ยังคงเป็นประเด็นร้อนระอุ สำหรับศึกชิงสัตว์ป่าระหว่าง "วัดเสือ" หรือวัดป่าหลวงตามหาบัวฯ จ.กาญจนบุรี กับ "กรมอุทยานแห่งชาติฯ" นอกจากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ในการบุกยึดสัตว์ป่าภายในวัดแล้ว ยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังในความไม่ชอบมาพากลอยู่หลายเรื่อง โดยเฉพาะนายสัตวแพทย์ดูแลสัตว์ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยรายสำคัญ...
ทวงขอความเป็นธรรมแก่สัตว์ป่า
สืบเนื่องจากกรณียื่นหนังสือขอความเป็นธรรมแก่สัตว์ป่าในวัดเสือที่กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเมื่อวันที่ 9 เม.ย.58 ที่ผ่านมา โดยมี นายเอกอนันต์ สรรประดิษฐ์ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นตัวแทนรับเรื่อง และพร้อมจะช่วยเจรจาเพื่อลดความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา หลังจากกรมอุทยานแห่งชาติฯ สั่งการให้เจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ เข้ายึดนกเงือก และนกหายากจำนวน 35 ตัว รวมไปถึงหมีอีก 6 ตัวด้วยวิธีที่ผิดหลักวิชาการอย่างร้ายแรง
จากนั้นในวันที่ 10 เม.ย.58 คณะลูกศิษย์หลวงตามหาบัวฯ ได้ยื่นหนังสือแจ้ง ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อทราบถึงข้อตกลงดังกล่าว และเร่งทวงคืนสัตว์ที่ช่วงชิงเอาไปกลับสู่ "เขตอภัยทาน" ของวัดเสือโดยเร็วที่สุด
ล่าสุด เมื่อวันที่ 19 เม.ย.58 คณะลูกศิษย์ฯ และพระสงฆ์จากวัดต่างๆ ทั่วประเทศได้เดินทางมายื่นหนังสือที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า บางละมุง จ.ชลบุรี เพื่อขอให้ส่งคืนหมีจำนวน 6 ตัวกลับคืนสู่วัดเสือ ตามเงื่อนไขที่เจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ให้คำสัตย์ว่า หากมีใบอนุญาตจะส่งคืนสัตว์ป่าทุกตัวที่ยึดไป
โดยการเดินทางมาครั้งนี้ ไม่พบนายพสวัฒน์ โชติวัตพงษ์ชัย หัวหน้าสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า มีแต่เจ้าหน้าที่ของสถานีฯ เข้ามาเจรจา และไม่อนุญาตให้เข้าไปดูหมีตามความต้องการของคณะลูกศิษย์ฯ เนื่องจากเป็นช่วงวัดหยุด และการมาเยี่ยมชมไม่ได้แจ้งล่วงหน้า อีกทั้งไม่ได้รับอนุญาตหรือมีหนังสือจากกรมอุทยานฯ มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่
สำหรับหมี 6 ตัว ถูกระบุไว้ในแถลงการณ์ว่า เป็นสัตว์ที่อยู่ในความดูแลด้วยความเมตตาธรรมจากวัดเสือมาอย่างยาวนาน โดยหมี 3 ตัว ได้แก่ แพนเค้ก (นุ้ย) ตุ๋ย และแบมแบม เป็นกลุ่มที่ทางราชการได้นำมาฝากเลี้ยงไว้กับวัดเสืออย่างถูกต้องตั้งแต่ปี พ.ศ.2544
ส่วนอีก 3 ตัว ได้แก่ บับเบิ้ล หยิน และหยาง เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่นายทหารพราน และลูกศิษย์สายกรรมฐานจากทางภาคเหนือได้นำมาฝากไว้ด้วยความไว้วางใจเมตตาธรรมของทางวัด ซึ่งอยู่ในช่วงที่ใบอนุญาตสวนสัตว์สาธารณะยังมีผลอยู่ พร้อมได้ยื่นเรื่องแจ้งต่อทางราชการ และได้ฝังไมโครชิปไว้กับหมี 3 ตัวหลังเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วย
นอกจากนี้ ยังระบุด้วยว่า ประชาชนจำนวนมากตั้งข้อสงสัยว่า เรื่องทั้งหมดนี้ เป็นการจัดฉากของกรมอุทยานฯ ร่วมกับบุคคลบางกลุ่ม เมื่อเรื่องเงียบไป จะได้นำสัตว์ที่เคยอยู่อย่างมีความสุขในเขตอภัยทานของวัด นำมาใช้เพื่อสนองประโยชน์ในเชิงพาณิชย์จริงหรือไม่ เพราะชื่อเสียงของสัตว์ป่าในวัด หรือ Tiger Temple โด่งดังไปทั่วโลก
ไม่เพียงเท่านั้น ลำพังสัตว์ป่าที่อยู่ในป่าปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถดูแลได้ดี ทำให้สัตว์ป่าทั้งหลายต้องออกมารบกวนประชาชนให้เห็นเป็นข่าวอยู่เป็นประจำ เนื่องจากมีความอดอยากแร้นแค้นในป่า แต่กลับไม่เคยจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้สำเร็จแต่ประการใด
แม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูสภาพความเป็นอยู่ของหมีทั้ง 6 ตัว แต่ทาง สัตวแพทย์หญิงสุนิตา วิงวอน นายสัตวแพทย์ประจำสถานีฯ ยืนยันผ่านทีมข่าว ASTVผู้จัดการ Live ว่า หมีทั้ง 6 ตัวได้รับการดูแล และเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นอาหาร และสถานที่ ส่วนกรงที่มีคนบอกว่าเล็ก และคับแคบนั้น สัตวแพทย์หญิงชี้แจงว่า เป็นกรงอนุบาลรักษาหมีที่มาใหม่ ไม่ใช่กรงถาวร อย่างหมีที่ลำเลียงมาจากวัดเสือ บางตัวมีปัญหาด้านผิวหนังทำให้ขนล่วง แถมมีหนองด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรักษา และควบคุมความสะอาดก่อนนำไปปรับสภาพ และปล่อยให้อยู่กับเพื่อนหมีด้วยกัน
ด้านกระแสข่าวที่มีกลุ่มผู้สังเกตการณ์ให้ข้อมูลว่า "แบมแบม" หมีกลุ่มแรกที่องค์หลวงตา ฯ เมตตาสั่งการให้ทำบันทึกข้อตกลง กำลังป่วยและอยู่ในอาการซึมเศร้าอย่างหนักนั้น สัตวแพทย์หญิงคนเดียวกัน ยืนยันว่า ไม่ได้ตกอยู่ในอาการซึมเศร้าอย่างหนักแต่อย่างใด
"หมีจากวัดเสือ เราดูแลอย่างดี ไม่ใช่ว่าไม่ดูแลเลย คนที่พูดว่าจะเอาหมีไปขาย พูดแบบนี้ได้ยังไง เรามีสิทธ์ฟ้องคุณได้นะ ซึ่งทางเราได้รับมาก็มีหน้าที่ดูแลให้ดี ทุกวันนี้เรามีหมีหลายร้อยตัว เราก็ดูแลอย่างเต็มที่ ได้รับหมีมาเพิ่มเราก็ต้องดูแลเพิ่ม การมาทวงคืน เราไม่มีสิทธ์คืนหรอกค่ะ ถ้าจะเอาคืนก็ต้องไปฟ้องร้องเอา" นายสัตวแพทย์ประจำสถานีฯ เผย
ทางด้านเจ้าหน้าที่ของสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า บางละมุง ก็เปิดใจว่า "เราก็ไม่ได้อยากได้มาเลี้ยงหรอกครับ เอามาก็เป็นภาระ ในเมื่อมีคำสั่งมา เราก็ต้องทำตาม และการมาขอให้เข้ามาดูหมีในครั้งนี้ พวกเราก็ให้เข้าไปไม่ได้ ถ้าเราให้เข้า เราก็ถูกไล่ออก"
แกะปมปริศนา กรณีเสือหาย
สำหรับความคืบหน้าประเด็นข่าวที่โจมตีว่าเสือหายไปนั้น คณะลูกศิษย์ฯ ยืนยันว่า เสือทั้ง 3 ตัว ได้แก่ ดาวเหนือ ฟ้าคราม และแฮปปี้ ยังอยู่ที่วัดเสืออย่างครบถ้วนโดยปกติสุข ทั้งนี้กำนันซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลเสือดังกล่าวตลอดมา ได้ร่วมกันรับรองพร้อมกับบันทึกภาพการชี้เสือ 3 ตัวที่เป็นประเด็นปัญหาว่ายังมีอยู่จริง ส่วนไมโครชิป เป็นเพียงข้อมูลสนับสนุนที่ไม่อาจวางใจได้ 100 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ดี ทางคณะศิษย์ เรียกร้องให้เจ้าพนักงานเร่งสืบสวนหาความจริงว่า เหตุใดไมโครชิปของเสือ 3 ตัวจึงมาอยู่ในมืออดีตสัตวแพทย์ที่ดูแลสัตว์ของวัดได้ มีหลักฐานการฝังไว้ในตัวเสือจริงหรือไม่ เหตุใดข้อมูลจึงไม่ปรากฏมีชื่อพ่อ แม่ หรือระบุที่มาของเสือ ซึ่งดูเป็นการลงทะเบียนที่ชวนให้น่าสงสัยอย่างมาก
นอกจากนั้น ยังรู้สึกประหลาดใจเกี่ยวกับกรณีเสือ โดยตั้งข้อสังเกตว่า แฟ้มข้อมูลประวัติเสือทุกตัว ซึ่งทางวัดได้สั่งการให้นายสัตวแพทย์ทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลเข้าแฟ้มอย่างเป็นระบบตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 10 ปี เหตุใดแฟ้มดังกล่าวจึงหายสาบสูญไป แม้ทางวัดจะมีคำสั่งให้สัตวแพทย์พ้นสภาพการทำหน้าที่ไปแล้วมีผลตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.2558 ก็ไม่อาจทำลาย แก้ไข หรือหยิบฉวยแฟ้มเอกสารหลักฐาน ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ทุกชิ้นออกจากวัดไปได้ เนื่องจากเป็นสมบัติของวัดที่จำเป็นต้องใช้เพื่อการดูแลรักษาชีวิตสัตว์ให้เป็นไปด้วยดี
สอดรับกับข้อมูลจากพระลูกวัด ที่เผยถึงต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดว่า มาจาก "อดีตคนวงใน" ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยรายสำคัญ
"จนตอนนี้เราก็กำลังจะดำเนินการฟ้องร้องคนในที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดซึ่งก็คือนายสัตวแพทย์ที่ดูแลสัตว์ทั้งหมด เพราะทางวัดก็ได้มีการขึ้นทะเบียนทำตามระเบียบมาโดยตลอด ทั้งตรวจโรคดูแลฝังไมโครชิป ซึ่งดำเนินการมายาวนานวัดก็ทำตามกฎมาตลอด แต่พอนายแพทย์คนนี้ถูกไล่ออกไป มันก็เกิดข่าวขึ้นและทุกอย่างในวัดกลายเป็นเรื่องผิดหมดเลย หมีตัวไหนไม่ได้ฝังไมโครชิปก็รู้หมดทันทีราวกับรู้เห็นกันมาก่อน มันไม่ถูกต้องอยู่แล้วที่นายสัตวแพทย์ที่ดูแลสัตว์ ทำอะไรไม่ถูกต้องแล้วไม่แจ้งต่อนายจ้างคือทางมูลนิธิกับทางวัด" พระลูกวัดเผย
ดีเดย์ 24 เม.ย. ตรวจไมโครชิปเสือ
ล่าสุด ได้มีการเจรจากันระหว่าง "สมศักดิ์ ภู่เพ็ชร์" ผู้อำนวยการส่วนยุทธการป้องกันและปราบปราม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และ "พ.ต.อ.ศุภิฎพงศ์ ภักดิ์จรุง" รองประธานมูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัว ที่สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนความถี่ 93.25 MHz เพื่อเจรจาพูดคุยหาทางออกร่วมกันเกี่ยวกับการตรวจสอบไมโครชิปเสือของกลาง จำนวน 146 ตัว
สำหรับบรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยรองประธานมูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัวฯ บอกว่า ปัญหาเรื่องเสือของกลาง ทางวัดได้ประสานกับกรมอุทยานฯ และได้พูดคุยกันมาโดยตลอด ซึ่งทางวัดพร้อม และยินดีที่จะให้ทางกรมอุทยานฯ เข้ามาดำเนินการเกี่ยวกับการตรวจสอบไมโครชิปของเสือทุกตัวให้เป็นไปตามกฎหมาย
โดยเฉพาะเสือ 3 ตัว ที่ นายสัตวแพทย์สมชัย วิเศษมงคลชัย อดีตนายสัตวแพทย์ผู้ดูแลเสือของกลาง เป็นผู้แจ้งต่อกรมอุทยานฯ ว่าเสือหายออกไปจากวัด แต่เราได้เสนอไปว่าขอให้สอบสวน อดีตนายสัตวแพทย์สมชัย ด้วยว่า ในเมื่อเสือหายแต่ทำไมชิปยังอยู่ เพราะทั้งเสือทั้งชิป นายสัตวแพทย์สมชัย เป็นผู้ดูแลทั้งหมด ทางวัดเองก็อยากรู้เช่นกันว่าหากเสือหายไปจริง ใครเป็นผู้กระทำ หากรู้ทางวัดก็จะไปช่วยเหลือเจ้าหน้าที่จับคนร้ายอีกทางหนึ่ง แต่สำหรับอดีตนายสัตวแพทย์สมชัย วิเศษมงคลชัย ทางวัดจะไม่ยอมให้เข้ามาวัดอีกตลอดชาติ
ดังนั้น จึงเห็นพร้อมว่า ให้เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาตรวจสอบเสือของกลางทั้ง 146 ตัว ในวันที่ 24 เม.ย.58 นี้ แต่จะขอให้กรมอุทยานฯ ไม่ให้มีการขนย้ายเสือออกไปไว้ที่อื่น เพราะวัดเสือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก และหากมีการขนย้ายเสือออกไปก็จะไม่ตรงกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล จึงขอเรียกร้องไปยังรัฐบาล นายกรัฐมนตรี รวมทั้งรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมกันพิจารณาหาทางออกร่วมกัน
(ภาพ) เมื่อเวลา 14.00 น. ของวันที่ 19 เม.ย. นายสมศักดิ์ ภู่เพ็ชร์ ผู้อำนวยการส่วนยุทธการป้องกันและปราบปราม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายธนะบดี เอี่ยมสุขประเสริฐ หัวหน้าหน่วยปฎิบัติการพิเศษที่ 1 กาญจนบุรี ( สปป.ที่ 1 ภาคกลาง) เดินทางไปพบ พ.ต.อ.ศุภิฎพงศ์ ภักดิ์จรุง รองประธานมูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัว ที่สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนความถี่ 93.25 MHz เพื่อเจรจาพูดคุยหาทางออกร่วมกันเกี่ยวกับการตรวจสอบไมโครชิปเสือของกลาง จำนวน 146 ตัว
ก่อนจะชี้แจงถึงกรณีข่าวลือที่ว่า ตนกับหลวงตาจันทร์ เจ้าอาวาส วัดป่าหลวงตามหาบัวฯ ได้ขึ้นเครื่องหนีออกไปอยู่ต่างประเทศว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ เจ้าอาวาสได้สร้างโบสถ์ที่วัดป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ที่เมืองเพลิน ประเทศเยอรมนี และโบสถ์ได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วทางศิษยานุศิษย์ที่เป็นชาวไทย และเยอรมนี่ที่เมืองเพลิน ได้นิมนต์ให้ท่านเดินทางทำพิธีทางศาสนาเพื่อเป็นสิริมงคล เจ้าอาวาสได้เดินทางไปขึ้นเครื่องในช่วงเย็นของวันศุกร์ที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งตนเป็นคนไปส่งที่สนามบินด้วยตนเอง
หลังจากเจ้าอาวาสขึ้นเครื่องเสร็จ ตนก็เดินทางกลับมาที่วัดทำงานตามปกติ ซึ่งศิษยานุศิษย์ก็ได้ถ่ายภาพบรรยากาศการทำบุญที่วัดส่งมาให้ตนดู โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ เจ้าอาวาสก็ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ตนดูแลมูลนิธิวัดป่าฯ แทนทุกอย่าง โดยหลังจากเสร็จจากรับกิจนิมนต์ที่เมืองเพลิน เจ้าอาวาสก็จะเดินทางกลับประเทศไทยทันที
สุดท้ายแล้ว มหากาพย์เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร ต้องติดตาม แต่สิ่งที่คณะลูกศิษย์ฯ และพระวัดป่าหลวงตามหาบัวฯ ยอมไม่ได้ก็คือ การใช้อำนาจเข้าเหยียบย่ำเมตตาธรรม บุกเข้าไปในวัดเสือเพื่อจะยึดหมี 6 ตัว ทั้งๆ ที่กรมอุทยานฯ ทราบดีว่ายังอยู่ในช่วงจัดงานอุปสมบทและปฏิบัติธรรมเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 5 รอบ แม้เจ้าอาวาสจะขอผ่อนผันจะเข้าไปพบเจ้าหน้าที่หลังเสร็จพิธีตามหมายรับสั่งเสด็จสิ้นเสียก่อน แต่กลับไม่ฟังเสียงใดๆ
นอกจากนี้ ยังใช้ความรุนแรง โดยใช้ไม้ไผ่ตีนกจนบาดเจ็บ และตายถึงอย่างน้อย 3 ตัว แถมยังใช้เชือกคล้องคอเป็นบ่วงดึงหมี ซึ่งผิดหลักวิชาการอย่างร้ายแรง เพราะอาจจะทำให้หมีถึงแก่ความตาย หรือบาดเจ็บสาหัสได้ ดังนั้น จึงไม่ไว้วางใจหากสัตว์ป่าต้องตกอยู่ในอุ้งมือของคนกลุ่มนี้
ส่วนอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลในสายตาของคณะลูกศิษย์ฯ และพระลูกวัดก็คือ การที่กรมอุทยานฯ ให้คำสัตย์ว่า ถ้ามีใบอนุญาต กรมอุทยานฯ จะคืนสัตว์ป่าทุกตัวให้ทางวัด แต่พอนำเอกสารหลักฐานมาแสดง กลับถูกบ่ายเบี่ยงถามหาถึงฉบับจริงประหนึ่งว่าได้รู้เห็นหรือสมคิดกับคนวงในให้ลักเอกสารสำคัญต่างๆ ของวัด และมูลนิธิออกไป เพื่อจะได้ไม่มีหลักฐานแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้ทันท่วงที
จริงหรือไม่ นี่คือความน่าสงสัยที่ชวนให้ครุ่นคิด และหวังว่าความจริงจะปรากฏในเร็ววัน
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live
*** ลิงค์ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดปม! วัดเสือ แฉเจ้าหน้าที่โยนขี้ให้พระ (มีคลิป)
เสือข้าใครอย่าแตะ! เมื่ออำนาจเหยียบย่ำ "เมตตาธรรม"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754