เราว่าเราถ่ายรูปลูกกะตาได้สวย หรือถ่ายรูปหลังคาวัดได้สวย เราก็ถ่ายมันไปเรื่อยๆ แล้วเราจะเห็นเอกลักษณ์หรืออะไรบางอย่างที่คนทั่วไปมองไม่เห็น มันจะทำให้เรามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นมาเอง
คือต้องมีวินัยในการทำงาน ในการฝึกฝน ไม่ใช่ฝึกไปเรื่อย แต่ต้องรู้จักโฟกัส ถามว่าถ้าชอบวาดรูป ชอบวาดแบบไหน สีไม้หรือสีชอล์ค หรือชอบวาดกับคอมพิวเตอร์ แล้วเอาชนะสกิลตรงนั้นได้หรือยัง ได้ลองทำไปจนถึงขั้นที่มีคนยอมรับแล้วหรือยัง หรือได้ไปให้มันสุดทางสายนั้นจริงๆ แล้วหรือยัง?”
[คลิป] เผยหมดเปลือก! เบื้องหลัง "Hailstorms" สุดยอด MV บ้าพลังจากผู้กำกับฝีมือเทพ!!
หลากเอ็มวีขั้นเทพ ฝีมือ "ต้น-ยศศิริ"
HUGO - Hailstorms Music Video from HUAGLOM on Vimeo.
("Hailstorms" สุดยอด MV บ้าพลังจนฝรั่งให้ขึ้นหิ้ง)
(หนึ่งในผลงานบ้าพลังจากทีม "หัวกลม" แอนิเมชันแนวๆ จากต้นและน้องๆ ในทีม)
Stamp : ชายกลาง from HUAGLOM on Vimeo.
(เพลง "ชายกลาง" กำกับและปรับสีโดย "ต้น-ยศศิริ")
Singular - เบา เบา from HUAGLOM on Vimeo.
(เพลง "เบาเบา" อีกหนึ่งงานที่ผ่านการปรับสีตามสไตล์ของต้นมาเรียบร้อยแล้ว)
Singular : กลับไปที่เก่า (Revoke) from HUAGLOM on Vimeo.
(ผลงานการละลายฟุตเทจ สร้างแอนิเมชันจากเทคนิกละลาย ในเพลง "กลับไปที่เก่า")
สัมภาษณ์โดย ASTVผู้จัดการ Lite
เรื่องและคลิป: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: ศิวกร เสนสอน
ขอบคุณภาพบางส่วน: แฟนเพจ "BEAR Visual Specialist School", “Hugo”, "Lullaby Entertainment", "SO::ON DRY FLOWER", “Huaglom” และ เว็บไซต์ "BEAR the School"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง (คลิก)
- "ฮิวโก้" ถูกละเลงเละ! แฟนเพลง 100 ชีวิต รุมสร้างสุดยอด MV บ้าพลัง!! [ชมคลิป]
- “Hailstorms” สุดยอด MV บ้าพลังของไทย! เล่นใหญ่จนฝรั่งให้ขึ้นหิ้ง!!
รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754