เมื่อค่ายใหญ่ในต่างแดนไม่ใช่คำตอบของชีวิตอีกต่อไป เรือรบลำใหญ่ภายใต้สังกัดอินเตอร์ จึงถูกย่อส่วนลงมาเหลือเพียงสปีดโบตสัญชาติไทย แล่นเรือข้ามฝ่าห่ามรสุมกลับมายังน่านน้ำเจ้าพระยา บรรทุกเฉพาะคนที่ควรค่ากับสัมภาระที่จำเป็น บวกพ่วงมาพร้อมมาตรฐานความเป็นสากลที่ "กัปตันฮิวโก้" เซตเอาไว้มาตั้งแต่ต้น และนี่คืออีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองของผู้ชายที่มีเส้นทางสายดนตรีเป็นเดิมพัน!
[มินิคอนเสิร์ต "Hugo Under City Lights" ในงานแถลงข่าว]
กัปตันฮิวโก้ ผู้คุมเรือดนตรีสัญชาติไทย!
“มันไม่ใช่ว่าไม่มีค่ายแล้วจบ สำหรับผม ไม่ต้องมีก็ได้! จากเมื่อก่อนพอไม่ต้องมี มันจะมีกำแพงตั้งขึ้นมาเลยว่า ถ้าเลยจากจุดนี้ไป คุณจะไม่มีทางเดินแล้ว แต่ตอนนี้ ใครจะไปรู้ว่า Top Ten (10 อันดับเพลงยอดนิยมในชาร์ต) จะมาจากไหนกันบ้าง!?”
น้ำเสียงของผู้ชายที่ชื่อ “ฮิวโก้-จุลจักร จักรพงษ์” ยังคงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจไม่เคยเปลี่ยน และดูเหมือนจะยิ่งหนักแน่นเข้าไปอีกในวันนี้ที่เขาปลดแอกตัวเองจากสังกัด “Roc Nation (อเมริกา)” เรียบร้อยแล้ว ต้นสังกัดเดิมที่เคยเคียงข้างสร้างชื่อ “Hugo” ฝากเอาไว้ในระดับอินเตอร์ สู่สังกัดใหม่ค่ายอินดี้สัญชาติไทย “Lullaby Entertainment & SO::ON Dry Flower” ที่ถึงแม้จะไม่ได้มี “Jay Z” ศิลปินฮิปฮอปชื่อดังเจ้าของค่ายเป็นแบ็กอัปเหมือนเคย แต่บอกได้เลยว่าแรงขับเคลื่อนต่อจากนี้ก็น่าจับตามองไม่แพ้กัน!
“ในเมื่อค่ายเดิมมันใหญ่เสียจนผูกมัด จนมองไม่เห็นว่าเราจะไปทำยอดให้ค่ายที่ใหญ่ขนาดนั้นได้ยังไง เทียบกับที่เขาทำยอดกันเองทุกวันๆ กับนักกีฬาในสังกัดของเขา ซึ่งมีมูลค่าเป็นล้านๆ เหรียญ เพราะเขาดูแลหลายอย่างในมือ ไม่ได้ดูแลแค่ศิลปิน แต่ดูทั้งนักกีฬาด้วย ดาราด้วย มันเลยทำให้กว่าจะเคลื่อนตัวทำอะไร กว่าจะตัดสินใจได้แต่ละอย่างมันช้ามาก ยิ่งเราอยู่กันคนละประเทศ คนละเวลา กว่าจะตกลงกันได้มันก็นาน มันเป็นเหมือนเรือรบลำใหญ่ แต่จริงๆ แล้ว ผมมองว่าเราต้องการแค่สปีดโบตก็พอแล้ว (ยิ้มมุมปาก) เพราะว่าสิ่งที่เราบรรทุกมันไม่ได้เยอะขนาดนั้น”
[เอ็มวีเพลง “Hailstorms” ที่เจ๋งจนเว็บไซต์ Vimeo ต้องเอาขึ้นหิ้ง!]
เอ็มวีเพลง “Hailstorms” ซิงเกิลที่ 2 จากอัลบั้มล่าสุด “Deep In The Long Grass” คือบทพิสูจน์ที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่งจากแรงขับเคลื่อนของเรือเล็กลำนี้ แรงถึงขนาดที่เว็บไซต์ Vimeo แหล่งรวมผลงานศิลปินจากทั่วทุกมุมโลก ยังถึงกับต้องยกให้ขึ้นอันดับเอ็มวีสุดเจ๋ง จัดให้เป็นหนึ่งใน “Staff Picks” เอ็มวีที่ขอแนะนำว่าห้ามพลาด! หรือแม้แต่ชาร์ตเพลงยอดนิยมในไทยเอง เพลง “Hailstorms” ก็เคยคว้าอันดับหนึ่งมาครองแล้ว จากการจัดอันดับ Cat 30 ของคลื่น 94.5 FM “Cat Radio” และนี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้ในดวงตาของชายหนุ่มเคราครึ้มนายนี้ ยังคงฉายประกายความหวังทุกครั้งที่พูดถึงวงการเพลงในบ้านเรา
[เพลง “Hailstorms” ซิงเกิลที่ 2 จากอัลบั้ม “Deep In The Long Grass” พุ่งทะยานครองอันดับหนึ่งหลังปล่อยไปได้ไม่กี่สัปดาห์/ ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ “Cat Radio”]
“ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะมาจากค่ายเล็กหรือค่ายใหญ่ หลายๆ อย่างเริ่มมาอยู่ในเลนเดียวกันได้แล้ว ผมว่ามันเริ่มเหมือนในอังกฤษแล้วล่ะที่สามารถมีเพลงประกอบรายการเด็ก เพลงอินดี้ เพลงแดนซ์ ยันเพลงอะไรก็ไม่รู้ ปนกันอยู่ใน Top Ten นี้ได้”
เทียบกับอัลบั้มก่อน “Old Tyme Religion” ซึ่งใช้เวลาปลุกปั้นอยู่ร่วม 5 ปีกว่าจะออกสู่ตลาดโลกได้ จึงถือว่าอัลบั้มใหม่ขับเคลื่อนไปได้รวดเร็วกว่าเยอะ เหมาะแล้วที่ฮิวโก้เปรียบเทียบเอาไว้ว่าเป็น “สปีดโบต” แต่ถ้าเทียบกับอุณหภูมิที่คุกรุ่นอยู่ภายในหัวใจแล้ว เขายังคงมองว่ามันยังเร็วไม่พออยู่ดี ถึงแม้จะถ่ายโอนกระบวนการทุกอย่างกลับมาที่ไทยแล้วก็ตาม
“มันก็ยังไม่คล่องแคล่วพอเท่าที่ผมต้องการ แต่ว่าต่อไปนี้มันน่าจะคล่องแคล่วขึ้นแล้ว (น้ำเสียงเด็ดขาด) มันน่าจะอยู่ที่ว่าเรามีผลงานพร้อมหรือเปล่า คือถ้าพร้อมและทำเสร็จปุ๊บ มันก็ไม่น่าจะมีอะไรดีเลย์แล้ว ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ต้องรอทางค่ายมาฟันว่าจะเอาหรือไม่เอา เพลงผ่านหรือยัง จะออกงบเมื่อไหร่ วางแผงให้ได้วันไหน อัลบั้มก่อนทำมาเกือบ 5 ปีกว่าจะได้วาง ซึ่งผมว่ามันนานไป
แต่ก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ครับ เพราะตอนที่เราไปที่นู่น เราคิดแค่ว่าขอให้งานชุดนี้ได้ออกเถอะ เพราะเราก็เห็นถึงความยากของมันแล้วว่ากว่าจะออกได้เป็นยังไง เราเลยไม่ได้คาดหวังอะไรนอกจากได้ออก ได้ทัวร์ และได้ออกทีวีที่อเมริกา มันก็...” ไม่จำเป็นต้องมีถ้อยคำอธิบายความรู้สึกให้ชัดเจนไปกว่านี้ เพราะสีหน้าและแววตาของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า ช่วยเติมคำในช่องว่างได้เป็นอย่างดีแล้วว่าเขารู้สึกอิ่มเอมแค่ไหนกับเส้นทางที่เลือกเดิน
ให้มองย้อนกลับไปในเส้นทางสร้างชื่อระดับโลก สามารถเรียกได้ว่า “ประสบความสำเร็จ” มากน้อยแค่ไหน? หลายคนมองว่าเขาคือหนึ่งในศิลปินไทยไม่กี่คนที่สามารถใช้คำว่า “โกอินเตอร์” ได้จริงๆ และอีกหลายคนก็แอบนึกเสียดายแทนไม่ได้ที่ฮิวโก้ด่วนสละเรือรบลำใหญ่ในนาม “Roc Nation” ทิ้งไปเสียก่อน เพราะถ้าตัดสินใจควบฝ่าห่ามรสุมไปบนน่านน้ำฝั่งนู้น เขาอาจจะโด่งดังเป็นดาวที่ขายดีในตลาดโลกเลยก็ได้ แต่สำหรับนักสู้บนสายดนตรีนายนี้แล้ว เขากลับไม่นึกเสียดายที่ตัดสินใจกระโดดย้ายค่ายมายังเรือลำเล็ก แล้วเปลี่ยนมาใช้ผืนแผ่นดินไทยแห่งนี้เป็นแหล่งบัญชาการรบ
“คำว่า “ประสบความสำเร็จ” มันก็ไม่ค่อยมีความหมายนะ แค่เรายังทำงานอยู่ได้ เราไม่มีหนี้ และเราดูแลคนในครอบครัวได้ นั่นแหละคือความสำเร็จสำหรับผมแล้ว ความสำเร็จของหลายๆ คนมันไม่เหมือนกัน ผมไปอยู่ที่นู่น ผมอาจจะมีโอกาสดังกว่านี้ก็ได้ แต่ผมก็จะไม่ได้อยู่กับครอบครัว และถ้าผมตายขึ้นมาแล้วไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ผมรัก แล้วมันคืออะไร? ชีวิตมันประสบความสำเร็จไหม? ถ้าคุณทำแต่งาน ตามความฝัน ตามเส้นทางความโด่งดัง แต่ไม่ได้อยู่กับคนที่คุณอยากอยู่ด้วย...
ไม่ใช่แค่แฟนหรือลูกนะ ผมหมายถึงเพื่อนหรือสังคมของเรา ประเทศของเราด้วย ตอนที่ตัดสินใจไปที่นู่น เราแค่ไหวตัวไปตามสถานการณ์เมื่อมันมีโอกาสดีๆ เข้ามา แต่พอมีลูกมันก็เริ่มชัดเจนขึ้นว่าเราต้องทำอะไร ว่าเราต้องอยู่ที่ไหนในที่สุด” น้ำเสียงที่คมเข้มและแววตาที่คมกริบอยู่แล้ว กลับแลดูสุขุมและนิ่งสงบมากขึ้นไปอีกเมื่อพูดถึงมุมมองชีวิตที่เกี่ยวกับครอบครัว
[รวมคลิป ปรากฏการณ์ความโด่งดังของฮิวโก้จากอัลบั้มโกอินเตอร์ "Old Tyme Religion"]
“ที่เขาตัดสินใจแบบนี้ ส่วนหนึ่งคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเขาอยากจะใช้เวลาอยู่กับลูก อยู่กับคนรักบ้าง เพราะกลับไปคราวที่แล้วลูกเพิ่งคลอด เขาต้องไปทัวร์หลายเดือน พอกลับมาลูก (น้องฮาร์เปอร์) จำหน้าไม่ได้ ไม่ให้อุ้ม เขาก็คงรู้สึกนิดหนึ่งว่าเวลาที่มันมีค่าตอนนั้น มันหายไป...” ฮาน่า-ทัศนาวลัย จักรพงษ์ ภรรยาสาวสุดเปรี้ยวช่วยเผยมุมเล็กๆ เสริมเอาไว้ มุมที่ไม่น่าจะมีโอกาสได้ยินสามีสุดเซอร์พูดถึงมันบ่อยนัก
“จากการได้ลองไปลุยที่นู่นมา มันกลายเป็นว่าเขาเป็นคนที่ไม่ได้ดังมากๆ คืออยู่จุดกึ่งกลางระหว่างดังกับคนไม่รู้จักเลย มันเลยตัดสินใจยากว่าจะอยู่ต่อไหม เพราะถ้าอยู่ต่ออาจจะดังก็ได้นะ งานเขาก็ไม่ได้ดร็อป ทุกคนก็ยังรู้จักเขา เอาเพลงในอัลบั้มไปใช้ในซีรีส์ ในฉากหนังต่างๆ ก็มี (ภาพยนตร์ดังเรื่อง “No Strings Attached” ก็มีฉากฮิวโก้เล่นดนตรีสดเพลง “99 Problems” อยู่ในนั้น) มันอาจจะเวิร์กก็ได้ แต่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะครอบครัวอยู่นี่ ลูกอยู่นี่ มันก็ยากสำหรับเขา
แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ ฮาน่าว่าตอนนี้เพลงมันเวิล์ดไวด์ เครือข่ายโซเชียลฯ มันกว้างขวางมาก ถึงอยู่ที่ไหนถ้าเพลงมันจะดัง มันก็ดังได้ ที่ผ่านมาเขารู้สึกว่าต้องออกไปตามล่าหาฝัน ซึ่งเขาก็ได้ทำแล้ว และเขาก็ได้ออกอัลบั้มกับที่นู่น และเพลงของเขาก็ได้ขึ้นชาร์ตบิลบอร์ดที่นู่นแล้ว หรืออย่างอัลบั้มนี้ เอ็มวีเพลง “Hailstorms” ถึงทำที่เมืองไทย แต่เพลงก็ยังติดชาร์ตของที่นู่นได้ ตอนนี้เทคโนโลยีมันกว้างไกล อินเทอร์เน็ตทำให้โลกมันแคบลงได้ แล้วถ้ามีงานก็บินไป ปีนี้ก็เพิ่งมีบินไปเล่นที่นิวยอร์กมา”
Deeper... Under City Lights
[ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ “Hugo”]
เมื่อตัดสินใจจะแล่นเรือลำเล็กออกฝ่ามรสุม ลูกเรือที่ฮิวโก้เต็มใจต้อนรับให้เข้ามาช่วยเติมน้ำหนักเรือจึงย่อมต้องเป็นบุคคลที่คัดสรรมาแล้ว โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในคอนเสิร์ตใหญ่ “Hugo Under City Lights” ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 10-11 ต.ค. ณ อักษรา เธียร์เตอร์ คิงเพาเวอร์ ประกาศรายนามออกมาอย่างเป็นทางการแล้วว่า อัดแน่นไปด้วยเหล่าเพื่อนซี้ตัวท็อปของวงการ ไม่ว่าจะเป็น เจ-มณฑล จิรา, เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ หรือแม้แต่ศิลปินสาวมาดเซอร์อย่าง ปาล์มมี่-อีฟ ปานเจริญ ฯลฯ ซึ่งจะร่วมกันออกมาวาดลวดลายให้คอเพลงได้เซอร์ไพรส์ในรูปแบบที่ “ลึกกว่า” เคยเป็นมาอย่างแน่นอน อย่างที่ฮิวโก้ตั้งใจให้เข้ากับชื่ออัลบั้ม “Deep In The Long Grass”
“อยากให้มันเป็นฟอร์มใหญ่กว่าตอนออกไปเล่นทั่วๆ ไปครับ จริงๆ แล้ว เราก็ยินดีนะที่จะได้เล่นตามต่างจังหวัด เล่นกลางแจ้ง เล่นในร้าน ในผับบาร์ เพียงแต่นานๆ ทีเราจะได้เล่นในที่ที่เรากำหนดอะไรได้มากขึ้นในเรื่องของแสง ภาพ และในเรื่องของบรรยากาศมันจะประณีตมากขึ้น เพราะเรารู้ว่าคนที่ซื้อตั๋วมาดูเขาต้องการอะไรชัดๆ และเราก็รู้ว่าเรามีเวลายืดเยื้อได้ เราเจาะลึกกว่าเดิมได้ โดยเฉพาะดนตรีแบบนี้ที่เรานำเสนอเสียงที่ค่อนข้างละเอียด มันอาจจะฟังดูประหลาดนะครับ แต่อัลบั้มนี้เต็มไปด้วยความเงียบ เต็มไปด้วยช่องว่างสำหรับอากาศ ดังนั้น ถ้าได้เล่นในที่ที่เงียบกริบจริงๆ โน้ตมันจะได้มีความหมายมากขึ้น เพราะความจริงที่อักษรามันเป็นโรงละครสำหรับหุ่นกระบอก เสียงเลยจะไม่ดังเหมือนที่ที่ฉาบด้วยปูน ทำให้เสียงออกมาเพราะ
[บรรยากาศวันงานแถลงข่าวคอนเสิร์ต “Hugo Under City Lights”]
บทบาทของแขกรับเชิญของเราก็น่าจะเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์ครับ เราจะพาเขามาทำอะไรที่ไม่ค่อยได้เห็นเขาเคยทำ ก็ชวนเพื่อนๆ กันนี่แหละครับมา มีพี่เจ-มณฑล มีคุณเป้-อารักษ์ ซึ่งน่าจะเป็นหนึ่งในมือกีตาร์ที่หล่อที่สุดในประเทศแล้ว (ยิ้ม) เขาก็จะมาโชว์การร้องเพลงกับกีตาร์ของเขา แล้วก็คุณปาล์มมี่ คู่แฝดของผม ช่วงหลังได้ร่วมงานกันบ่อยครับ เขาก็จะมาร้องเพลงตามสไตล์ลูกครึ่งอย่างพวกเรา เราก็เคยไปขึ้นคอนเสิร์ตให้เขาแล้ว นี่ก็ถึงเวลาที่เราจะต้อนรับเขามาบนเวทีของเราบ้าง แล้วก็จะมีเพื่อนๆ จากวงสิบล้อที่ไม่ได้เล่นดนตรีด้วยกันมานาน มารื้อฟื้นความหลังกัน”
[3 หนุ่ม 3 มุม จะมาเจอกันในคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งนี้ของฮิวโก้อย่างแน่นอน/ ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @paearak]
[อีกหนึ่งแขกรับเชิญมาดเซอร์ “ปาล์มมี่” สนิทกันมาตั้งแต่เชิญเล่นในคอนเสิร์ต “กา..กา..กา”/ ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ “PALMY”]
“The people that I'm looking for are out in the dark. Under city lights you don't see many stars” คือเนื้อเพลงท่อนสำคัญใน “Hailstorms” พูดถึงพายุมรสุมที่พัดเข้ามาในชีวิต และเป็นที่มาของชื่อคอนเสิร์ต “Hugo Under The City Lights” ด้วยความคิดลึกซึ้งที่อยากหยิบเรื่องของแสงสีความเป็นเมืองมาเล่นในคอนเสิร์ตนี้ด้วย
“ผมอยากจะเพิ่มประสบการณ์ให้เหมือนกับที่เราจินตนาการไว้ คือเหมือนเราได้ขึ้นยานพาหนะและได้ไปในที่ที่เรากำหนดไว้ ในเมื่อเราจัดมันอยู่กลางใจเมืองแบบนี้ ผมก็อยากให้มิติของแสง-สี-เสียงมันเพิ่มขึ้น เพราะเราเองก็อยู่ภายใต้แสงสีของเมือง จริงๆ แล้ว อิทธิพลหลักๆ มันมาจากงานวัดนะครับ (ยิ้ม) อย่างทางเข้างานวัดมันจะมีไฟนีออนประดับอยู่ ซึ่งตอนกลางวันมันก็จะดูง้องแง้งยังไงไม่รู้ แต่พอตกเย็นปุ๊บ มันกลับกลายเป็นความสวยงาม กลายเป็นดูมหัศจรรย์ ดูพิเศษขึ้นมาได้ เราก็เลยจะเล่นกับสีเหล่านั้น แต่เป็นสีที่เย็นหน่อย
เทียบกับคอนเสิร์ตเมื่อ 3 ปีที่แล้ว (“Hugo Live In Bangkok”) อัลบั้ม “Old Tyme Religion” จะเน้นโทนสีที่ค่อนข้างร้อน เน้นสีแดง สีของไฟ เน้นความรุมเร้าของอารมณ์ แต่อัลบั้มนี้ เนื้อเพลงจะค่อนข้างเปลี่ยนไป ไม่ค่อยล่อแหลม เป็นเรื่องของความรู้สึก ความอบอุ่น เป็นอัลบั้มที่ทำในช่วงชีวิตที่ค่อนข้างมีความสุข ไม่หดหู่ เราเลยต้องการที่จะนำเสนอให้คนได้ความรู้สึกสัมพันธ์กับดนตรีที่ลึก ให้มันล้อมตัว ล้อมจินตนาการของคนฟัง ให้เขารู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในกอหญ้าแห่งนี้ (Deep In The Long Grass) ให้ได้”
[ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ “Hugo”]
ที่น่าสนใจคือการโคจรมาพบกันระหว่างดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นแนวถนัดของเจ กับดนตรีแนวโฟล์กร็อก-บลูกราส ซึ่งเป็นแนวถนัดของฮิวโก้ จนเกิดกลายเป็นสีสันใหม่ที่เรียกว่า “โฟล์กโทรนิก้า” ซึ่งถือว่าแปลกหูแต่ลงตัว “พี่เจจะเป็นตัวประสานระหว่างฝั่งไฟฟ้า ส่วนผมจะอยู่ฝั่งไม้ เราก็เอาสองอย่างมาผสมกัน” ฮิวโก้ยืนยันว่าจะบรรเลงซาวนด์ดนตรีที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวเหล่านี้อย่างเต็มเหนี่ยว ผ่านบทเพลงจากอัลบั้มใหม่และบรรดาเพลงฮิตจากอัลบั้มเก่าในคอนเสิร์ตเดียว หลายคนมองว่านี่คือปรากฏการณ์ครั้งใหม่ของ “ดนตรีแนวทดลอง” ของไทย ส่วนเจ้าของอัลบั้มจะมองอย่างไรนั้น บรรทัดต่อจากนี้คือคำตอบ
“อัลบั้มนี้ ผมรับอิทธิพลจากดนตรีประกอบหนังค่อนข้างเยอะ ช่วงที่ผมทัวร์ที่อเมริกา ผมต้องฟังเพลงในรถ ก็ต้องฟังเพลงที่จะไม่เบื่อ ซึ่งมักจะเป็นพวกสกอร์หนังหรือเสียงซิน (Syn) การไปทำงานที่เมืองนอก เป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสหรือตื่นเต้นกับดนตรีแนวนี้ เพราะจริงๆ ก่อนหน้านั้น ตอนที่ผมอยู่สิบล้อ ผมจะค่อนข้างอนุรักษนิยม กีตาร์สองตัว กลอง เบส เท่านั้นพอ แต่หลังจากได้เจอกับพี่เจ เขาก็เข้ามาเกี่ยวข้องกับการผลิตตั้งแต่เดโมจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ก็เลยทำให้อัลบั้มนี้มีกลิ่นอายของสิ่งที่เขาถนัดอยู่แล้ว คือการออกแบบเสียง
เขาจะรับผิดชอบเรื่องการเรียงเสียงที่แปลกประหลาดที่ผมคิดไม่ถึง ส่วนผมจะรับผิดชอบเรื่องของความรู้สึกและความโบราณ ความเป็นดนตรีสไตล์ชนบท ที่เอาสองอย่างมาปนกัน เพราะผมอยากให้มันเกี่ยวข้องกับชีวิตร่วมสมัยของคนสมัยนี้ด้วย ไม่งั้นมันจะกลายเป็นของย้อนยุคอย่างเดียว ซึ่งก็ทำได้แต่ก็จะไม่ได้น่าตื่นเต้นที่จะนำเสนอเท่าไหร่”
จริงๆ แล้ว ภาพรวมของอัลบั้มนี้ ฮิวโก้คุมโทนเอาไว้ว่าให้เป็นดนตรีแนว “กราสฮอป” ซึ่งเป็นแนวที่เขาตั้งขึ้นมาเอง โดยมาจากส่วนผสมของความเป็น “ฮิปฮอป” ผสมกับ “บลูกราส” ซึ่งเป็นโจทย์ที่ตั้งเอาไว้ตั้งแต่ทำเพลง “99 Problems” สำเร็จและส่งให้เพลงดังไกลทั่วโลกตั้งแต่อัลบั้มแรกที่โกอินเตอร์แล้ว
“มันเป็นแนวเราคิดขึ้นมาใหม่ เหมือนเป็นโจทย์บรีฟงานตัวเอง เพราะบางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เราจะทำในห้องอัดมันจะออกมายังไง อย่างน้อยเราเลยต้องมีความตั้งใจ มีเจตนารมณ์ในเบื้องต้นเอาไว้ก่อน ซึ่งเราก็ทำสำเร็จมันในบางเพลงนะ แต่ไม่ใช่ทุกเพลงเสียทีเดียว (ยิ้มบางๆ) เพลงที่อยู่ในโทนนี้ชัดๆ น่าจะเป็นซิงเกิลแรกครับ “Twitch and Tug” แล้วก็เพลง “Feather” เราถึงได้เลือกที่จะใส่ 2 เพลงนี้เข้าไปในแผ่นซิงเกิล 7 นิ้ว (ไวนิล) เพื่อให้มันตอบโจทย์ตรงนี้มากที่สุด แต่จริงๆ แล้วมันเป็นทางที่เราเริ่มทำมาตั้งแต่เพลง “99 Problems” แล้วครับ และเรารู้สึกว่าตอนนั้นเรายังเดินไม่สุด ชุดนี้เลยกะจะค้นคุ้ยประเด็นที่เราตั้งให้ตัวเองให้ได้มากที่สุด”
[เอ็มวีเพลง "Twitch and Tug" ซิงเกิลแรก กับดนตรีที่อัดแน่นไปด้วยเสน่ห์แห่งความแปลกใหม่ จากเอกลักษณ์ในแนวเพลง "กราสฮอป"]
อธิบายให้เข้าใจง่าย มันก็คือหลักของการเอากีตาร์โปร่งมาเล่นในพาร์ตอนุรักษนิยม เอามานำเสนอให้ได้กลิ่นอายของดนตรีพื้นบ้านของอเมริกาที่เรียกว่า “โฟล์ก” “บลูกราส” ซึ่งก็คือดนตรีแนวครีทรีโฟล์กประเภทหนึ่งนั่นเอง แต่เอามาผสมเข้ากับพาร์ตร่วมสมัย หยิบเอาจังหวะของฮิปฮอปมาดึงความสนใจ ซึ่งก็ถือเป็นดนตรีเฉพาะทางอยู่มากเหมือนกัน ดังนั้น เมื่อถูกหลายต่อหลายคนถามว่าเหตุใดศิลปินความสามารถระดับสากลอย่างฮิวโก้ จึงไม่เลือกจัดคอนเสิร์ตใหญ่ที่อิมแพคอารีนาหรือสนามราชมังคลาฯ เจ้าตัวจึงได้แต่หัวเราะเบาๆ แล้วตอบกลับไปว่า “ความสุขของคนเรา อยู่ที่การยอมรับสถานะของตัวเองครับ”
ไม่มีใครดูถูกคนไทย เท่าคนไทยด้วยกันเอง!
คำว่า “นักดนตรีมืออาชีพ” เป็นแรงผลักชั้นดีที่ทำให้ฮิวโก้พาตัวเองเข้าไปแสวงหาโอกาสในต่างแดนอย่างโดดเดี่ยว กระทั่งสามารถหอบความภาคภูมิใจกลับมาให้ตัวเองและประเทศได้ แม้จะเป็นการต่อสู้บนเส้นทางสายดนตรีที่ดูยิ่งใหญ่ไปไม่แพ้นักกีฬาที่มีธงชาติปักอยู่ตรงหน้าอก แต่คนที่ถูกยกย่องชมเชยกลับไม่เคยคิดเลยว่ามันสำคัญขนาดนั้น
“เราทำเพราะเราชอบ นี่คือเส้นทางที่เราเลือกและเราก็ทำตามโอกาสที่เรามี มันไม่ได้จำเป็นว่าเราจะต้องคว้ารางวัล โล่ เหรียญ มันไม่เหมือนกีฬา แต่มันก็ตื้นตันนะ ไม่รู้จะพูดยังไง (ยิ้มบางๆ) แต่ที่คนมองบางทีมันอาจจะดูยิ่งใหญ่เกินไป มันไม่ได้ขนาดนั้นหรอก เพราะคนที่นู่นเขาไม่ได้มองผมเป็นคนไทยไง เขาคงคิดว่าผมเป็นคนอังกฤษอีกหนึ่งคนที่ไปทำเพลงมากกว่า
เราแค่ทำงานตามที่มันมีอยู่ข้างหน้าและเราพยายามทำมันออกมาให้ดีที่สุด ถ้าเราไม่ได้ไปเมืองนอกและเราอยู่ต่อในเมืองไทย คนก็อาจจะยังยอมรับเราอยู่ดีก็ได้นะ ถ้าเราทำมานานพอ พอเราทำอะไรมานานและมันยังมีคุณภาพอยู่ ยังมีความจริงใจและใส่ใจคนก็จะเห็น ผมกล้าพูดว่าผมเป็นคนที่ใส่ใจกับสิ่งที่ทำ ซีเรียสกับมัน จริงจังกับมัน เพราะฉะนั้น มันก็สมควรแล้วที่จะมีคนยอมรับ และเราก็ปลื้มใจที่คนยอมรับ เพราะเราก็ทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ แต่จริงๆ แล้ว เราก็ต้องการให้คนยอมรับมาตั้งแต่แรกแล้วนะ ตั้งแต่ทำวงสิบล้อ ตั้งแต่ก่อนไปเมืองนอกแล้ว”
เทียบกับช่วงวัยหนุ่ม สมัยยังเลือดเดือดอยู่ในวงสิบล้อ บอกได้เลยว่า “ตอนนี้ คนยอมรับเรามากกว่าเดิมแน่ๆ” แต่จะมากกว่าเดิมขนาดไหนและสายตาของคนอื่นๆ ที่มองความเป็น “ฮิวโก้-จุลจักษ์ จักรพงษ์” ในวันนี้เป็นอย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่เขาสนใจหรืออยากรับเอามันมาแบกไว้แม้แต่นิดเดียว
“วันๆ เราอยู่กับลูก อยู่กับเพื่อน หรืออยู่บนถนนเพื่อเล่นดนตรีอาชีพ ชีวิตเรามีแค่นั้นน่ะ เราแทบไม่ได้สัมผัสอารมณ์ที่คนเขามีกับเรา เราไม่ได้มานั่งตามข่าวตัวเองในเน็ตเลยเพราะว่ามันไม่เฮลตี้เลยการทำอะไรแบบนั้น มันไม่ได้ช่วยอะไรเราหรอก” เขายิ้มบางๆ ในท่าทีถ่อมตัว คล้ายไม่ต้องการให้ตัวตนของเขาเป็นที่พูดถึงมากกว่าเรื่องผลงาน ดังนั้น เมื่อให้พูดถึงฟีดแบ็กที่ได้รับจากงานเพลงชุดล่าสุด รายละเอียดในการตอบคำถามของเขาจึงต่างออกไปราวกับเป็นคนละคน
“ฟีดแบ็กก็ดีนะครับ ทุกงานที่เราไปเล่น ยิ่งถ้าไปเล่นต่างจังหวัด เราก็เล่นเพลงฝรั่งเสียส่วนใหญ่ด้วย ซึ่งเขาก็รับได้ มันเหมือนอย่างที่เราคิดมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่า คนไทยน่ะมีรสนิยมจะตาย (เน้นเสียง) เพียงแต่คนที่อยู่ในวงการ อยู่ในจุดที่มีอำนาจจะชอบดูถูก คนไทยน่ะชอบคิดว่าฝรั่งจะดูถูกเรา แต่จริงๆ แล้ว ไม่มีใครดูถูกเราได้เท่ากับพวกเรากันเองเลย ไม่มีใครเหยียดหยามคนไทยได้เท่ากับคนไทยกันเองแล้ว
คิดแต่ว่าคนไทยรับได้แค่นี้ ฟังแค่นี้กันก็พอแล้ว อย่าไปทำอะไรให้มันยาก คนไทยเขาฟังไม่เป็นหรอก (ย่นคิ้ว นัยตาตั้งคำถาม) ทำไมล่ะ? ในส่วนสมองของเรามันด้อยกว่าชาติอื่นตรงไหน? คนไทยเราฉลาดจะตาย เรามีลายเส้น มีดนตรี มีวัฒนธรรม มีอะไรตั้งเยอะตั้งแยะ คนไทยเรามีรสนิยมจะตายไป
ผมไม่เห็นด้วยเลยที่คิดกันว่าทำเพลงภาษาอังกฤษมาแล้วคนไทยไม่ฟัง เขาอาจจะไม่ฟังเพราะเพลงมันไม่ดีหรือเปล่า (ยิ้ม) มีนักดนตรีหลายๆ คนที่ผมเจอนะที่ชอบไปโทษคนฟัง ซึ่งผมว่ามันไม่ถูกต้อง บอกว่าผมทำเพลงแบบนี้ออกมา แต่คนไทยหูไม่ถึงเลยไม่มีใครฟัง จริงๆ แล้วเพลงคุณอาจจะไม่ดีพอก็ได้ ทำไมไม่คิดอย่างนี้บ้างล่ะ”
ถึงแม้จะลุยงานดนตรีในระดับสากลมาแล้ว แต่ฮิวโก้กลับไม่เคยมองวงการเพลงไทยว่าต้อยต่ำกว่าเมืองนอกเลย โดยเฉพาะประสบการณ์ที่ได้จากเมืองไทย สมัยเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตไปทั่วประเทศไปกับวงสิบล้อที่กลายมาเป็นจุดแข็งของเขา ในวันที่ต้องออกลุยเดี่ยวในเส้นทางโกอินเตอร์
“การที่ผมไปถึงนู่น มันบังคับให้เราต้องถ่อมเนื้อถ่อมตัว เพราะผมกลายเป็นศูนย์เลยนะ จากเป็น “ฮิวโก้ หนุ่มมาดเซอร์ของเมืองไทย” (ทำเสียงเหมือนพิธีกรตอนจะขนามนามช่วงเปิดรายการอย่างยิ่งใหญ่) แต่พอไปที่นู่นคือศูนย์เลย แบกหามทุกอย่างเอง ขับรถตระเวนต่างจังหวัดเอง ลากเทรลเลอร์ เหมือนทำงานขนส่งเลยแหละ ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่อยู่กับเราไปตลอด ประสบการณ์ที่เราได้ตระเวนไปทั่วอเมริกา
แต่ที่ผมว่าสำคัญไม่แพ้กันก็คือชั่วโมงบินในการได้ออกไปทัวร์เล่นต่างจังหวัดตอนก่อนไปครับ เราได้ไปทัวร์ในสภาพเสียงที่ไม่ดีบ้าง เคยผ่านการเดินทางนานๆ มาแล้ว ทำให้ผมค่อนข้างพร้อมตอนไปอยู่ที่นู่น พร้อมกว่าศิลปินเบอร์ใหม่หลายๆ คน เพราะผมผ่านอะไรๆ มาแล้ว และผมก็เข้าใจเรื่องความประหลาดของวงการบันเทิงมาก่อนแล้วประมาณหนึ่งด้วย ทั้งเรื่องจิตใจ เรื่องเหลิง ผมว่ามันน่ากลัวกว่าเรื่องระบบหรือเรื่องธุรกิจที่เราต้องไปเจอที่นู่นเสียอีก
อุตสาหกรรมเพลงที่นู่นมันโหดกว่าเราตรงที่ว่า ถ้าอยู่ที่เมืองไทย เรายังเป็นประเทศเล็กๆ ยังมีความเป็นพี่เป็นน้องกัน แต่สังคมฝรั่งหรือสังคมตะวันตกเนี่ย มันเป็นสังคมของส่วนบุคคล ตัวใครตัวมัน ไม่มีเรื่องรุ่น ไม่มีเรื่องพรรคพวกอะไรเลย มันก็เลยเชือดเฉือนเพราะว่ามันกดดันกว่า เพราะมวลเงินที่เกี่ยวข้องมันเยอะกว่าเยอะเลย”
ย้อนกลับไปในวินาทีที่เชือดเฉือนที่สุดสำหรับฮิวโก้ มันคือช่วงเวลาที่โดนดร็อปหลังจากเซ็นสัญญากับค่าย “Island Records” ไปแล้ว ซึ่งเป็นทีมที่ดึงตัวเขาไปโกอินเตอร์และร่วมทำเพลงด้วยกันตั้งแต่แรก ด้วยสาเหตุที่ว่าคนดูแลศิลปินถูกค่ายดร็อป ศิลปินที่อยู่ในความรับผิดชอบอย่างฮิวโก้จึงพลอยซวยไปด้วย แต่แล้วในวันที่เพลง “Disappear” ที่เขาแต่งเอาไว้ไปกระทบหูและโดนใจ “Beyoncé (บิยองเซ่)” นักร้องสาวชื่อดังให้หยิบไปร้องคัฟเวอร์ โอกาสก็พุ่งตรงเข้าหาฮิวโก้ทันทีในขณะที่เขากำลังจะเก็บกระเป๋ากลับเมืองไทย ด้วยเหตุนี้ ศิลปินหนุ่มมาดสุขุมจึงไม่เคยมองว่าตัวเองเก่งกว่าใครๆ แถมยังไม่คิดว่าชีวิตของเขาจะเหมาะกับคำว่า “ไอดอล” เสียด้วยซ้ำ
“ผมไม่ได้คิดว่าเรื่องราวของชีวิตผมมันมีบทเรียนอะไรให้ใครสักเท่าไหร่ เพราะมองจากมุมผม มันเหมือนฟลุกน่ะ (ยิ้ม) ผมแค่รู้สึกว่าผมฉวยโอกาสที่มี แค่ฉลาดพอที่จะรักษาโอกาส แล้วก็ไม่ทำให้คนที่เราร่วมงานด้วยเกลียด แต่เราไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นบทเรียนอะไรให้ใครมาก
ผมว่าหลายๆ อย่างมันขึ้นอยู่กับโอกาสด้วยครับ ถ้าไม่มีโอกาสก็จะไม่มีใครได้ยิน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่สอนกันไม่ได้ หรือแม้แต่เรื่องนิสัยก็สำคัญ บางคนอาจจะเป็นคนที่เก่งที่สุดในโลก แต่ว่านิสัยไม่ดีหรือเป็นคนไม่น่ารัก หรือคุยแล้วไม่มองหน้า ก็อาจจะคุยแล้วไม่ได้เซ็นสัญญา ไม่ได้ออกอัลบั้ม หรืออาจจะเป็นคนที่ออกรายการแล้วพูดไม่รู้เรื่อง ทั้งๆ ที่เป็นนักดนตรีที่เก่งที่สุดในโลก มันก็เลยยากที่จะมาบัญญัติว่าอะไรต้องมีคุณสมบัติแบบไหน ถึงจะได้รับโอกาสให้เป็นศิลปิน”
ในฐานะที่คลุกคลีอยู่กับ “ธุรกิจดนตรี” มาทั้งไทยและเทศแล้ว จึงขอให้ศิลปินพ่อลูกสองคนนี้ช่วยวิเคราะห์ช่องโหว่ของระบบในบ้านเราเสียหน่อยว่ามีจุดไหนบ้างไหมที่เราควรหยิบจุดแข็งของเขามาใช้? คนถูกถามนิ่งคิดอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนให้คำตอบในมุมกลับกลับมาว่า มีเพียงเรื่องลิขสิทธิ์เพลงเท่านั้นที่ประเทศไทยยังไม่แข็งแรงเท่าที่ควร แต่ถ้าพูดถึงจุดแข็งเรื่องระบบแล้ว บ้านเรามีความพร้อมกว่าระดับอินเตอร์เสียอีก!
“ผมมองว่าระบบในเมืองไทยอาจจะพร้อมกว่าเมืองนอกด้วยซ้ำ เพราะว่าเราเจอยุคเทปผีซีดีเถื่อนมาก่อน ซึ่งในเมืองนอกในช่วงเวลาเดียวๆ กัน ตอนนั้นมันยังไม่ได้หนักหนาอะไรมากสำหรับเขา แต่เราเจอมาตั้งแต่ยุค “ซิลลี่ฟูลส์” กับ “โลโซ” แล้ว ค่ายเมืองไทยเราพร้อมมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว สำหรับวันที่อัลบั้มจะไม่มีราคา รู้มาตั้งนานแล้วว่าเงินมันอยู่ที่การสร้างดาว แล้วก็การใช้ประโยชน์จากดาวดวงนั้นจากหนทางอื่นๆ ตัวค่ายเข้าใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าต้องไปหัก 20 เปอร์เซ็นต์ถ้วนจากทุกอย่าง
เขาเรียกว่าเป็น “สัญญา 360 องศา” หมายถึงไม่ได้มาหวังรายได้จากการขายอัลบั้มอย่างเดียว แต่หวังรายได้จากความดังที่เกิดขึ้นจากเพลงด้วย ซึ่งจะนำไปสู่งานโฆษณา สปอนเซอร์ หรืออะไรต่างๆ ค่ายก็มีสิทธิจะกินเปอร์เซ็นต์จากตรงนั้นได้ ซึ่งเมืองนอกเพิ่งจะมาเป็นยุคหลังๆ นี่เอง แต่ไทยเราทำมาก่อนแล้ว เพราะเราประสบปัญหาเทปผีซีดีเถื่อน เรามีอะไรที่มาทำลายคุณค่าของอัลบั้มก่อน ก็เลยไม่รู้เรียกว่าเป็นจุดแข็งของเราหรือเปล่า แต่ผมมองว่าเราพร้อมกว่าเขา พอยุคที่เน็ตเข้ามา มันแทบจะไม่ได้กระเทือนต่อวงการเพลงไทยเลย”
[ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ “Hugo”]
หน้าที่ของเขาทุกวันนี้ก็คือการทำเพลงต่อไป โดยไม่หวั่นว่าเรือลำที่กำลังพุ่งตรงไปข้างหน้าจะต้องเจอกับคลื่นลมมรสุมลูกใหญ่ขนาดไหน ไม่สนแม้กระทั่งว่าใครจะตบเท้าเข้ามาฟังเพลงของเขาเพราะมีเรื่องหน้าตาเป็นสิ่งล่อใจโดยไม่สนใจตัวงานหรือไม่...
“ผมเลิกคิดแทนแล้ว เลิกบังคับแล้ว ไม่ได้จะมาบังคับให้ใครต้องมาฟังแล้วต้องรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าคนเขามาด้วยเหตุผลอื่นนอกจากดนตรี ถึงมันจะฟังดูไร้สาระ หรือตื้นเขิน หรือผิวเผินแค่ไหน มันก็คือสิ่งที่ทำให้เราได้เปรียบตรงนั้น เราจะไปโกรธหรือจะไปบังคับความลึกซึ้งของคนไม่ได้หรอก เราขอให้มาอย่างเดียวแล้ว ใครอยากจะมานั่งดูคนดังคนหนึ่งร้องเพลง มันก็ไม่ผิดนี่ ขอให้มาแล้วอย่าสร้างความวุ่นวายก็พอแล้ว
ความสุขทุกวันนี้ของผมคือการได้ขึ้นเล่นดนตรีแล้วมีคนดู ได้เข้าห้องอัด แล้วก็ได้ทำเพลงใหม่ เสน่ห์ของดนตรีมันเหมือนกับอาหารสำหรับจิต มันสามารถพาเราไปจากที่ที่เราอยู่ได้ มันสามารถกระตุ้นให้มีความรู้สึกได้ทันที มันสามารถทำให้คนหลากหลายแบบมาอยู่ร่วมกันได้ และมันก็สะกิดความทรงจำบางอย่าง มันจะกลายเป็นบันทึกสำหรับช่วงเวลานั้น ดนตรีมันเป็นเส้นทางสายตรงสู่ความทรงจำ ซึ่งมันเป็นอะไรที่มหัศจรรย์พอสมควร
ถ้ามองอย่างผิวเผิน ดนตรีมันก็คือความบันเทิง แต่สำหรับผม มันคือการบำบัด เล่นแล้วรู้สึกดีขึ้น รู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย พอเราขึ้นเวที ได้เล่นดนตรี เราจะรู้สึกว่าเราอยู่ถูกที่แล้ว”
[มินิคอนเสิร์ต "Hugo Under City Lights" ในงานแถลงข่าว]
ชายผู้มาพร้อมอุดมการณ์ทางสังคม อะไรทำให้ฮิวโก้กล้าลุกขึ้นมาพูดถึงประเด็นสังคมและการเมืองบ่อยๆ ในขณะที่คนในวงการหลายๆ คนที่ยืนอยู่ในจุดเดียวกันอาจจะไม่กล้าทำ? เขาได้แต่ยิ้มกวนๆ แล้วตอบออกมาตรงๆ ว่า “เพราะผมว่าการเอาผมไปอยู่ในคุกมันคงเป็นเรื่องที่วุ่นวายกว่าการปล่อยให้ผมอยู่ข้างนอก เพราะผมไม่กลัว เพราะผมเชื่อว่ามันไม่น่าจะคุ้ม ผมเป็นคนไม่น่ารังแก!” ประเด็นร้อนล่าสุดที่ผู้ชายคนนี้ร่วมแสดงทัศนะเอาไว้คือ “โครงการก่อสร้างทางเดินและทางจักรยานริมแม่น้ำเจ้าพระยา” ซึ่งมีความยาวกว่า 14 กิโลเมตร โดยตั้งข้อสงสัยเอาไว้ว่าทำไมไม่รับฟังความคิดเห็นภาคประชาชนก่อนฟันโครงการ และที่สำคัญทำไมต้องเร่งสร้างกันขนาดนั้น! “ที่ผมรู้สึกว่ามันสะกิดใจมากที่สุดก็คือมันดูรีบมากเกินไป และไอ้ความรีบเนี่ย เวลาเรารีบจะทำอะไร อย่างเช่น รีบลุก ยิ่งถ้ามีอายุเยอะๆ ด้วยแล้ว ถ้าไม่จำเป็นจะต้องรีบก็อย่ารีบเลย เพราะว่าคุณอาจจะพลาด มันจะไม่มีการระวัง ผมได้ข่าวว่าจะลงตอม่อ ต.ค.นี้แล้ว เลยรู้สึกว่าจะต้องออกตัวมาพูดอะไรบ้าง ผมก็เป็นคนที่กินอยู่กับสายน้ำเจ้าพระยามาตั้งแต่เด็กแล้ว และมองเห็นว่ากรุงเทพฯ ก็ไม่ใช่ว่าจะมีอะไรสวยเยอะนะ กรุงเทพฯ ที่เป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับสองของโลก รองมาจากลอนดอนเนี่ย อะไรที่มันมีอยู่ดั้งเดิมและดีอยู่แล้ว เราก็ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งกับมัน มันมีอะไรริมแม่น้ำที่ยังต้องจัดการอีกเยอะแยะ ทำไมไม่ทำ เส้นทางที่จะสร้างนี้ มันจะกินเนื้อที่แม่น้ำไปเกิน 1 ส่วน 4 เลย ซึ่งผมมองว่าทำ-ไม่ทำ เราคุยกันได้ เพียงแต่ต้องมาปรึกษากัน อาจจะทำประชามติ หรือมานั่งคุยกับคนที่อยู่ตรงนั้นเขาดูก่อน หรือหาข้อมูลก่อนไหม แต่จะมารีบทำเนี่ย ผมหวาดกลัวว่ารีบแล้วมันจะสิ้นเปลือง และทำลงไปแล้วมันก็จะกลายเป็นเหมือน “โฮปเวลล์” กลายเป็นอนุสรณ์ปูนสะท้อนถึงความรีบร้อนของกระบวนการพวกนี้ ซึ่งมันทำให้เกิดช่องว่างของการคอร์รัปชันด้วย ในเมื่อเราอยู่ในยุคใหม่ที่จะไม่มีคอร์รัปชันแล้ว อยู่ในยุคที่เราจะต่อต้านคอร์รัปชันแล้ว อันนี้ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะแสดงถึงความโปร่งใสของขั้นตอนเหล่านี้ในการอนุมัติงบ ซึ่งเป็นงบของพวกเราที่เราจ่ายภาษีกันไป จะมาทำอะไร ถึงจะเป็นระบบทหารหรือประชาธิปไตยหรืออะไรก็ตาม มันก็ยังเป็นระบบภาษีของประชาชนอยู่ดี” |
คุณพ่อที่น่ารัก สามีที่อบอุ่น [ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @hugolek] เห็นเคราครึ้มเคร่งขรึมในเส้นทางสายดนตรีแบบนี้ พอถึงเวลาก้าวขาลงจากเวที เปลี่ยนมาอยู่ในบทบาท “คุณพ่อ” และ “สามี” เขาก็คือผู้ชายที่อบอุ่นมากๆ คนหนึ่ง “ฮาน่า-ทัศนาวลัย จักรพงษ์” ช่วยเผยมุมน่ารักๆ เอาไว้ให้ได้อ่านกันเล่นๆ “มีแต่คนถามว่าจริงๆ เขาเป็นคนยังไง จริงๆ เขาก็เป็นคนน่ารักนะ (ยิ้ม) คนอื่นอาจจะเห็นเขาเป็นคนขรึมๆ เท่ๆ แต่พอเป็นพาร์ตครอบครัว เขาเป็นคุณพ่อที่น่ารัก เป็นสามีที่ดี แล้วก็เป็นเพื่อนคู่คิดที่ดีมาก เขาจะให้ข้อคิดเราที่มันคือความจริง สิ่งที่เราถามไป เราได้คำตอบน่ะ จะเป็นคนที่คิดรอบคอบ ด้วยความที่เขาอ่านหนังสือเยอะ เขามองคนออก เราก็จะรู้สึกว่าเขามองขาดมากกว่า เขาจะมีความคิดที่ไม่เหมือนใคร เมื่อก่อนเราจะฟังแต่เพลงไทยกับเพลงฝรั่งเป็นหลัก แต่พอมาอยู่กับเขา เขาจะแนะนำให้ฟังเพลงต่างประเทศที่เราไม่ค่อยได้ยินมาก่อน หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นเพลงมองโกล เพลงเขมร เพลงอเมริกัน เพลงละติน สเปน ฝรั่งเศส ฯลฯ เหมือนเปิดโลกทัศน์จากฟังเพลงของเรามากขึ้น ฟังเพลงหลายแนวมากๆ เขาเคยใส่เพลงในไอพอดให้เราด้วย บอกว่าเธอเอาอันนี้ไปฟังนะ เพราะสิ่งที่เขาฟัง เขาก็อยากให้เราฟังด้วย ตอนหลังๆ เราก็เริ่มหันมาฟังแผ่นเสียงกัน มีหาซื้อแผ่นเสียงเก่าๆ มาฟังบ้าง เขาจะเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายตลอด ถึงจะไม่ได้เจอกัน ถึงเขาจะอยู่เมืองนอก เขาก็จะโทร.หาตลอด เรียกว่า “ก่อนนอนโทร.หา ตื่นมาโทร.ถึง” ที่สำคัญคือเขาไม่เจ้าชู้ค่ะ อันนี้คือสิ่งที่เราสามารถไว้ใจเขาได้เลย ไม่ว่าเขาจะไปอยู่ประเทศไหนเป็นเวลากี่เดือนๆ เขาพูดอะไรไว้ปุ๊บ เขาทำได้อย่างที่พูด ตั้งแต่รู้จักกันก็ประทับใจมาตลอด ทุกวันนี้ก็ได้รู้จักเขาเพิ่มขึ้นในพาร์ตของความเป็นพ่อ อ่านหนังสือให้ลูกฟัง เราไม่ต้องอยู่บ้านเลยก็ได้ ให้เขาอยู่ดูลูกได้เลย เขาจะบอกเลยว่าถ้าวันไหนเธอออกไปทำงาน ฉันจะอยู่บ้านเลี้ยงลูกเอง ตอนนี้เขาก็ทำได้หมดนะ ให้เปลี่ยนผ้าอ้อมก็ทำได้ อาจจะมีตกใจนิดหนึ่งตอนเปิดมาแล้วลูกฉี่ใส่กะทันหัน (ยิ้ม) แต่ก็สนุกดี เป็นประสบการณ์ของทั้งพ่อและแม่ ดึกๆ ตื่นมาตี 2 ตี 3 ช่วยกันลุกขึ้นมาเปลี่ยนผ้าอ้อม ว่างๆ ก็จะวาดรูปเล่นกับน้อง (ฮาร์เปอร์) ไม่ก็จะชอบเต้นท่าเต้นตลกๆ น่าเกลียดๆ กับลูก เปิดเพลงแล้วก็พาลูกเต้น ทั้งลูกคนเล็ก (น้องฮันเตอร์ วัย 1 ขวบ 2 เดือน) ลูกคนโต (น้องฮาร์เปอร์ วัย 4 ขวบครึ่ง) ทำหมด งานอดิเรกของเขาคือการต่อโมเดลรถไฟค่ะ สร้างเป็นเมืองต่างๆ ภูเขา ต้นไม้ ลำธาร สนามบ้าน เขาทำเองหมด ตัดจากเศษกระดาษแล้วมาประกอบเป็นบ้าน ทำชนิดที่ว่า Professional มาเห็นต้องทึ่งว่า เฮ้ย! ทำได้ไง เก่งมาก เพราะมันเป็นโมเดลที่ซับซ้อน แต่เขาเป็นคนละเอียดค่ะ และเขาจะได้สมาธิ ได้ความสงบจากตรงนี้ มันคือวิธีผ่อนคลายของเขา” |
ลูกผู้ชายหัวใจเพชร! [ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @hugolek] “เจ” ในมาดตัวโกง กับ “ฮิวโก้” ในมาดพระเอก คือการพบกันครั้งแรกของพวกเขาในละครเรื่อง “ลูกผู้ชายหัวใจเพชร” ตั้งแต่ยุคแรกๆ ของการเข้าวงการ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าโชคชะตาจะผูกพันให้ได้มาร่วมงานในฐานะเพื่อนซี้ของกันและกัน และนี่คือมุมมองของ “เจ-มณฑล จิรา” ซึ่งรู้จักกันมาประมาณ 16 ปีแล้ว “เล็ก (ฮิวโก้) เขาเป็นคนตลก ตลกมาก แต่คนจะไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ คำที่เขาพูดออกมาน่ะมันจะตลก ยิ่งภาษาอังกฤษเนี่ย เป็นอะไรที่ผมขำได้ตลอด ส่วนเรื่องนิสัยการทำงาน เขามีความเชื่อมั่นในตัวเอง เขารู้ทางของเขา เขารู้ว่าเขาต้องการอะไร เขาอยากจะทำอะไร เขาก็จะมีความคิดที่เขาเซตมาแล้ว ซึ่งบางทีจุดนี้มันก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะบางทีในเมื่ออะไรมันเปลี่ยนไปและเราอยากจะทำอย่างอื่น การไปคุยกับเขาเพื่อที่จะให้เขาเปลี่ยนความคิด มันจะลำบากหน่อย เพราะเหมือนเขาตั้งใจจะทำมันแล้ว แต่ว่าจุดนี้ก็เป็นจุดแข็งที่ทำให้งานสำเร็จได้ ถึงเวลาจะผ่านไปนานแล้ว แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นกับสิ่งที่เขาอยากทำอยู่ มันก็จะเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นเพราะเขาตั้งใจกับตรงนั้น เพลงแรกในอัลบั้มนี้ที่ทำคือเพลง “Secrets and Lies” เริ่มจากผมเอาเครื่องดนตรีมานั่งอยู่ด้วยกันสามคน ผม, เล็ก แล้วก็เดฟ (Dave McCracken โปรดิวเซอร์) มานั่งกดปุ่มเล่นกัน อัดเป็นลูป ทำเป็นเสียงต่างๆ ออกมา แล้วค่อยมาคิดเป็นเสียงวงดนตรีทีหลัง บางทีเราก็นั่งเล่นกันสองคน ผมเล่นเบส เล็กเล่นกีตาร์ แล้วก็อัดพร้อมกัน แล้วเอาตรงนั้นแหละไปตัดต่อมาใหม่เพื่อให้เป็น Reference ของเพลง หรืออย่างเพลง “Hailstorms” จริงๆ อัดตอนแรกกันแล้วไม่ชอบเลย เขาก็เลยทิ้งไป บอกไม่เอาดีกว่า แล้วก็มีช่วงหนึ่งเราก็เอาเพลงนี้กลับมาทำใหม่ มาแกะโครงมันใหม่หมดเลย เขานั่งฟังแล้วก็บอกว่าชอบ เลยได้ดึงกลับมาให้อยู่ในอัลบั้ม การทำงานกับเขาเหมือนเราไม่ได้ต้องจูนอะไรกันเลย มีเวลาเท่านี้ก็ลุยกันเลย จากเมื่อก่อน ส่วนมากจะชอบทำงานคนเดียว แต่พอได้มาทำงานกับเล็ก มันมีหลายอย่างที่ทำให้เราเห็นว่าการทำงานกับคนอื่นมันก็ดีนะ แค่ต้องหาจุดแข็งของเขาและจุดด้อยของเราให้เจอ หรือแม้แต่จุดแข็งของเรา ในส่วนที่จะไม่ซ้อนทับกัน แล้วก็มาผสมกัน เพื่อที่จะได้สร้างผลงานออกที่ในแบบที่มันยิ่งกว่าสองคนทำ หรือยิ่งกว่าคนเดียวที่แยกกันมาทำ มีบางครั้งที่ทำงานด้วยกันแล้วมีอะไรที่มันออกมาอย่างที่เราก็คาดไม่ถึงว่ามันจะออกมาแบบนั้นได้” |
[เอ็มวีเพลง "Twitch and Tug" ซิงเกิลแรก กับดนตรีที่อัดแน่นไปด้วยเสน่ห์แห่งความแปลกใหม่ จากเอกลักษณ์ในแนวเพลง "กราสฮอป"]
[เอ็มวีเพลง "Hailstorms" ซิงเกิลที่ 2 ซึ่งมีจังหวะสะดุดหู แอนิเมชันสะดุดตา จนโด่งดังไกลระดับเวิล์ดไวด์]
[เอ็มวีเพลง "Nightshift" ซิงเกิลที่ 3 ลึกลับน่าค้นหา เหมาะกับเหล่าผีเสื้อราตรีในเมืองกรุง ซึ่งต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แสงไฟ]
[คอนเสิร์ต "Hugo Live In Bangkok" เมื่อ 3 ปีที่แล้ว]
คอนเสิร์ต “Hugo under city lights”เสาร์ ที่ 10 ตุลาคม 2558 ณ โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์จำหน่ายบัตรแล้ววันนี้ที่ Thai...
Posted by Hugo on Friday, September 4, 2015
สัมภาษณ์โดย ASTVผู้จัดการ Lite
เรื่องและคลิป: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: ปัญญพัฒน์ เข็มราช
ขอบคุณภาพบางส่วน: แฟนเพจ “Hugo”, “Lullaby Entertainment” และอินสตาแกรม @Hugolek
รายละเอียดคอนเสิร์ต: Thaiticketmajor.com (bit.ly/hugocon2015)
บทสัมภาษณ์-บทความที่เกี่ยวข้อง (คลิก)
- “Hailstorms” สุดยอด MV บ้าพลังของไทย! เล่นใหญ่จนฝรั่งให้ขึ้นหิ้ง!! [ชมคลิป]
- "ฮิวโก้" ถูกละเลงเละ! แฟนเพลง 100 ชีวิต รุมสร้างสุดยอด MV บ้าพลัง!! [ชมคลิป]
- สุดยอดผู้กำกับบ้าพลังแห่งยุค เจ๋งจนเอ็มวีไทยได้ขึ้นแท่น!! [ชมคลิป]
มาสร้างแรงบันดาลใจไปด้วยกัน!!ตัวอย่างงานในเซ็กชั่นทั้งหมด>>>...
Posted by ASTV ผู้จัดการ Live on Friday, August 21, 2015
รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754