จากตุ๊กตาพลาสติกธรรมดาๆ กลายเป็น "ตุ๊กตาลูกเทพ" ที่ถูกปลุกเสก เพิ่มความขลังด้วยการอัญเชิญดวงเทพลงมาสถิต จุดประเด็นให้เกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์สนั่นเมืองทั้งงมงาย หลอกลวงประชาชน ในขณะที่อีกฟากกลับได้รับความนิยมอย่างมากทั้งดารา คนดังในแวดวงต่างๆ รวมไปถึงประชาชนบางกลุ่มที่มีความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
คนดังเกาะกระแส "ตุ๊กตาลูกเทพ"
เป็นเรื่องฮือฮาขึ้นมาในสังคมไทย เมื่อ "ตุ๊กตาฝรั่ง" ขนาดตั้งแต่ 8 นิ้วไปจนถึงเท่าเด็ก 7 ขวบ ถูกนำมาปลุกเสก เพิ่มคุณค่าด้วยการอัญเชิญดวงเทพลงมาสถิต กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์รูปแบบใหม่ มาแรงแซงหินสี คนแห่เลี้ยง แห่บูชา เพราะเชื่อว่าเป็นตุ๊กตานำโชค นำลาภมาให้
เทรนด์ดังกล่าว เริ่มมาจาก "หมอแม็ค ขั้นเทพ" ที่ไปสะดุดกับตุ๊กตาตัวหนึ่ง และได้ยินเสียงในความคิดว่าอยากขอไปอยู่ด้วย และหลังจากนำมาอยู่ด้วยก็มอบสิ่งดีๆ ให้หลายอย่าง จึงได้นำไปให้พระอาจารย์ที่นับถือช่วยปลุกเสกให้ ซึ่งแตกต่างจากกุมารทอง หรือลูกกรอกที่จะใช้วัสดุอาถรรพ์ของคนที่ตายไปแล้ว เช่น ดินเจ็ดป่าช้า ผ้าห่อศพ ผม เล็บ เป็นต้น
ด้วยความน่ารัก แถมยังมีความขลัง ไม่แปลกที่คนดังหลายคนอยากจะมีไว้ครอบครอง เนื่องจากมีความเชื่อ และศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ของ "ตุ๊กตาลูกเทพ" เป็นอย่างมาก
เห็นได้จาก "ดีเจบุ๊กโกะ-ธนัชพันธ์ บูรณาชีวาวิไล" นักจัดรายการวิทยุคลื่น 94 เอฟเอ็ม เขามีความความเชื่อ และศรัทธาในตุ๊กตาปลุกเสกมาก แถมมีการเลี้ยงดูราวกับว่าเจ้าตุ๊กตาตัวนี้เป็นลูกจริงๆ เช่น จับแต่งตัว ป้อนน้ำป้อนข้าว พานอนไกวเปล หรือเวลาไปไหนมาไหนก็จะพา "น้องวันใส" ไปด้วย ซึ่งการพาออกไปแต่ละครั้งก็จะมีคนมาขอถ่ายรูป และนำไปลงในโซเชียลฯ ทำให้เกิดกระแสความสนใจของคนบางกลุ่มที่มีความเชื่อเหมือนๆ กัน
สำหรับเหตุผลในการรับมาเลี้ยง ดีเจชื่อดังให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Week night update ทางช่องเวิร์คพ้อยท์ไว้ว่า ก่อนหน้านี้มีความเชื่อเรื่องอย่างนี้อยู่แล้ว แต่ด้วยการทำงานที่ไม่เป็นเวลา กลัวว่าจะไม่มีเวลาดูแลน้องกุมารทอง จึงหยุดความคิดไป จนมาเจอหมอดูท่านหนึ่งแนะนำตุ๊กตาลูกเทพให้ หลังจากได้ลองศึกษาดูก็พบว่าไม่มีมวลสารน่ากลัวเหมือนกุมารทอง จึงตัดสินใจเลี้ยง "น้องวันใส" มาจนถึงทุกวันนี้
นอกจากนั้น ยังมีดาราคนอื่นๆ เช่น มดดำ-คชาภา ตันเจริญ, ดัง-พันกร ตลอดจนคนดังในแวดวงต่างๆ อย่างพริตตี้ นักข่าวบันเทิง ต่างโหนกระแสด้วยการซื้อมาเลี้ยง เพราะมีความเชื่อว่าตุ๊กตาลูกเทพนี้จะช่วยเสริมโชคลาภ โดยวิธีสังเกตตุ๊กตาลูกเทพที่ปลุกเสกแล้วจะมีแผ่นทองปิดอยู่ที่หน้าผาก ส่วนราคาเริ่มตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสน (ขึ้นอยู่กับขนาดของตุ๊กตา) หากใครมีตุ๊กตาอยู่แล้ว บางแห่งมีบริการรับทำพิธีปลุกเสก โดยจะคิดราคาประมาณ 1,000-2,000 บาท
อย่างไรก็ดี บางสำนัก มีการนำตุ๊กตาพวกนี้มาทำเป็นกุมารทอง ซึ่งต่างจากตุ๊กตาลูกเทพ เพราะมีการใส่มวลสารอย่างดิน 7 ป่าช้า ผมผีตายโหง ผงกระดูกเด็กเข้าไป อัญเชิญครูบาอาจารย์และปลุกเสกตามแบบที่เคยทำดั้งเดิม จากนั้นมีการเพนต์สี เขียนหน้าตา ฝังเพชรพลอยให้สวยงาม รวมเป็นราคาแบบปลุกเสกแล้ว ประมาณ 5,500-15,000 บาท
ตุ๊กตาปลุกเสก หลอกลวง ขายความเชื่อ?
กระนั้น แม้ใครหลายคนจะมีความเชื่อ และศรัทธาตุ๊กตาลูกเทพด้วยเหตุผลต่างๆ นานา แต่อีกด้านกลับถูกมองว่าเป็นเรื่องที่งมงายและหลอกประชาชน เห็นได้จากกระแสต้านจากเพจ FuckGhost ฟักโกสต์ : สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย ที่ได้โพสต์แสดงความเห็นเอาไว่า
"อาชีพนี้ดีขายสินค้าแพงเกินราคาได้ แถมภาษีก็ไม่ต้องจ่ายอีก ซึ่งสรรพคุณบอกทำนู่นทำนี่ได้ เฝ้าบ้านได้ ทำให้รวย กิจการเจริญรุ่งเรือง หากมองว่าเป็นสินค้าซื้อมาตามสรรพคุณแล้วไม่เป็นไปตามคำกล่าวอ้าง มันก็เข้าข่ายหลอกลวงต้มตุ๋นนะ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคหรือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งตรวจสอบ"
ส่วนความเห็นในโลกออนไลน์ แม้บางคนจะมองว่า งมงาย แต่ยังมีบางส่วนแย้งว่า เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ถ้าไม่เชื่อก็ไม่ควรไปลบหลู่ นอกจากนั้น ยังมีบางความเห็นที่ไม่อยากให้เหมารวม เพราะบางคนไม่ได้เล่นแบบมีการปลุกเสก แต่ซื้อมาเล่น ด้วยความชอบส่วนตัว
หมอแม็ค ขั้นเทพ
ด้านพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เธอให้ความเห็นว่า "ตุ๊กตาลูกเทพ" เป็นเพียงการสร้างจุดขายให้ดูน่าสนใจ ซึ่งเป็นความเชื่อเฉพาะบุคคล แต่ในอีกแง่ก็สะท้อนความเป็นจริงในสังคมว่า คนไทยยังต้องการเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเพื่อนำมาเป็นที่พึ่งและสร้างความมั่นใจในการดำเนินชีวิต
เมื่อมองในมุมของ "อาจารย์เทพ พงศาวดาร" เจ้าของสำนักพงศาวดาร และเจ้าของไอเดียกุมารทองบาร์บี้ เขาให้สัมภาษณ์ผ่านนิตยสาร Mars ในประเด็นความเชื่อ เครื่องราง ของขลังยุค 2015 ไว้อย่างน่าสนใจ โดยทีมข่าว ASTVผู้จัดการ Live ขออนุญาตหยิบยกบางส่วนบางตอนมานำเสนอต่อ
"ความเชื่อเรื่องเครื่องรางของขลังจริงๆ มันเป็นเรื่องของการเสริมกำลังใจ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ทำให้คนเรามีความหวัง มีศรัทธา มีแรงอยากจะสู้กับปัญหาต่อ ซึ่งศรัทธาถ้าพูดในเชิงวิทยาศาสตร์มันก็คือจิตวิทยาอย่างหนึ่ง มันคือวิทยาศาสตร์ทางจิต เมื่อจิตพุ่งไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งมากๆ มันจะเกิดพลังบางอย่าง และจะสะท้อนมาหาเรา ศรัทธาจึงก่อให้เกิดปาฏิหาริย์ได้ แต่สิ่งสำคัญคือคุณต้องลงมือทำด้วยมันจึงจะได้ผล
พอมันได้ผล ความเชื่อเรื่องพวกนี้เลยไม่เคยหายไปไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ตราบใดที่มนุษย์ยังมีความทุกข์ ตั้งแต่ผมเริ่มคลุกคลีอยู่ในวงการนี้ทำให้เห็นอย่างหนึ่งเลยว่า ยิ่งคนเรามีความทุกข์เยอะ ยิ่งเข้ามาบูชากันเยอะ มันคล้ายๆ กับมาม่าที่ถ้าเดือนไหนขายดีมาก แสดงว่าเศรษฐกิจแย่ คนต้องประหยัด แล้วที่เห็นชัดคือคนเรามักจะเห็นความทุกข์ของตัวเองใหญ่กว่าคนอื่นเสมอ หลายๆ คนที่เข้ามาหาจะชอบบอกช่วยหนูก่อนเพราะหนูทุกข์กว่า ซึ่งเรื่องพวกนี้มันก็สะท้อนความเป็นมนุษย์ได้ดีอย่างหนึ่งเหมือนกัน" อาจารย์เทพให้ทัศนะ พร้อมกับเน้นย้ำว่า เป็นไปไม่ได้ที่บูชาแล้วจะได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมันมีเงื่อนไขอื่นๆ ประกอบเยอะ ทั้งการกระทำของตัวเองและเวรกรรม
นอกจากนั้น ยังเผยให้เห็นกระแสที่เปลี่ยนไปของความเชื่อเรื่องดังกล่าว ซึ่งไม่เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ประเทศจีน เขามองเรื่องกุมารทองหรือเครื่องรางของขลังเป็นเรื่องแฟชั่น ไปไหนมาไหนจะต้องพกติดตัวเอาไปด้วยตลอด บางคนถึงขั้นเอาไปเซลฟี่ถ่ายรูปอวดเพื่อน ตลอดจนหาเสื้อผ้า เครื่องประดับสวยๆ มาแต่งตัวให้น้องกุมารทองกัน ไม่เว้นแม้แต่ค่ายหนังก็ยังเอาไปทำเป็นภาพยนตร์
เครื่องรางของขลังในมิติวิชาการ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความเชื่อในเรื่องเครื่องราง ของขลัง รวมไปถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังคงตอบสนองความต้องการบางอย่างของมนุษย์ ยิ่งในยุคที่มนุษย์มีความอดทนน้อยลง อยากได้เร็วทุกอย่าง แม้กระทั่งความรวย ทำให้ความเชื่อในเรื่องดังกล่าวไม่เคยหายไปจากสังคมไทย
ต่อประเด็นเดียวกัน คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้เชี่ยวชาญปรัชญาอินเดีย ศาสนาฮินดู และศาสนาในสังคมปัจจุบัน ได้เคยให้สัมภาษณ์ผ่านผู้จัดการออนไลน์ไว้ตอนหนึ่งในบทสัมภาษณ์เรื่อง "ไสยศาสตร์" ไม่ใช่เรื่อง "งมงาย" : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง (เชฟหมี) ว่า
"โลกปัจจุบันกลายเป็นว่าความเร็วเป็นความดี เพราะคนไม่มีความอดทน ไสยศาสตร์มันมาตอบโจทย์ตรงนี้เป๊ะ ถ้าเรามัวแต่ทำงาน กว่าเราจะรวยเป็น 10 ปี แต่วันหนึ่งฉันซื้อกุมารทองในราคาไม่กี่บาท เดี๋ยวกูรวยเลย มันกลายเป็นตัวช่วยที่แมตช์กับคุณค่าโลกสมัยใหม่พอดี โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมืองกรุง คนชั้นกลางต้องการสิ่งนี้มาก ชีวิตในกรุงเทพฯ เราก็รู้ว่าถ้าไม่เร็วชีวิตแย่เลย อะไรที่ทำให้เร็วกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก ผมมองว่ามันเป็นปัญหา เพราะมันไม่ได้มองชีวิตตามความเป็นจริง อยากได้เร็วทุกอย่าง แม้กระทั่งความรวย สุดท้ายของพวกนี้เลยกลับมาบูม"
ส่วนประเด็นเรื่องความ "ศรัทธา" หรือ "งมงาย" เขามองว่า ถ้ามองเรื่องนี้แบบนักสังคมวิทยาหรือนักมานุษยวิทยา มันเป็นแค่ปรากฏการณ์ของความเชื่อ เพียงแต่เวลามันมีคำว่างมงาย มันจะขึ้นอยู่กับสองอย่างคือ หนึ่ง-ความคิดแบบวิทยาศาสตร์ สอง-ความคิดแบบพุทธศาสนา
"อะไรที่มันไม่เข้าเกณฑ์จะกลายเป็นงมงาย เช่น พุทธศาสนาบอกว่าต้องมีเหตุมีผล ใช้เกณฑ์นี้ปุ๊บ สิ่งที่ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์จะเป็นงมงาย ใช้วิทยาศาสตร์ปุ๊บ มันพิสูจน์ไม่ได้ทางประสาทสัมผัส ทดลองไม่ได้ มันก็งมงาย เพราะฉะนั้นอยู่ที่เราจะมองแบบไหน สุดท้ายถามว่าการที่คนกลุ่มหนึ่งไปไหว้ต้นไม้ กับคนกลุ่มหนึ่งไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนา มันต่างกันยังไง" นักวิชาการด้านศาสนาให้ความเห็น
ต่อกระแส "ตุ๊กตาลูกเทพ" ที่กำลังได้รับความนิยมของคนบางกลุ่มอยู่ในขณะนี้ นักวิชาการคนเดียวกัน ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมผ่านทีมข่าว ASTVผู้จัดการ Live ว่า วัตถุ สิ่งของที่นิยมนำมาเคารพบูชามักจะเปลี่ยนรูปแบบภายนอกไปเรื่อยๆ ดังนั้นเปลี่ยนจากกุมารทองในรูปแบบเดิมเป็นตุ๊กตาลูกเทพ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล
"มันไม่ใช่เรื่องใหม่ครับ มันอยู่คู่สังคมไทยมานานแล้ว เพียงแต่ตัวรูปแบบภายนอกมันอาจจะทำให้เกิดความน่าสนใจ ความสะดุดตา อีกส่วนหนึ่งผมคิดว่ามันเป็นเรื่องการตลาดของสำนักต่างๆ ที่ใช้สื่อสมัยใหม่เข้ามาจนเกิดเป็นเทรนด์ใหม่ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เดี๋ยวมันก็หายไป สิ่งที่ผมห่วงมากกว่าก็คือ เรื่องของการโดนหลอกลวง เพราะมันเป็นกระแสที่ผูกด้วยการตลาด ดังนั้นราคาย่อมสูงแน่นอน ซึ่งตรงนี้ต้องระวังด้วย" นักวิชาการด้านศาสนาเผย
สอดรับกับรายงานวิจัยเรื่อง "อิทธิพลของเครื่องรางของขลังที่มีต่อชาวพุทธในสังคมไทยปัจจุบัน" จัดทำโดยนางสาวโรสิตา แสงสกุล วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยามหิดล ที่สรุปให้เห็นว่า ความเชื่อในเรื่องเครื่องรางของขลังนั้น สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาแต่ละยุคสมัย ดังนั้น พระสงฆ์ผู้มีหน้าที่เผยแผ่และสืบต่อพุทธศาสนาควรสร้างให้ความเข้าใจแก่ ชาวพุทธที่ถูกต้อง เช่น หากชาวพุทธที่ศรัทธาในเครื่องรางของขลัง นอกเหนือจากการนับถือพระรัตนตรัยนั้น ชาวพุทธก็ควรเดินทางสายกลาง ไม่ควรนำจิตใจไปลุ่มหลงมากจนเกินไป
นอกจากนี้ยังมีพระสงฆ์บางรูปที่นิยมสร้างเครื่องรางของขลังให้ชาวพุทธนำพกติดตัวนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เพราะพระสงฆ์ต้องมีความสำรวม ละจากกิเลสทั้งปวง ชาวพุทธกลับมองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ต้องมีเจตนาในการสร้างเครื่องรางของขลังอันเป็นประโยชน์ทางด้านพุทธศาสนา ก่อให้เกิดกุศล มิใช่เป็นไปในรูปเชิงพาณิชย์
ส่วนชาวพุทธเองนั้น แม้จะมีความเชื่อว่าสิ่งนั้นมีอำนาจ มีคุณวิเศษ แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้ทุกเรื่อง การที่จะเชื่อในเรื่องใดก็ควรเชื่อด้วยความมีเหตุผล ใช้ปัญญาพิจารณาไต่ตรองให้รอบคอบ ผู้อื่นก็ไม่สามารถมาหลอกลวงได้ หากอยากประสบความสำเร็จในชีวิต มีชื่อเสียง เงินทอง ไม่ใช่ว่าอาศัยเครื่องรางของขลังเป็นตัวช่วย ขณะเดียวกันตัวก็ต้องช่วยตนเองด้วยการประกอบสัมมาอาชีพ และยึดถือหลักคำสอนในพุทธศาสนา พร้อมนำไปปฏิบัติเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตประจำวัน
เรื่องโดย : ASTVผู้จัดการ Live
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754