กลายเป็นประเด็นร้อนที่สังคมครหาถึงขั้นว่าวัดลักลอบเลี้ยงสัตว์ป่า มีผลประโยชน์ทับซ้อนกลายๆ ว่า “วัดเสือ” ที่สร้างปรากฏการณ์ของพระเลี้ยงเสือจนเชื่องถึงขั้นคนสามารถเข้าไปอยู่ใกล้ได้แบบสัมผัสตัว ถูกตราหน้าจากหลายฝ่ายอย่างรุนแรง
นกเงือกถูกจับตัวไป หมีควาย 6 ตัวถูกลำเลียงออกจากวัด ยังมีประกาศจากอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชชัดแจ้งจะนำตัวเสือออกจากวัด
วัดเสือกลายเป็นวัดเถื่อนที่ถูกมองว่าเบื้องหลังไม่ชอบมาพากล เสือเชื่องต้องสงสัยว่าถูกวางยา สัตว์หลากหลายถูกครหาว่าเป็นสัตว์ป่าสงวนที่ถูกจับมาขายต่อ กลายเป็นหนึ่งในวงจรค้าสัตว์เถื่อนในความรู้สึกของผู้คนในสังคมไปโดยปริยาย
แต่ความจริงในมุมของวัดเสือยังไม่ปรากฏ จนล่าสุดเหล่าลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนได้รวมตัวกันยื่นหนังสือยังกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงทุกประเด็นทุกข้อกล่าวหา เปิดเผยทุกความจริงให้สังคมรับรู้ พระลูกวัดผู้อยู่ในเหตุการณ์ ทีมข่าว ASTVผู้จัดการ LIVE ลงพื้นที่ จ.กาญจนบุรี ตรวจสอบต่อถึงสภาพความเป็นอยู่ปัจจุบัน หลังเหตุล้อมจับของเจ้าหน้าที่คุ้มครองสัตว์!
ทวงถามความจริง
ในช่วงเวลายาวนานของเหตุปะทะที่มีความรุนแรงของการลงพื้นที่จับสัตว์จากวัดเสือ ด้านหนึ่งหลายคนต่างวิพากษ์การกระทำของพระที่ขัดขวางเจ้าหน้าที่ เมื่อเรื่องราวผ่านจนปรากฏต่อหน้าสื่อ แน่นอนว่า ลูกศิษย์ที่ศรัทธาในตัว หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ที่มีอยู่ทั่วประเทศก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ข่าวร้ายเหตุเกินงามที่สร้างรอยด่างพร้อยเช่นนี้ต้องพิสูจน์หาความจริง
“ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก พวกเราเป็นศิษย์หลวงตามหาบัวด้วยความคุ้นเคยในฐานะของการเป็นลูกศิษย์และเป็นคณะสงฆ์ด้วยกันก็อยากจะรู้ความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้น เราก็ได้ลงไปดูด้วยตาตัวเองและรู้ว่าความจริงที่เกิดขึ้นมันคืออะไร”
ฟังชัดๆ! เปิดความจริงในมุมของฝ่ายวัดเสือ ยื่นหนังสือชี้แจงทุกประเด็นทุกข้อกล่าวหาที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อ...
Posted by ASTV ผู้จัดการ Live on Thursday, April 9, 2015
พระจิรวัฒน์ อัตตรกโข ประทานคณะสงฆ์ ตัวแทนคณะสงฆ์ศิษย์หลวงตามหาบัว กล่าวถึงการรวมตัวที่เกิดขึ้นในวันนี้ (9 เมษายน 2558) ที่กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมพร้อมยื่นหนังสือเผยแพร่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และเอกสารพร้อมภาพถ่ายหลักฐานยืนยัน โดยมีจุดยืนในเพียงอยากจะเปิดความจริงทั้งหมดในรับรู้กันในสังคม พร้อมทั้งประสานงานกับภาครัฐในการทวงถามถึงความเป็นไปของสัตว์ที่ถูกนำออกจากวัดเสือไปอีกด้วย
“พูดง่ายๆ เลยนะ เราไม่ไว้ใจกรมอุทยานฯ!”
โดยเหล่าสงฆ์ที่มารวมตัวกันวันนี้มีอยู่รวม 20 รูปเป็นพระสงฆ์มาจากวัดต่างๆ ทั่วประเทศซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่ศรัทธาในตัวหลวงตามหาบัวทั้งสิ้น ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของการดำเนินการที่วัดเสือพร้อมทั้งมูลนิธิเสียงธรรมให้การดูแลจัดการสัตว์ตลอดมานั้น ความจริงหนึ่งในมุมของของพระอันเป็นที่ประจักษ์ก็คือ สัตว์มีความเป็นอยู่ที่ดี
“เอกสารรับรองว่าที่นี่เป็นสวนสัตว์สาธารณะก็มี ลงไปจริงๆ ก็เห็นว่าเสือ หมี หรือสัตว์ต่างๆ มันเชื่องกับผู้คนมาก เพราะพระเลี้ยงสัตว์โดยใช้ความเมตตา ไม่ไปทำร้ายมัน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เสือมันก็เลยมีชีวิตจิตใจที่เติบโตขึ้น ขยายพันธุ์จากตอนแรกที่มีอยู่ไม่กี่ตัว มีญาติโยมนำมาถวายให้เลี้ยงดูจนตอนนี้มี 100 กว่าตัวแล้ว มันแสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่าที่นี่มีการเลี้ยงดูที่ดีพอ ขนาดสวนสัตว์ที่อื่นกว่าจะเลี้ยงให้มันผสมพันธุ์ยังทำกันไม่ได้ง่ายๆ เลย”
ในส่วนของเอกสารมีบันทึกข้อความการฝากเลี้ยงสัตว์ป่ามีระบุรายละเอียดทั้งจำนวนสัตว์ทั้งหมดที่นำมาฝากทางวัดเลี้ยงอย่างถูกต้องอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีเอกสารร้องขอความเป็นธรรมซึ่งระบุถึงประเด็นขัดแย้งพร้อมแนบหลักฐานมากมาย โดยมีประเด็นชี้แจงได้แก่ ข่าวเสือหายที่ยังปรากฏหลักฐานว่าเสือทั้งสามตัวยังอยู่ที่วัด การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในวัน 2 เมษายน 2558 ยังมีประเด็นเอกสารฝากเลี้ยงหมีควายที่วัดถูกกล่าวว่าเลี้ยงโดยผิดกฎหมาย สุดท้ายคือใบอนุญาตก่อตั้งสวนสัตว์สาธารณะพร้อมคำขอต่ออายุ โดยเอกสารดังกล่าวลงชื่อ ศ.ดร.รัตนา ศิริพานิช ตัวแทนศิษยานุศิษย์องศ์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
“นอกจากความเป็นอยู่ของสัตว์ที่มีปัญหาแล้ว ทางเราก็ยิ่งไม่สบายใจเลยเพราะข่าวที่ออกไปโจมตีทางวัดมากมาย ที่ผ่านมาพระท่านก็ได้เลี้ยงดูสัตว์พวกนี้มาด้วยความรักความเอ็นดู อยู่ๆ มาทำแบบนี้ นอกจากกระทำการรุนแรงแล้วยังทำให้คนในสังคมเข้าใจผิดอีก” ตัวแทนของ ศ.ดร.รัตนา ศิริพานิช ผู้มายื่นหนังสือเอ่ยขึ้น
ด้านหลวงปู่บุญมี ธัมมรโต วัดป่าศรัทธาถวาย (ถ้ำเต่า) ตัวแทนคณะสงฆ์ศิษย์หลวงตามหาบัว เผยว่า การมาครั้งนี้เนื่องจากมีข่าวว่ามีการมานำตัวเสือจากวัดไปอีก จึงต้องเร่งมารวมตัวกันเพื่อทำให้ความจริงเป็นที่กระจ่างแจ้งต่อสังคมโดยเร็วที่สุด
“ตอนนี้ก็มายื่นหนังสือชี้แจงถึงจุดที่ทางภาครัฐเขาไม่สบายใจก่อน แล้วจัดการไปทีละประเด็น ถึงตอนนี้อยากถามไปถึงฝ่ายที่รับเอาตัวสัตว์ไปด้วยว่าตอนนี้สัตว์ไปอยู่ที่ไหนแล้ว ความเป็นอยู่นั้นเป็นอย่างไรบ้าง เอาไปทำอะไร ฝ่ายนั้นต้องชี้แจงออกมาด้วย”
เค้าลางไม่ชอบมาพากล
“ทางวัดเราได้มีการยื่นเอกสารต่ออายุใบอนุญาตก่อตั้งสวนสัตว์สาธารณะไปตั้งแต่ก่อนใบอนุญาตเดิมหมดอายุลงแล้ว ยื่นไปตั้งแต่ปี 2556 แล้ว แต่หน่วยราชการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ไม่มีการส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจประเมินทำให้ล่าช้าจนทางวัดไม่ได้รับใบอนุญาต จนเกิดเหตุดังกล่าวขึ้นก็ออกข่าวมาโจมตีทางวัดว่าได้เลี้ยงสัตว์ผิดกฎหมายเอาไว้” พระตรีรัตน์ อาภาธโร พระลูกวัด วัดป่าหลวงตามหาบัว ผู้อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 2 เมษายน 2558 ที่วัดมีพิธีอุปสมบทหมู่เพื่อถวายแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ซึ่งในวันนั้นยังมีการพระราชทานอภัยโทษให้กับนักโทษทั่วประเทศ
“แต่กลับเป็นวันที่เจ้าหน้าที่เข้ามาจับสัตว์ในวัด มันตรงข้ามกันนะ เหมาะสมแล้วเหรอ?”
โดยในช่วงแรกก่อนเกิดเหตุนั้น เขาเผยความจริงจากในมุมมองของพระผู้อยู่ในเหตุการณ์ว่า ทีแรกนั้นมีการเจรจาพูดคุยกัน มีเจ้าหน้าที่มาดูท่าทีตั้งแต่ช่วง 11 โมงเช้า หลังจากเจ้าหน้าที่ได้พูดคุยกับทางวัด มีการแสดงเอกสารให้ดูว่ามีใบรับรองจากในทางราชวังว่ากำลังทำพิธี แต่ท้ายที่สุดเมื่อเข้าสู่ช่วงเที่ยงของเขาก็เกิดเหตุเผชิญหน้าระหว่างพระสงฆ์กับเจ้าหน้าที่ตามข่าวที่ปรากฏออกมา
“เราต้องการให้ผู้สั่งการ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการและผู้ร่วมปฏิบัติในวันนั้นรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับชีวิตของนกเงือก”
จากนั้นตามข่าวที่ปรากฏเจ้าหน้าที่มีกำลังพลรวมกว่า 400 คนพร้อมอาวุธครบมือก็เผชิญหน้ากับพระที่วันนั้นยังประกอบพิธีกันอยู่ พระผู้อยู่ในเหตุการณ์เผยว่า ในช่วงพูดคุยกันนั้นทางวัดไม่ได้ขัดขวางการตรวจค้นแต่อย่างใด เพียงแต่ขอให้เลื่อยเวลาออกไปก่อนสัก 1 - 2 วันเพราะทางวัดกำลังจัดพิธีอยู่
“การจะเคลื่อนย้ายสัตว์มันต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ไม่ใช่มาลักกันไปแบบโจรอย่างนี้ มาเอาปืนจ่อไปเอาไปแบบนี้ไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นคือเจ้าหน้าที่อยู่ๆ ก็เข้ามาในวัดแล้วนำสัตว์ออกไป วัดทำเท่าที่ทำได้เพื่อคุ้มครองสัตว์เหล่านั้นเพราะมันไม่ชอบมาพากลมากๆ”
เขากล่าวอีกว่า ในตอนนำสัตว์เหล่านั้นมาฝากเลี้ยงมีทำเอกสารอย่างดี แต่พอจะนำสัตว์ออกกลับมาเอาไปอย่างโจร เขามองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
“นกเงือกก็เอาไม้ไล่ตีจนมันตายแล้วก็เก็บศพไป อันนี้เรามีหลักฐาน หมีก็มีการนำออกไปในลักษณะที่ไม่ถูกต้อง ผูกเชือกที่คอหมีแล้วดึงข้ามกำแพงออกไปเพราะเข้าทางด้านหน้าไม่ได้ มันเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องตามหลักสากลใดๆ ทั้งสิ้น”
เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นนำพาความโศกเศร้ามาสู่วัดเสือซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเหล่าสรรพสัตว์ และยังนำพาความเสื่อมเสียมาสู่วัดจนถูกครหาว่าเป็นวัดที่เลี้ยงสัตว์ผิดกฎหมายอีกด้วย ต้นเหตุหนึ่งในฐานะลูกวัดเขาเผยว่ามาจากคนในซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยรายสำคัญที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด
“จนตอนนี้เราก็กำลังจะดำเนินการฟ้องร้องคนในที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดซึ่งก็คือนายสัตวแพทย์ที่ดูแลสัตว์ทั้งหมดนั่นเอง เพราะทางวัดก็ได้มีการขึ้นทะเบียนทำตามระเบียบมาโดยตลอด ทั้งตรวจโรคดูแลฝังไมโครชิป ซึ่งดำเนินการมายาวนานวัดก็ทำตามกฎมาตลอด แต่พอนายแพทย์คนนี้ถูกไล่ออกไป มันก็เกิดข่าวขึ้นและทุกอย่างในวัดกลายเป็นเรื่องผิดหมดเลย หมีตัวไหนไม่ได้ฝังไมโครชิปก็รู้หมดทันทีราวกับรู้เห็นกันมาก่อน มันไม่ถูกต้องอยู่แล้วที่นายสัตวแพทย์ที่ดูแลสัตว์ ทำอะไรไม่ถูกต้องแล้วไม่แจ้งต่อนายจ้างคือทางมูลนิธิกับทางวัด”
วัดเสือ ณ ปัจจุบัน
หลังเหตุการณ์ยื่นหนังสือร้องเรียนเพื่อเผยความจริง ทีมงาน ASTV ผู้จัดการ LIVE ลงพื้นที่ตรวจสอบตามคำบอกเล่าทันทีพบว่า บริเวณวัดถ้ำเสือในช่วงบ่ายคล้อย สัตว์ทุกตัวไม่ได้ถูกกักขังทารุณแต่อย่างใด ทางวัดเปิดโอกาสให้ทุกชีวิตเป็นอิสระ ทั้งหมูป่า ม้า วัว ควาย และกระทิง ต่างออกมาวิ่งเล่นซุกซนได้ตามจุดต่างๆ หนำซ้ำสภาพร่างกายยังอ้วนท้วมสมบูรณ์ เช่นเดียวกับเสือที่แลดูเป็นมิตร ไม่มีพิษมีภัยต่อคน ภายใต้การดูแลเป็นอย่างเข้มงวดของเจ้าหน้าที่ซึ่งได้จัดสรรไว้ในพื้นที่กว้างขวาง ไม่แออัดคับแคบอย่างที่เป็นข่าว
ไปดูให้เห็นกับตา! เสือ ณ วัดเสือ เมืองกาญจน์ มีความเป็นอยู่อย่างไร? จริงหรือไม่ที่สัตว์ป่าถูกกักขังอย่างทารุณ ส่วนเสือก็ปล่อยให้หิวโซจนซูบผอม ติดตามได้จากคลิปนี้
Posted by ASTV ผู้จัดการ Live on Thursday, April 9, 2015
ด้าน พ.ต.อ.ศุภิฏพงศ์ ภักดิ์จรุง รองประธานมูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัว ผู้ดูแลพื้นที่สวนสัตว์เผยว่านี่คือความเป็นอยู่ปกติของวัด เปิดในช่วงเช้าให้เข้าฟรี เก็บเงินเฉพาะเวลา 12.00-15.00น. หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เข้าฟรี โดยลักษณะของการเลี้ยงสัตว์ก็เป็นแบบปล่อยเสียมากกว่า
“ที่นี่เป็นสวนสัตว์เปิดดีๆ นี่เอง ปล่อยให้สัตว์อยู่กันอย่างอิสระ นกยูงมันบินได้ จะบินหนีข้ามกำแพงไปไหนก็ได้ มีแต่เสือกับหมีที่เป็นสัตว์ดุร้ายเราก็ต้องแยกไว้”
โดยเขาเอ่ยถึงชาวต่างชาติกลุ่มอาสาสมัครที่มาดูแลหมีซึ่งตอนนี้ได้มีการติดตามไปดูหมีที่ถูกจับไป
“กลุ่มอาสาสมัครเขาบอกเลยว่ามันอยู่ที่นั่นไม่มีความสุขเหมือนที่นี่ คำถามคือที่นี่มีความพร้อมอยู่แล้วจะย้ายไปเพื่ออะไร? ไปสร้างกรงใหม่เสียงบประมาณทำไม? ดูแลได้หรือเปล่า?”
กระแสข่าวที่ออกไปนั้นเป็นไปในทิศทางที่ว่าวัดทำผิด เขาได้แต่ส่ายหน้าพร้อมบอกว่า วัดนี้ถือเป็นศูนย์กลางขอชุมชนโดยสวนสัตว์นั้นเกิดขึ้นด้วยศรัทธาที่มีต่อวัด ลูกศิษย์นำสัตว์ถวาย นำมาปล่อย เขตอภัยทานของวัดกลายเป็นสวนสัตว์ที่ใหญ่ขึ้น จนท้ายที่สุดก็คืนกลับสร้างงานสร้างรายได้ให้กับชุมชนชาวบ้านในพื้นที่จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว แลนด์มาร์กสำคัญของเมือง
“เราอยากให้คนมาดูเอง แต่นักข่าวที่มากันวันนั้น(2 เมษายน)มีเบอร์ของสัตวแพทย์ที่ถูกไล่คนนั้นหมด รู้เห็นกันลงข่าวความจริงแค่ครึ่งเดียว พระท่านตอนนี้ก็ป่วย ไม่ไหวนะ ท่านโดนปืนจี้วันนั้น พระก็ไม่มีอาวุธไม่มีอะไรถูกปืนจี้แต่ไปลงข่าวว่าตีให้วัดเสียหาย
“ที่นี่ทำผิดอะไร เสือก็อ้วนท้วนสมบูรณ์ หมีก็อ้วนท้วนสมบูรณ์ ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเหมือนกันที่เสือมันอยู่ที่นี่แล้วมันขยายพันธุ์กันได้ดี นี่ก็เพิ่งคลอดลูกเพิ่มมาอีก 3 ตัว ตอนนี้ที่นี่เลยมีเสือเพิ่มจาก 146 เป็น 149 ตัวแล้ว คือเราทำผิดกฏเกณฑ์อะไรก็มาตรวจสอบกันเลยสิ คนในเป็นไส้ศึกนี่แหละ”
ถึงยามเย็นของวันนั้นสรรพสัตว์ส่งเสียงราวร่ำลา ทีมงานได้เข้ามาสัมผัสกับเสือในกรงนอน มันนอนคุดคู้เหมือนแมวแต่ก็ยังส่งเสียงครางดุร้ายเมื่อคนไม่คุ้นเคยเดินเข้าใกล้ ทันใดในชั่วลืมหายใจ เสือกระซิบคำรามลั่นจนทีมงานต้องผงะโดด เห็นได้ชัดว่ามันยังคงดุร้าย เป็นความดุตามธรรมชาติของมัน
ทีมงานออกเดินทางกลับพร้อมความจริงอีกด้านที่ยังไม่มีใครรับรู้ แม้จะเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ยากในยุคปัจจุบันที่ว่าความเมตตาที่ทำให้สัตว์ดุร้ายกลับเชื่องเชื่อได้ แต่บางสิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ก็เกิดขึ้นได้เสมอ เพียงเปิดใจและจินตนาการมองดูด้วยตาและพิจารณาจากความเป็นจริง
....................
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE
ภาพโดย อธิเจต มงคลโสฬศ, ธิติ ปลีทอง
ลิงค์ข่าวที่เกี่ยวข้อง >>> เสือข้าใครอย่าแตะ! เมื่ออำนาจเหยียบย่ำ "เมตตาธรรม"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754