ฮอตที่สุดในขณะนี้คงหนีไม่พ้นอดีตนักแสดงเด็ก “อิน-ณัฐนิชา เชิดชูบุพการี” ที่ลุกขึ้นมาใส่บิกินีตัวจิ๋วโพสต์ลงอินสตาแกรม เพื่อประกาศก้องให้โลกรู้ว่าเป็นสาวแล้ว แต่กลับถูกชาวโซเชียลกล่าวหาว่าปรับเปลี่ยนลุคแรงเกินวัย และสร้างกระแสให้ตัวเอง ทันทีที่รูปดังกล่าวถูกเผยแพร่ สื่อต่างจับจ้องเพื่อค้นหาคำตอบว่าแท้จริงแล้ว อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เธอลุกขึ้นมาสลัดผ้าถ่ายรูปชุดว่ายน้ำลงโซเชียลฯ และต่อไปนี้คือคำตอบของเธอ!
“ข่าวฉาว” กับการแจ้งเกิดอีกครั้ง!
“อินเฉยๆ เพราะอินรู้ว่าข่าวเมืองไทยเป็นยังไงมากกว่า ถ้าอยู่เมืองนอกเขาไม่มาสนใจอะไรเรื่องพวกนี้หรอกค่ะ” นี่คือคำตอบของเธอ เมื่อถูกถามถึงข่าวคราวในแง่ลบที่เป็นกระแสร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ สาวน้อยวัยใสตอบด้วยท่าทีมั่นใจและเผยความรู้สึกกับข่าวที่เกิดขึ้นว่าการใส่ชุดว่ายน้ำเป็นเรื่องธรรมดาและไม่ได้แปลกอะไร
“อินรู้สึกว่าการใส่ชุดว่ายน้ำมันก็ไม่ได้แปลกอะไร แค่รู้สึกว่าทำไมต้องเป็นเรา อย่างแรกเลยปกติอินเป็นคนที่เล่นฟิตเนส อินว่ายน้ำมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้วก็ใส่ทูพีชวันพีชสลับกันมาเรื่อยๆ ที่บ้านก็เลยไม่รู้สึกแปลก คนรอบตัว เพื่อนก็จะรู้สึกเฉยๆ เพราะรู้ออยู่แล้วว่าเราเป็นคนชอบว่ายน้ำค่ะ”
เธอเผยบางอย่างให้ได้ทราบต่อว่าการที่เป็นประเด็นร้อนแรง และเป็นปัญหาเช่นนี้เพราะได้มีสื่อสำนักพิมพ์บางสำนัก ได้ขอเอารูปของเธอไปลง แต่ผิดตรงที่เขาไม่ได้เอาคำบรรยายใต้ภาพของเธอไปด้วย เลยทำให้เธอถูกสังคมประณามว่าทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม
“แล้วก็เหมือนก่อนมีข่าวจริงๆ แล้วคือ ก็มีพวกสื่อสำนักพิมพ์ต่างๆ ก็โทร.มาหาเราบอกว่าพอดีอยากจะเอารูปไปลงนะได้มั้ย อินเลยบอกว่าได้ แต่ช่วยลงคำบรรยายใต้ภาพให้หน่อย เพราะว่าคำบรรยายใต้ภาพอิน อินเขียนว่าขอบคุณนะคะที่ส่งชุดบิกินีสวยๆ มาให้
แต่ประเด็นคือเขาไม่ได้ทำตามนั้น เขาตัดลงแต่รูป คนก็เลยเข้าใจผิดว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงถ่ายชุดว่ายน้ำเล่น ซึ่งจริงๆ แล้ว ถ้าเขาแคปทั้งหมด รูปและคำบรรยายใต้ภาพที่อินลงไป อินว่าคนจะไม่เข้าใจผิด เขาจะรู้ว่ามันเป็นการโปรโมต แต่ถ้าแคปแต่รูปไป คนก็คิดว่าทำไมมาถ่ายในห้องลองชุดหรืออะไร ซึ่งก็ได้เคลียร์ไปหมดแล้ว”
สาวน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยต่อว่า การลงรูปใส่บิกินีตัวจิ๋วนี้เป็นการโปรโมตให้ร้านที่รู้จักกัน และในชีวิตประจำของเธอนั้นการใส่ชุดว่ายน้ำถือเป็นเรื่องธรรมดามาก เพราะเธอเป็นคนที่รักการออกกำลังกาย เพราะฉะนั้น การใส่ชุดว่ายน้ำถือเป็นเรื่องปกติ
“ร้านที่ส่งมาให้รีวิวหรือโปรโมตคือรู้จักกัน เขาก็บอกพอดีเปิดร้านอยู่นะ เห็นชอบว่ายน้ำเลยอยากส่งชุดว่ายน้ำไปให้โปรโมตได้มั้ย อินก็เลยมองว่ามันโอเคเพราะชุดมันสวยก็เลยรับมา แล้วบอกเขาว่าอินลงให้ได้แค่ 2 วันนะ อินมองว่าถ้านานกว่านั้นเดี๋ยวมีปัญหาแน่นอนเลย 2 วันไม่น่ามีปัญหาหรอก
แต่มันก็มีจนได้ สงสัยต้องลงชั่วโมงเดียวแล้วลบ เขาก็เลยเหมือนมาขอโทษเราบอกขอโทษที่ทำให้มีปัญหา อินเลยบอกอินไม่ได้ซีเรียสเลย คือส่วนตัวเรา เราอยู่เฉยๆ เราทำตัวปกติแต่เขาทำให้เราเป็นกระแสขึ้นมาเอง เป็นข่าวขึ้นมาเองมากกว่าถามว่าต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นมั้ย ก็ตั้งแต่เป็นข่าวไปก็ยังไม่ได้ใส่ชุดว่ายน้ำเลยค่ะ (อมยิ้ม)
ปกติเวลาว่ายน้ำก็ใส่ทูพีชอยู่แล้วค่ะ ว่ายที่ฟิตเนสก็ใส่แบบนั้นว่ายเลย แต่ว่าไม่ได้ถ่ายรูปนะ เขาไม่ได้ส่งชุดมาให้เราโปรโมต จริงๆ ตัวตนเป็นคนอย่างนั้นจริงๆ อยู่แล้ว แต่คนภายนอกที่อยู่ในโลกโซเชียล เขาไม่เคยเห็น เขาไม่เคยรู้ คือเขาไม่ได้สนิทหรือเห็นเรามาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว เขาก็เลยมองว่าอินแรง”
การใส่ชุดว่ายน้ำโปรโมตร้านของเธอแค่ครั้งเดียว อาจดูเป็นเรื่องธรรมดาที่ดาราทั่วไปก็ทำกัน แต่สำหรับเธอกลับไม่ใช่แบบนั้น เมื่อกระแสข่าวต่างๆ ถาโถมเข้ามามากมาย บ้างก็หาว่าเธอแรง บ้างก็หาว่าเธอยังเด็กอยู่และเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำให้ผู้สัมภาษณ์อดคิดไม่ได้ว่าเธอโดนกล่าวว่าอย่างหนักขนาดนี้แล้ว หากมีร้านขายชุดว่ายน้ำมาให้เธอโปรโมตอีกนั้นเธอจะรับอีกหรือไม่ สาวน้อยนิ่งคิดและตอบอย่างติดตลกว่า
“ก็ได้นะ แต่ขอเป็นวันพีชแล้วกัน จะได้ไม่มีปัญหาอีก แต่ถ้าวันพีชมีปัญหาอีก ก็ใส่ชุดประดาน้ำแล้วกันเนอะ ใส่ถังอะไรอย่างนี้ชุดยาวเลย (หัวเราะแกมหยอก)”
กับข่าวที่เกิดขึ้นนี้เธอบอกว่าไม่เสียใจเลย เพราะเธอไม่สามารถแคร์ความรู้สึกของคนทุกคนได้ คนที่ให้กำลังใจและรักเธอก็มีอยู่ไม่น้อยเลยไม่ได้คิดอะไรมากนัก
“ไม่เสียใจค่ะ อินไม่สามารถแคร์ความรู้สึกหรือความคิดเห็นคนทั้งโลกได้ คืออินมองโลกแบบ depend on ตัวเองเป็นหลัก ในโลกโซเชียลคนจะพิมพ์จะอะไรก็ได้ โลกมันสื่อสารกันได้หมดตอนนี้ เลยมองว่าคนที่ว่าเรามันก็มี คนที่ให้กำลังใจเรามันก็มี
แต่ประเด็นคือเราต้องมองอีกมุมหนึ่ง คนที่เขาว่าเรา อย่างแรกเลยเขาไม่ได้รู้จักตัวตนเราจริงๆ เขาว่าเราเพราะเขาเห็นเราแค่เปลือกนอก และที่สำคัญเราก็ไม่ได้รู้จักเขา เราไม่ได้รู้สึกว่าคนนี้คอมเมนต์แรงเสียใจจังเลย ไม่ได้รู้สึกเลย เขารู้สึกแบบนั้นก็เลยพิมพ์แบบนั้นออกไปถูกต้องมั้ยคะ เราก็ไม่ได้ว่าเขาเพราะว่ามันเป็นวิจารณญาณของเขา
อย่างคนที่ให้กำลังใจก็คือ ส่วนมากก็จะเป็นฟอลโลเวอร์ที่ติดตามเรามาตลอดในอินสตาแกรมประมาณ 150-200 คอมเมนต์ก็จะเมนต์ประมาณว่ามันก็ปกตินะ อินเข้าใจก็เลยเฉยๆ ไม่ได้อะไร ส่วนคุณแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรค่ะ เพราะเขาเห็นเรามาตั้งแต่เด็ก ข่าวออกมาคุณแม่ยังแซวเลยว่าไม่ใส่แล้วเหรอ อ้าวชุดไปไหนแล้วล่ะ อะไรแบบนี้ (ยิ้มขี้เล่น)”
ฮอตที่สุด! ดาราเด็กแห่งยุค
เมื่อย้อนเวลากลับไปประมาณ 10 ปีที่แล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าน้องอิน หรือ ด.ญ ณัฐนิชา เชิดชูบุพการี เป็นดาราเด็กที่โด่งดังมากที่สุด ณ ขณะนั้น ไม่มีใครไม่รู้จักเธอส่งผลให้เธอเป็นดาราเด็กแห่งยุค ผู้คนต่างจับจ้อง ดึงเธอเข้ามาร่วมงานทั้งในงานละครและโฆษณา
ทำให้เธอมีผลงานละครมากกว่า 20 เรื่องด้วยกัน นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียวสำหรับเด็ก
วัย 5 ขวบ ส่วนผลงานสร้างชื่อของเธอคือ “มดตะนอย” ในละครเรื่องแก้วตาหวานใจ เนื่องจากละครเรื่องนี้ถือเป็นละครที่โด่งดังมากในตอนนั้น และยังเป็นละครเรื่องแรกที่เธอต้องใช้ความสามารถทางด้านการแสดงสูงเสียด้วย
“เรารู้สึกว่าเราก็เป็นเหมือนเด็กปกติทั่วไปนะ เหมือนแค่คนรู้จักเราเยอะมากขึ้นเท่านั้นเอง นั่นคือความรู้สึกตอนนั้นไม่ได้คิดว่าตัวเองดังหรืออะไรค่ะ คิดแค่ว่าคนรู้จักเยอะ เพราะตอนนั้นอินก็เด็กๆ อยู่ไม่ได้คิดอะไร ตอนนั้นประมาณ 5-6 ขวบ เองค่ะ (อมยิ้ม) ตอนเด็กๆ เล่นละครมา 20 กว่าเรื่อง ตั้งแต่ 5 ขวบถึงประมาณ ม.ต้น อย่างหนึ่งปีก็รับประมาณ 3 เรื่อง คุณแม่จะเป็นคนรับให้”
เธอเริ่มต้นเข้าวงการ จากการที่โมเดลลิ่งได้ไปเจอเธอกับคุณแม่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งแล้วเห็นแววในตัวเธอ จึงได้ให้นามบัตรติดต่อไว้ คุณแม่เลยลองพาเธอไปแคสติ้งดูแล้วผลปรากฏว่า ได้ ทำให้มีผลงานในวงการบันเทิงตามมาอีกมากมาย ทั้งงานละคร และโฆษณา
“ตอนนั้นคุณแม่ไปเดินห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งแล้วพาเราไปด้วย ตอนนั้นเหมือนมีแมวมองเข้ามาบอกว่าน้องน่ารักดีนะ ก็เลยให้นามบัตรติดต่อไว้ ตอนแรกแม่ก็ไม่ได้สนใจอะไรก็รับๆ ไว้ แต่คุณป้าบอกว่าลองไปแคสดูซิ ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เลยโอเคลองไปแคสดู แคสโฆษณาตัวแรกก็ติดเลย”
หลายคนคงสงสัยว่าอะไรคือแรงผลักดันให้เด็กตัวน้อย คนนี้มีแรงทำงานตั้งแต่เด็กโดยที่ไม่งอแง? เธอบอกเคล็ดลับให้ฟังอย่างอารมณ์ดีว่า เป็นเพราะคุณแม่เอาไอศกรีมมาเป็นตัวล่อนั่นเอง
“ตอนเด็กๆ เหนื่อยมั้ยมันก็มีบ้าง แต่แรงผลักดันของเราจริงๆ คือเราเป็นชอบกินไอศกรีมมาก คุณแม่ก็จะบอกว่าถ้าวันนี้ไป เดี๋ยวคุณแม่จะซื้อไอศกรีมให้เรากินอะไรแบบนี้ แค่นี้เราก็แฮปปี้แล้ว ตอนเด็กเราก็ไม่ค่อยคิดอะไร คือเราคิดว่าการที่เราไปทำงาน เราได้ไปเจอผู้ใหญ่ไปเจอเพื่อน ในความรู้สึกเราคิดว่ามันสนุกดีเพราะตอนเด็กเป็นคนที่ชอบอยู่กับสังคมอะไรแบบนี้อยู่แล้ว เลยไม่ได้รู้สึกเหนื่อยหรืออะไร เพราะตอนอยู่กองก็สนุกมาก(ลากเสียง) มีอะไรเล่นตลอดเวลาเลย”
บางคนอาจจะคิดว่า ทำไมแม่ของเธอถึงให้เธอทำงานตั้งแต่เด็ก เป็นการบังคับหรือเปล่า เธอเล่าว่าทั้งหมดคือความสมัครใจของเธอเอง ถ้างานไหนเธอไม่ชอบหรือไม่อยากทำแม่ก็จะไม่มีการบังคับ
“จริงๆ เราจะคุยกันก่อนหน้าที่จะมีงาน ถ้าเริ่มทำงานแล้วต้องห้ามงอแงอะไรทั้งนั้นนะ คือบางคนอาจจะคิดว่าทำไมแม่พาอินมาทำงานแบบนี้ พาอินไปทางนั้นตั้งแต่เด็กๆ ไม่สงสารอินเหรอ คือคุณแม่จะถามเราก่อนทุกงานเลยว่าอยากทำหรือเปล่า งานนี้เป็นแบบนี้ๆ นะ อันไหนที่อินโอเคคุณแม่ก็โอเค
แต่ถ้าอันไหนเรารู้สึกว่าอันนี้เหนื่อย คุณแม่ก็จะไม่รับ คือไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณแม่มันขึ้นอยู่ที่อินด้วย ถ้าโอเคปุ๊บก็จะไม่มีการงอแง อาจจะมีถ้าถ่ายดึกๆ บ้าง คือง่วงๆ ผู้กำกับก็จะบอกว่าไปนอนก่อน พักกองแป๊ปนึงไปนอน 1 ชั่วโมง แล้วก็กลับมาถ่ายใหม่”
การเล่นละครเมื่อครั้งยังเด็กถือเป็นการเล่นที่ง่ายที่สุดเพราะแสดงมาจากตัวของเธอเอง เล่นเป็นตัวเอง เพราะฉะนั้น การเล่นละครในวัยเด็กจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก เธอพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ครั้งแรกเหรอ ไม่ยากนะ อินว่าที่ง่ายที่สุดคือตอนเด็กเลย เพราะอย่างแรกเด็กมันไม่ค่อยคิดอะไร เป็นตัวของตัวเอง เป็นคาแรกเตอร์ของตัวเองที่เป็น แต่พอเวลาเราโตขึ้น เหมือนเราโตขึ้นเรามีความคิดมากขึ้น เราก็เลยต้องไปเล่นเป็นคนอื่นมันก็เลยอาจจะยากขึ้น แต่ตอนเด็กเราเป็นตัวของตัวเราเองเลยก็เลยไม่ยาก"
สาวน้อยไม่เคยงอแงเวลาไปทำงาน แต่กลับรู้สึกสนุกเสียด้วยซ้ำ เพราะงานในวงการบันเทิงสอนอะไรให้เธอหลายอย่างอยู่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้เองเธอจึงไม่รู้สึกเหนื่อยและดีใจด้วยซ้ำที่ได้เข้าวงการมาตั้งแต่เด็กๆ
“พอเวลาไปทำงานคุณแม่ก็จะไปด้วยตลอด เราเลยรู้สึกว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนั้น ถ้ามาเริ่มตอนนี้อาจจะเหนื่อยกว่าตอนนั้นก็ได้นะ ไม่รู้สึกเหนื่อย รู้สึกดีมากกว่าคือต้องขอบคุณที่ได้เข้าวงการตั้งแต่เด็ก เหมือนงานในวงการสอนอะไรอินหลายอย่างมาก
สอนในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้รับ อย่างประสบการณ์ต่างๆ คือทำงานมาตั้งแต่เด็กเราก็ได้ใช้มาจนถึงทุกวันนี้ ทำละครมันได้ทุกอย่างจริงๆ เช่นการมีระเบียบวินัยพวกนี้จะได้มาตั้งแต่เด็กๆ เลย”
ส่วนการแบ่งเวลาเรียนและทำงานให้ควบคู่กันไปด้วยได้นั้น สาวน้อยก็ทำได้อย่างดีทีเดียว เธอยึดคติที่ว่าต้องทำทุกส่วนให้ดีที่สุดไม่ให้ใครมาว่าได้ เพราะไม่อยากให้ใครมองว่าทำงานแล้วการเรียนแย่ลง
“อย่างตอนอนุบาล ตอนประถมมันสามารถสอบย้อนหลังได้ค่ะ แต่เราไม่เคยทิ้งเรื่องการเรียนเลยเพราะว่าเวลาเรียนเราน้อยกว่าคนอื่น อินเลยไม่อยากให้ครูมองว่าเราไปทำงานพวกนี้แล้วทำให้เราเรียนแย่ลงแล้วก็ฉุดเกรดลง
อินก็เลยตั้งใจเรียนมาก ตั้งแต่อนุบาลมาเรื่อยๆ จะวนอยู่ที่ 1 2 3 ตลอด คือไม่อยากให้ครูมองว่าไปทำอย่างนี้มันไม่ดี เราต้องทำทุกส่วนให้มันดีที่สุดไม่ให้ใครมาว่าเราได้ ตอนเด็กๆ เรียนเก่งนะคะ แต่อย่าพูดถึงตอนโต...มันเป็นอดีตไปแล้ว(หัวเราะ)”
ไม่รู้สึกขาด รู้สึกเกินด้วยซ้ำ
ด้วยความที่เธอเกิดมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ พ่อและแม่แยกทางกันตั้งแต่เธอยังเด็ก แต่เธอกลับมองว่าเป็นเรื่องเฉยๆ ไม่รู้สึกขาดและไม่คิดว่าตัวเองเป็นเด็กมีปัญหา เธอโตมากับการเลี้ยงดูโดยแม่ที่ดูแลมาอย่างอบอุ่น เลยไม่รู้สึกขาดตรงจุดๆ นั้น
“เป็นลูกคนเดียว คุณแม่เลี้ยงเรามาตั้งแต่ตอนเล็กๆ เลย เราก็ไม่ได้รู้สึกขาดอะไรนะ ไม่รู้สึกขาดเลย เพราะตั้งแต่เด็กที่เขาเลี้ยงเรามามันก็มีครบหมดแล้วทุกอย่าง บางทีเรารู้สึกเกินไปด้วยซ้ำ คือเขาก็เหมือนเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ให้เราเลย คุณพ่อก็เจอกันปกติ มีเจอกันมีกินข้าวกัน อันนั้นเป็นปัญหาของเขาเองแต่คือเราเป็นลูกเราก็เจอกันปกติก็เป็นพ่อลูกกัน
คุณแม่ดุมาก เป็นคนจีนค่ะก็จะเยอะ จะเข้มงวดอะไรประมาณนี้ ไม่ค่อยหัวทันสมัย หัวจะโบราณๆ หน่อย เรื่องการแต่งตัวคุณแม่ก็ไม่เคยว่า เพราะปกติอินไม่ค่อยแต่งตัวโป๊อยู่แล้วนะ ส่วนมากใส่กางเกงขาสั้น ใส่เสื้อสายเดี่ยว ใส่ได้ แต่คุณแม่จะเข้มงวดเรื่องการออกไปข้างนอก การออกไปเที่ยวหรือการเจอสังคมอะไรแบบนี้มากกว่า ต้องกลับบ้านเร็วๆ ไม่ควรกลับดึกค่ะ”
แม่ของเธอท่านให้อิสระทางความคิด ท่านไม่เคยบังคับหรือให้ทำอะไรที่ขัดต่อความรู้สึกของเธอ และให้ทำในสิ่งที่ลูกชอบหรืออยากเรียน ซึ่งเธอถือว่าเธอโชคดีเพราะนั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอสามารถตัดสินใจทำอะไรเองได้
“เรื่องการเรียน คุณแม่ก็ไม่เคยยุ่งหรือต้องฟิกว่า เราจะต้องเรียนแบบนี้ๆ นะ คุณแม่ให้เราตัดสินใจหมดเลย ตั้งแต่เท่าที่เราตัดสินใจเองได้ ตั้งแต่ตอนมัธยมต้น และตอนช่วง ป.6 จะเข้า ม.1 คุณแม่ให้เลือกเลยว่า จะเข้าที่ไหนอะไรยังไง อยากเข้าที่ไหน เขาไม่เคยห้ามเรื่องเรียนเลย คืออยากเรียนพิเศษ อยากทำอะไร ทำเลย เขาบอกเราถนัดด้านไหนก็ไปด้านนั้นแหละ เรื่องเรียนเขาจะไม่ค่อยฟิกมากเท่าไหร่”
แม่กับเธอไม่ค่อยแสดงความรักต่อกันเท่าไหร่นัก ด้วยความที่เป็นครอบครัวคนจีน ก็ค่อนข้างที่จะมีฟอร์ม จะนิ่งๆ ไม่ค่อยกอด ไม่ค่อยหอม หรือแสดงออกว่ารักมากนัก
“อยู่กับคุณแม่ 2 คน ไม่เหงานะ คือจริงๆ แล้วคุณแม่เป็นคนไม่ค่อยพูดเยอะ ถ้าอยู่บ้านด้วยกันนะ คุณแม่ก็จะเล่นคอมพ์ทำอะไรของเขาไปเรื่อย ทำงานบ้าน ทำอาหาร บางทีอยู่บ้านวันๆ ก็ไม่ค่อยได้คุยกัน บางทีอินตื่นมาอาบน้ำเสร็จปุ๊บอินก็ออกไปข้างนอกแล้ว ก็จะไม่ค่อยได้คุยกัน คุยกันน้อยมากนอกจากมีเรื่องให้คุยกันจริงๆ
คือคนจีนมีอะไรจะไม่ค่อยพูดกัน กอดกันนี่น้อยมาก คือจะไม่ค่อยแสดงออกเรื่องความรักหรืออะไรแบบนี้ เขาจะแบบเฉยๆ จะไม่อะไร มีมาดหน่อย ไม่ค่อยแบบมา วางฟอร์มเยอะอะไรแบบนี้ก็จะไม่ค่อยพูดไม่ค่อยบอกอะไร”
แม้แต่การเล่นละครก็เหมือนกัน ทุกคนทางบ้านก็ไม่ได้เห่อหรืออะไรมากนัก มีแต่บอกความรู้สึกว่า ฉากในละครที่เธอเล่นให้ความรู้สึกอย่างไรมากกว่า
“ไม่นะ ก็โอเคนะ เขาก็ดูกัน เจอกันทุกวันเขาก็คงไม่เห่อหรอก แต่ก็คงรู้สึกแปลกๆ ที่เห็นเราในทีวีเพราะเห็นเราทุกๆ วันไง แต่ก็จะมีบอกอย่างบางฉากเป็นอะไรยังไง เขาก็จะมาบอกให้ฟังว่าเขารู้สึกยังไงประมาณนี้มากกว่า”
แต่ก็ยังมีมุมที่น่ารักๆ อยู่เหมือนกัน เมื่อครั้งเธอยังเด็กไม่ว่าเธอจะทำอะไร เล่นละคร เล่นกีฬา หรือเล่นดนตรี แม่ก็จะชมเธอตลอด ทำให้เธอมีกำลังใจในการทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น
“จริงๆ แล้ว เขาก็ภูมิใจในทุกสิ่งที่เราเป็นหรือที่เราทำได้นะ เขาจะชมเราตลอดเวลา อย่างเช่นพอเราเล่นละครจบสักฉากสองฉาก เขาก็จะชมเราเก่งมาก เราก็จะรู้สึกใจชื้นขึ้นมา แล้วเราก็จะรู้สึกว่าเออดีเนอะ เล่นแล้วแม่ชม หรือการเรียนว่ายน้ำครั้งแรกๆ เราว่ายไปกลับ พอถึงฝั่งแล้วเขาก็จะชมตลอด เรียนดนตรีเรียนอะไร ทุกครั้งที่เขาชมเราจะรู้สึกว่ามีแรง มีกำลังใจขึ้นมาในการทำอะไรสักอย่าง แต่พอมารู้ตอนหลังก็ชมไปงั้นแหละ เขาก็จะเป็นสไตล์แบบนี้ (ยิ้ม)”
สำหรับกิจกรรมยามว่างของเธอกับแม่นั้น คือการเข้าครัวทำอาหาร ซึ่งถ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่เป็นต้องไปจ่ายตลาดซื้อวัตถุดิบมาปรุงแต่งอาหาร และเมนูโปรดที่เธอต้องขอให้แม่ทำบ่ายๆ คือกุยช่าย ของโปรดเธอนั่นเอง
“คุณแม่เป็นคนชอบทำอาหาร แล้วก็ชอบชอปปิ้งมาก เวลาเขาทำอาหารบางทีอินก็ต้องไปเป็นเพื่อนเขา ไปซื้อพวกผักมาทำอาหาร คุณแม่เป็นคนชอบทำอาหารทำทั้งวัน ทำขนมไทย ทำจนอินกินจนจะอ้วนแล้วเนี้ย(หัวเราะ) ไม่ได้เปิดเป็นร้านอาหารนะ คือคุณแม่ชอบทำกินเอง ก็โอเคแฮปปี้แล้ว
อินชอบเป็นบางเมนู (หัวเราะ) คุณแม่จะทำกุยช่ายอร่อยมากและจะถนัดทำอาหารไทย จะทำให้อากงทานบ่อยเหมือนลูกสาวในบ้านทุกคนก็ต้องทำให้อาม่า อินก็ทำเป็นบ้างแต่ก็น้อย ส่วนมากจะหัดทำกับแม่ แต่ถ้าอยู่คนเดียวก็จะไม่ทำ เพราะอินเป็นคนที่จะออกจากบ้านบ่อย บางทีขี้เกียจไหนๆ จะออกจากบ้านอยู่แล้ว ออกไปกินข้างนอกดีกว่า อะไรแบบนี้มากกว่า"
นักกิจกรรมตัวยง
ด้วยภาพลักษณ์ภายนอกแล้ว อาจทำให้หลายคนมองว่าเธอนั้นเป็นสาวหวาน แต่ความจริงแล้วกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เพราะดูจากการที่ได้นั่งพูดคุยกับเธออยู่นั้นจึงทำให้รู้ว่าตัวตนของเธอเป็นคนไม่ค่อยหวาน แต่กลับเป็นผู้หญิงห้าวๆ ลุยๆ เสียมากกว่า และเมื่อถามถึงเสน่ห์ในตัวเองสาวน้อยตอบด้วยท่าทีเคอะเขินว่า น่าจะเป็นรอยยิ้มถึงแม้ตนเองจะเป็นคนไม่ค่อยยิ้มก็ตาม
“ในความคิดของอินนะ น่าจะเป็นรอยยิ้ม ถึงแม้จะเป็นคนที่ไม่ค่อยยิ้มก็เถอะ (อมยิ้ม) มีคนเคยบอกนะว่าเป็นสาวหวานไม่คิดว่าจะห้าว เพราะอย่างบางทีเราออกงานเราก็ต้องแต่งตัวไง เป็นสาวหวานบ้าง แต่จริงๆ แล้วไม่ได้แต่งหวานเลย เป็นคนชอบใส่สบายๆ แบบกางเกงขาสั้น เสื้อคอปหรือเสื้อแขนยาวตัวนึง กระเป๋าใบนึง รองเท้าคัชชูหรือผ้าใบ โอเคแล้ว ลุยๆ ถ้าจะแต่งตัวเยอะ จริงๆ ก็เป็นฟิวส์ทำงานถ่ายงานหรือไปออกงาน ก็จะเป็นแบบนี้มากกว่า”
เห็นแบบนี้แล้วใครเล่าจะรู้ว่า เธอเป็นคนที่ชอบเล่นกีฬามากๆ อีกคนหนึ่ง ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอเป็นชอบกิน และยังเป็นคนที่น้ำหนักขึ้นง่ายลงยากอีกด้วย เธอเล่าด้วยท่าทีเขินๆ
“ชอบออกกำลังกายค่ะ ก็ฟิตเนสปกติออกทุกๆ อาทิตย์ค่ะ เห็นแบบนี้อินเป็นคนกินเยอะมากนะ กินทุกอย่าง ขนมหวาน คือกินแบบร้านพัง เลยคิดว่าถ้าไม่ออกเดี๋ยวมันจะไม่ได้ มันจะไม่โอเค กลัวอย่างเดียวคือกลัวอ้วน เป็นคนน้ำหนักขึ้นง่ายแล้วก็ลงยาก เมื่อก่อนผอมกว่านี้หนักแค่ 40 ตอนนี้หนัก 43-44 กิโล ก็เริ่มอ้วนขึ้นมาละ เป็นคนไม่ค่อยชอบกินข้าวเช้า เพราะว่าเราตื่นสาย แล้วก็รู้สึกว่าตอนเช้าเราไม่ค่อยหิว แต่จะมาหิวอีกทีมากๆ ตอนเย็น แล้วเป็นคนนอนดึกมาก ก็จะกินอีกทีตอนกลางคืน”
กีฬาอีกอย่างหนึ่งที่เธอชื่นชอบคือไอซ์สเก็ต เธอมองว่ากีฬานี้เป็นกีฬาที่มีเสน่ห์ เท่ และให้ความท้าทาย ถึงแม้ว่าช่วงแรกๆ เธออาจจะเกิดความกลัวขึ้นมาบ้าง แต่เมื่อได้ลองแล้วเธอก็ติดใจและถือเป็นกีฬาโปรดที่มีเวลาว่างเมื่อไหร่เป็นต้องเล่น
“เล่นไอซ์สเก็ต เป็นกีฬาที่ชอบ เล่นมาประมาณ 3-4 ปีแล้ว อินว่าคนที่เล่นไอซ์สเก็ตในเมืองไทยก็ไม่ค่อยเยอะมากนะ ก็เลยรู้สึกว่ากีฬานี้มันน่าจะสนุกดี มันดูเท่ดีเนอะ ในความคิดตอนแรกๆ แต่พอเรามาเล่นจริงๆ ครั้งแรกที่เล่นมันก็ยาก เพราะต้องทรงตัวในน้ำแข็ง แล้วรองเท้าก็เป็นใบมีด เราก็กลัว แต่ก็โอเคเราผ่านไปได้มันก็สนุกดี
มีเพื่อนมีอะไรเล่นด้วยกันตลอดเวลา เหมือนได้ออกกำลังกายแล้วก็เล่นไปด้วยส่วนมากเล่นกับแก๊งเพื่อนๆ แต่ถ้าวันไหนไม่มีเพื่อนๆ ก็ไปเล่นสักชั่วโมงนึง สเก็ตไปสเก็ตมาอะไรแบบนี้ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เล่นแล้ว แต่ว่าเมื่อก่อนบ่อย เพราะว่าส่วนมากว่าง เดือนนึง 2-3 ครั้ง ว่างๆ ก็ไปเล่นค่ะ”
ด้วยความที่เธอเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่เฉยๆ ต้องหากิจกรรมทำตลอดเวลา การท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ เลยเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมโปรดอีกเช่นกัน และสถานที่ที่เธอโปรดปรานก็คือทะเล
“เป็นคนชอบเที่ยวต่างจังหวัดมาก แล้วก็ชอบไปเที่ยวต่างประเทศด้วย อย่างต่างจังหวัดก็ชอบไปทะเล พวกน้ำตกค่ะ รู้สึกว่ามันเย็นสบายดี ถามว่ากลัวดำมั้ย อินไม่กลัวดำนะ หรือว่าเกิดมาไม่เคยดำก็ไม่รู้ (หัวเราะ) คือปกติดำมากสุดก็จะเป็นแดงแล้วก็จะกลับมาขาวคือไม่เคยดำเลย ก็จะเฉยๆ”
ส่วนที่เที่ยวที่ประทับใจที่สุดเห็นจะเป็นการไปประเทศญี่ปุ่น เธอเล่าว่าเป็นประเทศที่มีระเบียบ เป็นเมืองสะอาด และที่สำคัญของกินอร่อย จึงเป็นการไปเที่ยวที่ประทับใจที่สุด
“ชอบประเทศญี่ปุ่นค่ะ คือตอนเด็กๆ ไปถ่ายรายการเป็นรายการภาษาอังกฤษ คือเขาจะพาเราไปเที่ยวตลอดเหมือนเป็นรายการเที่ยวไปด้วย ใช้ภาษาอังกฤษไปด้วย ชอบประเทศเขามากตรงที่เป็นคนที่มีระเบียบ เมืองสะอาด ที่สำคัญคือของกินอร่อย เป็นคนชอบกินไง ไปที่ไหนคือชอบกิน (หัวเราะขี้เล่น) คือชอบอาหารญี่ปุ่นมาตั้งแต่เด็กเลย ทุกวันนี้ก็ชอบก็เลยรู้สึกว่าประทับใจค่ะ”
ต่อกันด้วยทางด้านการเรียนตอนนี้เธอศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะบริหารธุรกิจ ชั้นปีที่ 1 และที่เลือกเรียนคณะนี้เพราะว่าเธออยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง หากวันใดวันหนึ่งอาชีพในวงการของเธอไม่ยั่งยืนขึ้นมา เธอจะได้มีสิ่งที่คอยซัปพอร์ตตัวเอง
“ที่เลือกเรียนคณะนี้ มีแต่คนถามทำไมถึงไม่เรียนนิเทศ อินว่าจริงๆ แล้วประสบการณ์โดยตรงมันได้จากการทำงานมากกว่าการเรียนทฤษฎีในความรู้สึกนะ คือถ้าคนได้ลองทำหรือได้ลองเล่นมาแล้วจะรู้สึกว่าจริงๆ แล้วมันไม่ต้องเรียนทฤษฎีก็ได้
อินเลยมองว่ากราฟดารามันเป็นขึ้นลง ตลอดเวลา มันมีจุดพีค จุดขึ้น มีจุดลง ตลอดเวลามันไม่มีอะไรแน่นอน อินเลยมองว่าเราควรจะมีธุรกิจอะไรอย่างหนึ่งที่สามารถซัปพอร์ตเราได้ คือเราไม่ได้มองว่าอาชีพดาราไม่ดีนะ คือดี แต่ถ้าเกิดว่าวันใดวันหนึ่งมันไม่ยั่งยืนขึ้นมา จะมีอะไรที่คอยซัปพอร์ตเราในการใช้ชีวิตต่อไป ก็เลยมองว่าเรียนบริหารดีกว่า เลือกเรียนเองหมดเลย”
นี่หรือวงการมายา
ด้วยความที่เธออยู่ในวงการบันเทิงมาตั้งแต่เด็กจนโต จึงสั่งสมประสบการณ์มากมาย ทั้งในเรื่องของการเจอคน หรือการแสดงละคร ทำให้เธอคิดว่าเธอโชคดีเหลือเกินที่ได้เข้าวงการมาตั้งแต่เด็กๆ
“จริงๆ แล้วอินว่าอินโชคดีนะ คือทุกครั้งที่เราออกไปทำงานเราเจอ ผู้ใหญ่ เจอนางเอก เจอพระเอก คือทุกคนก็คอยซัปพอร์ตเราตลอดเวลาในการแสดง เขาก็อยากให้ละครออกมาดี เขาก็ช่วยเรา ทุกอย่างที่ได้มาตั้งแต่เด็กจนโต อินไม่เคยเรียนแอกติ้งเลย ประสบการณ์ทุกอย่างได้มาเยอะมากกับการเล่นละคร ทั้งผู้กำกับ ทั้งผู้ใหญ่ เขาจะคอยบอกคอยสอนว่าเราต้องทำอย่างนี้ๆ นะ”
งานในวงการบันเทิงเป็นงานที่เธอชอบไม่ว่าจะเป็นพิธีกรหรือการเล่นละคร เธอก็ถนัดทั้งหมดไม่มีชอบอย่างไหนมากกว่ากัน เพราะด้วยความที่ทำมาตั้งแต่เด็กเลยเกิดความชิน
“ถ้าเอาเรื่องความง่าย พิธีกรง่ายกว่าเพราะตัวก็เป็นตัวของเรา สคริปต์ก็มีให้ แค่จำได้พูดได้ ฟิลลิ่งได้ก็โอเคแล้ว แต่พอมาเป็นเรื่องการแสดงปุ๊บเราต้องเปลี่ยนคาแรกเตอร์เป็นคนอื่น เป็นบทที่ไม่ใช่ตัวเราเอง สมมุตเป็นคนร่าเริงสดใสแต่ได้รับบทเป็นนางร้ายเราก็ต้องคิดแล้วว่าจะทำยังไงดี ความยากมันก็ต่างกันไม่มีชอบอันไหนมากกว่ากัน อินโอเคหมดทุกอย่าง อินทำมาตั้งแต่เด็กจนโต ก็เลยชินเลยไม่ชอบอันไหนมากกว่าหรือน้อยกว่า ได้หมดเลยค่ะ”
ในฐานะที่เธออยู่วงการมาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ผู้สัมภาษณ์จึงขออนุญาตถามถึงมุมมองวงการบันเทิงในความคิดของเธอว่าเป็นอย่างไร เธอแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่าพอโตขึ้นอะไรหลายๆ อย่างก็เปลี่ยนไปมากอยู่เหมือนกัน เช่น การเลือกคบคน หรือการปฏิบัติตัวในการเจอคน
“ตั้งแต่เด็กจนโตเปลี่ยนไปนะ ยิ่งถ้าเราอายุมากขึ้นความคิดเราหรือการมองโลกเราก็มากขึ้นกว่าเด็กอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเจอคน การเลือกคบคน ตอนเด็กเราไม่ได้คิดอะไร เราไม่รู้ว่าคนไหนดีไม่ดี แต่พอโตขึ้นปุ๊บเริ่มรู้แล้วว่าคนนี้ดีหรือไม่ดี คนไหนที่จะคบได้ประมาณไหน เปิดเผยได้ประมาณไหน”
ขึ้นชื่อว่าวงการมายา ต้องคู่กับการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น แต่เธอไม่เคยคิดและไม่ได้ตั้งใจที่จะแก่งแย่งกับใครเพื่อที่จะเป็นซูเปอร์สตาร์ เพราะเธอถือว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เธอพอใจมากอยู่แล้ว
“เป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ ในวงการมันก็ต้องมีการแย่งชิงดีชิงเด่น คนที่เข้ามาในวงการทุกคนอยากไปในระดับที่สูงๆ อยู่แล้ว แต่ถามว่าเจอคนเฟคใส่มั้ย มันก็มีนะมันเป็นปกติ แต่เราก็รู้ว่าเราควรเฟคกับใครหรือไม่ควรเฟคกับใคร หรือว่าคนไหนที่มาแบบผิวเผินเราก็จะไม่ค่อยยุ่งมาก ก็จะทำตัวเฉยๆ ปกติ
อย่างที่บอกว่าไม่ได้ตั้งใจที่ต้องเป็นซูเปอร์สตาร์ อินโอเค อินพอใจในตรงนี้ของอิน ถามว่าถ้าได้มากกว่านี้ดีมั้ย มันก็ดีนะ อินไม่ได้จำเป็นที่จะต้องพยายามเป็นแบบนั้นให้ได้ อินใช้ชีวิตแบบนี้ก็โอเคแล้ว”
เธอไม่ได้อยากทำงานไปตลอดชีวิต เป้าหมายของเธอคือการสร้างตัวให้ได้เร็วที่สุด และทำอย่างไรก็ได้ให้หยุดทำงานให้ได้เร็วที่สุด เพราะเธออยากใช้ชีวิตที่เหลือให้คุ้มค่า
“รู้สึกว่าเราไม่ได้อยากทำงานไปตลอดชีวิต อยากใช้ชีวิตอยู่ตอนนี้ อินเป็นคนชอบไปเที่ยวต่างประเทศ ชอบกิน พยายามอยากหาเงินเยอะๆ เพื่อที่จะได้ไปเที่ยวต่างประเทศ พาครอบครัวไป อยากใช้ชีวิตให้มันสุดๆ ไปเลย อย่างถ้าเราหยุดทำงานตอนอายุ 60-70 ปี มันก็เที่ยวไม่ทันแล้ว มันแก่ไปแล้ว เลยคิดว่าให้ตัวเองหยุดทำงานให้ได้เร็วทีสุดแค่นั้นเอง ต้องรีบสร้างตัวให้ได้เร็วทีสุด”
ส่วนคติประจำใจในการใช้ชีวิตนั้น เธอไม่ได้ยึดหลักอะไรเลย เพียงแต่คิดอยู่เสมอว่าชีวิตของคนเรามันไม่ได้ยืดยาว แค่ใช้ชีวิตให้มีความสุขและไม่ได้เดือนร้อนใครก็เพียงพอแล้ว
“ไม่มีนะ ในความรู้สึกอินจริงๆ แล้วชีวิตคนเรามันก็ไม่ได้ยาว คือทำอะไรก็ทำ ทำแล้วรู้สึกสบายใจ ให้มันมีความสุขที่สุด แล้วก็ไม่ได้เดือดร้อนใครอันนี้ก็เพียงพอแล้ว คือเราอยากใช้ชีวิตยังไง ชีวิตมันเป็นของเรา และไม่ทำให้ใครเดือดร้อนใคร มีความสุขก็พอแล้วค่ะ”
รักนี้ ไม่ปิดบัง
ทิ้งท้ายไปกับเรื่องความรักนี้ เธอมีมุมมองในเรื่องของความรักว่าการที่คนเราจะคบกันนั้น ต้องมากันคนละครึ่ง ปรับบ้าง เปลี่ยนบ้าง แต่ถ้าเปลี่ยนจนไม่เหลือความเป็นตัวเองมันคงไม่ใช่ความรัก
“จริงๆ ความรักอย่างเดียวมันไม่พอ ทุกคนคบกันก็ต้องรักกันถูกต้องมั้ย แต่พอคบกันไปนานๆ มันมีเรื่องอื่นเข้ามาคือความเข้าใจ เรื่องความอดทน หรือการปรับตัวต่างๆ การที่คน 2 คน จะคบกันได้นาน มันต้องมีคนนึงปรับบ้างคนนึงเปลี่ยนบ้าง หรือทะเลาะกันมันเป็นเรื่องปกติ ก็เลยคิดว่าแต่ว่าถ้าเราเปลี่ยนตัวเราเองไปหมดซะทุกอย่างจนไม่เหลือตัวตนที่เราเป็นอยู่ อินว่ามันไม่ใช่ความรัก”
เห็นสาวน้อยหน้าตาน่ารักอย่างนี้แล้ว อดถามไม่ได้ว่า เคยอกหักบ้างหรือเปล่า เธอตอบแล้วสีหน้าเขินๆว่า ด้วยความที่เป็นคนที่คบกับคนยากเลยไม่เคยอกหัก
“พูดตรงๆ ไม่มีเลย (หัวเราะ) พูดจริงๆ คือเป็นคนที่คบกับใครไม่ได้คบง่ายๆ แต่จะมีคนคุยเรื่อยๆ ด้วยความที่มีคนคุยเยอะเลยตัดสินใจคบกับใครไม่ได้คนนี้ก็โอเค คนนั้นก็โอเค ด้วยความที่เราเป็นคนคิดเยอะจะคบกับใครคนนึงเราก็อยากคบนานๆ ก็เลยไม่คบดีกว่า คุยไปเรื่อยๆ มันตัน หรือว่ามันจะยังไงดี ถึงเวลาต้องตัดสินใจมันก็แบบโอเคงั้นเราเป็นเพื่อนกันดีกว่า”
ชายหนุ่มที่จะคว้าหัวใจเธอไปได้นั้น ถ้ามองจากรูปร่างภายนอกจะต้องตี๋ขาวหรือไม่ก็หน้าออกฝรั่งไปเลย และที่ขาดไม่ได้ต้องเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ สนุกสนาน เฮฮา และตลก
“จริงๆ สเป็ก มี 2 อย่าง อย่างแรกคือชอบตี๋ขาวไปเลย กับอีกอย่างคือชอบเป็นแนวฝรั่ง แบบเข้มๆ หน่อย แบบหน้าเข้มคิ้วหนา ตาสวยรูปหน้าเป๊ะ แต่คงหายากนะ (หัวเราะ) ส่วนนิสัยชอบคนที่อยู่ด้วยแล้วสนุก ตลก ถ้าอยู่กับคนตลกมันมีความสุข อินเป็นคนไม่ชอบอยู่กับคนที่คิดลบมากๆ แบบอันนี้ก็ไม่ดีอันนั้นก็ไม่ดี คือบางอย่างเราก็ต้องการอยู่กับคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจไม่ใช่แบบคิดมากตลอดเวลา”
ส่วนผู้ชายที่เธอยี้ที่สุด เห็นจะเป็นผู้ชายขี้เก๊กและแต่งตัวเยอะ เพราะเป็นเรื่องที่เธอเคยเจอมาแล้วกับตัว บอกเลยผู้ชายประเภทนี้ อย่าได้หวังว่าจะเข้ามากล้ำกรายในชีวิต
“ขี้เก๊ก อวดรวย เคยเจอนะ อย่างสมมุติไปสยามหรือไปห้างอะไรอย่างนี้ ใส่หมวก ใส่แว่น ในห้าง คืออะไร แล้วแบบพร็อพเยอะๆ หน่อย ใส่กำไล ใส่สร้อย แบบคิดว่าตัวเองเป็นคนเกาหลีหรืออะไร ไม่ได้ว่านะ แต่บางอย่างมันเยอะไป อินว่าผู้ชายจริงๆ แล้ว ไม่ต้องแต่งตัวเยอะในทัศนคติเรา
แต่ครั้งแรกเขาอาจจะใส่กางเกงขายาว เสื้อแขนยาว อะไรเป็นเรื่องปกติ แต่นานๆ ไปมันใส่แบบนั้นทุกวันไม่ได้ พอคบไปนานๆ เราก็รู้แล้วว่าตัวตนเราเป็นคนยังไง อินเป็นคนสบายๆ เขาก็สบายๆ เขาก็เปลี่ยนลุคในการแต่งตัวของเขาไปเองประมาณนั้น”
จากการพูดคุยกับเธอ ทำให้รู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจอีกคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เธอตอบทุกคำถามแบบไม่มีกั๊ก แม้กระทั้งชายหนุ่มรู้ใจ เธอก็ตอบอย่างแมนๆ ว่า ตอนนี้มีแฟนและคบดูใจกันมากว่า 1 ปี แล้ว และอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่มาโดยตลอด
“คุณแม่จะรู้หมดเลยว่าเราคุยกับใคร อินจะบอกเขาตลอดเวลาว่าอินคุยกับคนนี้อยู่นะ แล้วความสัมพันธ์เป็นยังไงบ้าง ถ้าเป็นเพื่อนคุยกันปกติก็โอเคตอนนี้เป็นเพื่อนกัน เขาก็จะรับรู้ แม่บอกว่าคุยกับใครขอให้บอกเขาหน่อยบางทีเขาเป็นห่วง เขาก็ไม่รู้ว่าคนที่เราคุยด้วยเป็นยังไง เป็นเรื่องปกติเพราะเราเป็นลูกคนเดียวด้วย คุณแม่ก็ไม่ได้ห้ามอะไรค่ะ”
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ : อิน-ณัฐนิชา เชิดชูบุพการี
วันเกิด : 23 พฤศจิกายน 2541
การศึกษา : นักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะบริหารธุรกิจ
ผลงานโดดเด่น : ละคร แก้วตาหวานใจ, โฆษณา GSM 1800, ภาพยนตร์ กรรไกร ไข่ ผ้าไหม
สัมภาษณ์โดย ASTVผู้จัดการ Lite
เรื่อง: กรกนก วงษ์สุวรรณ
ภาพ: พลภัทร วรรณดี
รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754