จากบท “ครูจีจี้” เพื่อนนางเอกในหนังใหญ่เรื่อง “คิดถึงวิทยา” ที่แอบสร้างรอยยิ้มให้ผุดขึ้นในหัวใจของใครหลายๆ คน ด้วยความน่ารักสดใสอันเป็นเอกลักษณ์ ถึงตอนนี้เธอกลับมาพร้อมผลงานใหม่ในฐานะนางเอกละครเย็นเต็มตัวกับผลงานเรื่อง “หัวใจปฐพี”
“สายไหม - มณีรัตน์ ศรีจรูญ” กลายเป็นนางเอกคนใหม่ของช่อง 3 เวลาเพียง 1 ปีผ่านไปรวดเร็ว จากเพื่อนนางเอกสุดน่ารักที่แอบแย่งซีนแบ้วกลบนางเอกในบางซีน แย่งหัวใจบางดวงของคนดูในบางฉาก มาวันนี้เธอก้าวขึ้นมาเป็นนางเอกเต็มตัวด้วยตัวของเธอเอง
“ปีที่ผ่านมาเป็นปีแห่งการเรียนรู้ของสายไหมอย่างแท้จริงเลยคะ” เธอเอ่ยขึ้นมา หลังนึกถึงช่วงเวลาตลอด 1 ปีที่เต็มไปด้วยการทำงานหนัก ทั้งการเรียนที่ดำเนินมาถึงช่วงปีสุดท้ายของการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และการทำงานที่เธอได้รับโอกาสได้มาแสดงละครฟอร์มยักษ์ 2 เรื่องควบคู่สลับวันเว้นวัน
ช่วงนั้นเธอเพียงตื่นให้เช้าพาตัวเองไปนั่งรถผู้จัดการส่วนตัว มากองถ่ายต่างจังหวัดสลับเดินทางกลับเข้าเรียนในกรุงเทพฯ ในหัวแทบจะไม่ต้องคิดอะไรนอกจากทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ออกมาดีที่สุด ทุกวันคือการเรียนรู้ที่เปิดกว้างสำหรับเธอ
“แต่ไหมเป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่งๆมาแต่ไหนแต่ไรแล้วแหละคะ” เธอเอ่ยพลางแย้มยิ้ม “พอได้มาทำงานที่ตัวเองชอบถึงจะหนักแต่ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยคะ ชอบ รู้สึกสนุกดี”
ตอนนี้เธออยู่ในชุดแฟชั่นสีขรึมเข้มแต่ไม่สามารถบดบังบุคลิกน่ารักสดใสของเธอได้ เช่นเดียวกับความกระฉับกระเฉงที่แฝงอยู่ในท่าทางในการโพสท่าถ่ายรูป รวมถึงน้ำเสียงในการให้สัมภาษณ์ วันนี้ทีมงาน m-lite นั่งลงพูดคุยถึงตัวตนในฐานะนางเอกคนใหม่แห่งช่อง 3 พร้อมมุมสบายๆ ของชีวิตที่สะท้อนความสดใสที่อาจทำให้คุณหลงรักเธอมากขึ้นก็เป็นได้
พ่อแม่ไม่ไว้ใจวงการบันเทิง!
“จริงๆ แม่ออกจะไม่ค่อยชอบวงการบันเทิงด้วย เพราะดูข่าวบ่อยแม่จะมองว่าวงการนี้คนแข่งขันกัน ชิงดีชิงเด่น แม่เขาจะออกแนวสันติน่ะคะ เลยไม่ค่อยชอบแต่โชคดีที่เป็นพี่แอน (ทองประสม) มาชักชวนให้เข้าวงการเต็มตัว ซึ่งแม่เป็นแฟนคลับพี่แอนด้วยก็เลยตกลงให้รับงานได้”
นั่นคือจุดเริ่มต้นในวงการเต็มตัวของเธออย่างเรียบง่ายที่สุด แต่ก่อนหน้านั้น เธอผ่านงานโฆษณามาประปราย และผ่านผลงานภาพยนตร์ “คิดถึงวิทยา” ที่เริ่มทำให้เธอเป็นที่รู้จัก แต่จากจุดเริ่มต้นถึงตอนนี้เป็นเส้นทางที่เธอไม่นึกไม่ฝันว่าจะก้าวเดินมาด้วยซ้ำ
“จริงๆ แล้วไหมติดใจเบื้องหลังมากกว่าคะ เพราะเรียนมาด้านนี้” เธอเอ่ยขึ้น ถึงตอนนี้เธอเรียนอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะนิเทศศาสตร์ สาขาการตลาด ภาคอินเตอร์ “ถือว่ามีความสนใจวงการบันเทิงอยู่แต่ก็คนละสายงานน่ะคะ”
ทว่าก้าวแรกเข้าวงการของเธอจริงๆ นั้น อาจไม่ถือเป็นการเข้าวงการอย่างเต็มตัวนัก เธอเหมือนจะมองข้ามงานนั้นไป มองเป็นเพียงงานอดิเรกที่ทำด้วยใจรักเท่านั้น
“อ๋อ! ช่วงม.6จะเข้ามหาวิทยาลัยเคยแสดงละครเวทีเรื่องปริศนา เดอะมิวสิกเคิ้ลคะ” เธอเอ่ยขึ้นพร้อมยิ้มกว้าง “ตอนนั้นยังไม่ได้ชอบวงการนี้แต่ตัวเองเป็นคนชอบร้องเพลง ก็เลยไปเล่นละครเวทีเรื่องนี้ ไม่ได้ใหญ่โตอะไรของค่านดรีมบ๊อกแต่ก็สนุกดี ยังไม่ได้คิดถึงตรงนี้ ตอนนั้นเล่นเป็นพี่น้องกับปริศนา ยังคิดว่าเป็นกิจกรรมนอกเวลามากกว่า”
ดังนั้นเธอจึงมองว่าจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอเข้าสู่วงการเต็มตัวเป็นตอนที่เธอได้เล่นโฆษณาสินค้ายี่ห้อหนึ่งกับเจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิง ก่อนที่แอน ทองประสมจะชักชวนเธอเข้ามาเซ็นสัญญากับทางช่อง 3
“ก่อนเซ็นสัญญาไหมก็ได้ไปแคสละครข้าบดินทร์และได้รับบทมาก่อนด้วย ตอนนั้นตกใจมากเพราะคิดว่าตัวเองไม่น่าจะได้ แล้วจากนั้นก็ได้เล่นหัวใจปฐพีต่อแบบควบคู่กันไปเลยด้วย ก็เลยยิ่งกดดันมากขึ้น ถึงตอนนี้จริงๆ ต้องขอบคุณทุกคนที่มั่นใจในตัวไหมว่าไหมทำได้นะคะ ขนาดไหมยังไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำได้เลย”
โดยที่ผ่านมาพ่อแม่ของเธอไม่ได้ส่งเสริมให้เข้าวงการบันเทิง โดยเฉพาะแม่ที่ไม่ค่อยสนับสนุนจากข่าวที่ปรากฏตามหน้าสื่อ แต่พ่อแม่มักจะสนับสนุนให้เธอทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่นมาตั้งแต่เด็กๆ
“แม่จะกลัวว่าวงการนี้มันอันตรายหรือเปล่า จนมาเจอพี่แอนแล้วแม่เป็นแฟนคลับพี่แอนก็เลยให้มาทำ ส่วนคุณพ่อจะค่อนข้างตามใจ แต่ทั้งคุณพ่อคุณแม่จะชอบให้ทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่นมากกว่า”
วีรกรรมทำประจำ
แม้จะมีเสียงหวานใส ดูภายนอกน่ารักเรียบร้อย แต่เธอมองว่าตัวเองนั้นเป็นคนห้าวๆ ลุยๆ เสียมากกว่า ตั้งแต่เด็กๆ แม้จะเป็นผู้หญิงที่ถูกเลี้ยงดูในแบบครอบครัวคนจีนแต่เธอก็เป็นเด็กซนๆ พูดเก่ง และมักจะชอบอยู่กับผู้คน โดยบ้านของเธอตั้งอยู่ติดกับบ้านของญาติคนอื่นๆ ลูกหลานพี่น้องที่ไปมาหาสู่กันประจำคือวิถีชีวิตที่ทำให้เธอชินกับการอยู่กับผู้คนเยอะๆ
“เป็นคนชอบอยู่กับคนเยอะๆ ขี้เหงาบ้าง (หัวเราะ) คือเวลาคนน้อยจะรู้สึก หายไปไหนกันหมดนะ แล้วพอมาอยู่ชั้นมัธยมต้องมาอยู่โรงเรียนประจำก็ยิ่งติดอยู่กับคนเยอะๆ หนักเข้าไปใหญ่”
ช่วงมัธยมที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยซึ่งเป็นโรงเรียนหญิงล้วนประจำก็เป็นที่ซึ่งเธอได้ก่อวีรกรรมไว้มากมาย ก่อเรื่องทุกวันจนแทบจะไม่เรียกว่าวีรกรรมอีกแล้ว
“เรียกว่าเป็นชีวิตประจำวันไปแล้ว คือโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยถึงจะเป็นหญิงล้วนแต่ก็ไม่ใช่หญิงล้วนแบบผ้าพับไว้ จะเป็นหญิงล้วนแบบแสบๆ แล้วจะเหมือนในหนังเลย มีปีนต้นไม้เก็บมะยมหรือปีนเอาขนมปังไปซ่อนบนฝ้าเพดาน มดขึ้นเต็มห้อง (หัวเราะ)”
หากอยู่ที่บ้านเธอก็ทำตัวแก่นไม่แพ้กัน เคยขึ้นไปนั่งบนหลังคารถและขอให้คนขับรถขับรถไปมาให้เธอนั่งเล่นจนเป็นที่ปวดหัวของพี่เลี้ยงอีกด้วย ความห้าวแบบนี้จนถึงปัจจุบันเธอยืนยันว่ายังไม่หาย
“ที่บ้านจะค่อนข้างจีนก็จะเลี้ยงดูแบบเอเชีย เน้นเรื่องมารยาทเป็นสิ่งสำคัญมาก(เน้นเสียง) ไปลามาไหว้ กับคุณย่าที่เสียไปแล้ว ก่อนออกจากบ้านต้องไปไหว้คุณย่าเสมอ ปัจจุบันก่อนออกจากบ้านก็ต้องหอมแก้มคุณพ่อคุณแม่ตลอด จะเน้นเรื่องการให้ความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่”
กิจกรรมในช่วงวัยเด็กของเธอเต็มไปด้วยความหลากหลายตามประสาคนไม่ชอบอยู่เฉย ยิ่งเป็นโรงเรียนประจำที่มีเวลาว่างหลังเลิกเรียน เธอก็ยิ่งพาตัวเองเข้าไปทำกิจกรรมทุกอย่างเท่าที่จะทำได้
“มีรำไทยทุกงานคะ เต้นแอโรบิก จริงๆ อยู่โรงเรียนหญิงล้วนกิจกรรมมันก็วนๆ อยู่แค่นี้ มีประกวดนางนพมาศซึ่งก็ประกวดกันหมด เพื่อนๆ กันทั้งนั้น แม่ก็สนับสนุนให้ทำกิจกรรมพวกนี้ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับวงการบันเทิงเลย”
นอกจากนี้ยังมีเรียนเต้นบัลเลย์ที่โรงเรียนมีจัดสอนไว้ให้ แต่เพียงไม่นานเธอก็ล้มเลิกเพราะไม่ชอบกระโปรงที่ใส่แล้วรู้สึกคัน
“ไหมเป็นประเภทให้ทำอะไรก็ทำหมด ไม่ชอบอยู่เฉยๆ ที่เรียนรำส่วนหนึ่งก็เพราะโรงเรียนบังคับด้วย แต่เรียนแล้วก็สนิทกับครู ชอบครูไม่ได้ชอบรำ ถึงตอนนี้มันก็เป็นเสน่ห์ของคนไทยดี แต่รำเป็นแค่เล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร”
ทว่ากิจกรรมนอกเวลาอย่างหนึ่งที่เธอชื่นชอบและทำมาจนถึงปัจจุบันก็คือ การร้องเพลง
“ไม่ได้ร้องเพราะนะคะ แต่ชอบร้อง (หัวเราะ) ชอบมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ไม่ได้ร้องจริงจัง มีเรียนพิเศษบ้างแต่ไม่เคยประกวดเลยคะ เพราะไหมเป็นคนกลัวการประกวดที่สุดในโลก ไม่ชอบประกวดอะไรเลย ให้เรียนก็เรียนไปได้เรื่อยๆ โชว์ก็ได้แต่ประกวดไม่เอาเด็ดขาด”
คนโฆษณา
วงการโฆษณาถือเป็นสายงานที่ให้ดอกผลมากมายที่สุดวงการหนึ่งของประเทศ การทำงานที่มาตรฐานสูงไปถึงระดับสากลทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่วงการโฆษณามีการแข่งขันกันสูง มีทั้งของจริงและของปลอมปละปนกันไป
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผลงานโฆษณาตามหน้าจอทีวีก็มีส่วนสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กหลายคนใฝ่ฝันจะทำงานด้านโฆษณา และเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ก็ชอบโฆษณาแนวแบบที่หลายคนคงชอบ แนวโฆษณาไทยประกันชีวิตที่เร้าอารมณ์สะเทือนใจ มันท้าทายที่เขาสามารถสร้างอารมณ์สื่อสารกับคนดูได้ในเวลาเพียงแค่ 15 วินาที นี่คือสิ่งที่น่าสนใจสำหรับไหม”
แล้วโฆษณาครีมผิวสวยไม่ชอบเหรอ? เราลองถามกลับ เธอยิ้มพร้อมบอกว่า ถ้าทำให้คนอยากซื้อครีมได้ใน 15 วินาทีก็ท้าทายเหมือนกัน ทั้งนี้ แม้จะขึ้นชื่อว่านิเทศแต่สิ่งที่เธอเรียนโดยมากมักจะเป็นเรื่องของการทำงานเบื้องหลัง ศาสตร์การแสดงจึงเป็นเรื่องการไกลตัวกว่าที่ทุกคนคิด
“ไม่มีวิชาที่เกี่ยวกับการแสดงเลยคะ” เธอเอ่ย “ที่ไหมเรียนจะเกี่ยวกับการทำโฆษณา วางแผงอีเวนต์ ทำยังไงให้คนรู้สึกแบรนด์ วางแผนการตลาดเชิงพาณิชย์ เน้นที่สื่อมากกว่า”
ส่วนที่ทำให้เธอชอบการตลาดนั้นมาจากความเป็นเหตุเป็นผลของตัววิชา และความตื่นเต้นท่าทายที่อยู่บนความไม่หยุดนิ่งในการทำงานที่ไม่มีถูกหรือผิด มีเพียงประสบความสำเร็จหรือไม่เท่านั้น
“มันท้าทายและได้ทำอะไรใหม่ๆอยู่เสมอ ช่วงมหา'ลัยก็มีทำกิจกรรมละครนิเทศ ไม่ได้เล่นละครนะ ไปช่วยเขาเพนต์ฉาก ตอกตะปู เดินตั๋ว ก็ไม่ได้ทำกิจกรรมสวยหรูอะไร ทำสนุกๆ มากกว่า”
ครูจีจี้กับศาสตร์การแสดงที่คุ้นเคย
ในส่วนของการแสดงนั้น จากการเป็นเด็กที่ทำกิจกรรมหลากหลาย หนึ่งในกิจกรรมที่ได้ทำในช่วงเรียนมัธยมก็คือการแสดงละครเวทีนั่นเอง
“จริงๆ เป็นคนชอบการแสดงมาตั้งแต่ประถม - มัธยมแล้วนะ” เธอเอ่ยพลางหัวเราะราวกับพึ่งนึกขึ้นได้ “ใช่ๆ ตลกมาก ได้รับบทเป็นผู้ชายด้วยเพราะว่าอยู่โรงเรียนหญิงล้วนแล้วไหมเป็นคนตัวสูง เวลาเล่นละครก็จะถูกจับให้เล่นเป็นผู้ชาย ไหมก็ชอบมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนะ เพราะเอาจริงๆ ถ้าไม่ได้เล่นละคร ชีวิตปกติเราคงไม่ได้ใช้ชีวิตแมนๆ ขนาดนั้น ก็เลยเริ่มชอบแล้วโรงเรียนก็มีกิจกรรมแบบนี้เยอะ แต่ส่วนใหญ่ก็แสดงเพื่อความบันเทิงมากกว่า ไม่ได้ซีเรียสประกวด มันเลยยิ่งทำให้สนุกกับการแสดงมากขึ้น”
นึกย้อนกลับไป เธอก็มีพัฒนาการในเล่นละครเวทีอยู่บ้าง จากบทชาวบ้านตัวประกอบเต้นแอโรบิก (ทำไมต้องเต้นแอโรบิก เธอก็นึกไม่ออกแต่อย่างน้อยมันทำให้เธอติดใจการแสดง) เธอค่อยๆ ขยับมารับบทนำเป็นปีเตอร์ แพนในละครเรื่องปีเตอร์ แพน!
“ด้วยธรรมชาติของโรงเรียนประจำที่มีช่วงเวลาให้ได้ทำกิจกรรมมากกว่าคนอื่น มากกว่าไปโรงเรียนกลับบ้าน ซ้อมละครก็ซ้อมกลางคืนก่อนนอน มันเลยสนุก แล้วมันไม่ต้องคิดอะไรเลย เล่นผิดถูกก็เล่นกับเพื่อนๆ”
จากละครเวทีวัยเด็กสู่ละครเวทีเรื่องปริศนากระทั่งมาสู่การแสดงบนจอเงินของหนังใหญ่คิดถึงวิทยา คนที่ไม่ชอบการประกวดแข่งขันอย่างเธอก็ต้องเจอเข้ากับการแข่งขันเสียแล้ว
“แต่แคสอันนี้ไหมโอเคนะ เพราะตอนไปแคสมันมีแค่เรากับผู้กำกับ เขาอยากให้ทำอะไรก็ทำ แล้วบรรยากาศของจีทีเอชมันเป็นครอบครัวมาก เหมือนยกคณะไปไว้ที่ทำงานเพราะส่วนใหญ่เขาจะจบจากนิเทศจุฬาฯ กันหมด”
รุ่นพี่ที่ทาบทามชักชวนก็เป็นรุ่นพี่ที่รู้จัก ผู้กำกับก็รู้จักมาก่อน บอกกันง่ายๆ คุยกันสบายๆ และบทของครูจีจี้ที่เธอได้รับนั้นก็เป็นบทที่เปิดกว้างให้เธอเล่นในแบบที่เป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่
“บทครูจีจี้ไม่ได้มีการฟิกไว้ตายตัว มันเปิดกว้างให้เล่นเป็นตัวเองได้เต็มที่ เขาจะเพิ่มลดตรงไหนก็บอกซึ่งก็สนุกดี”
ความกดดันของวงการบันเทิง!
โดยรวมๆ แล้ว ชีวิตเธอค่อนข้างจะไปในทางหลีกเลี่ยงการแข่งขันเท่าที่จะทำได้ ถือเป็นชีวิตโลดโผนไปในทางทำกิจกรรมสนุกสนานเสียส่วนใหญ่ และเธอไม่ได้มองว่าการทำกิจกรรมเหล่านั้นเป็นงานหนักหากแต่มันคือการเล่นสนุกเสียด้วยซ้ำ
ทว่าการงานแห่งวงการบันเทิงกำลังนำพาความจริงอันโหดร้ายของการทำงานมาให้เธอ (หรือเปล่า?)
“มาแคสละครก็กดดันแล้วคะ” เธอเปลี่ยนสีหน้า แต่ยังมีรอยยิ้มอยู่ “ตอนแรกสุดที่รู้ว่าได้เล่นข้าบดินทร์ละครช่อง 3 ตอนนั้นงงมากคะ ได้เล่นก่อนเซ็นสัญญาช่องด้วยซ้ำ คือคุยกับทางช่องไว้แต่ยังไม่ได้เซ็นกันเป็นลายลักษณ์อักษร ทางช่องก็ส่งให้อาปิ่น (ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์) พอเขาบอกเล่นได้นะ กดดันมากคะ”
ทันใดนั้นเอง เธอพลันนึกบางอย่างออกจึงบอกขัดขึ้น
“อ๋อ เอาใหม่คะ กดดันตั้งแต่ตอนแคสแล้วคะ เพราะต้องเล่นกับแมท ภีรนีย์ กับเจมส์ มาร์ เราก็เฮ่ย ดังทั้งคู่ จะไหวป่าวเนี่ย? ใจหนึ่งเลยยังคิดว่าคงไม่น่าจะได้เพราะละครก็ฟอร์มใหญ่ด้วย ถึงตอนนี้ต้องขอขอบคุณผู้ใหญ่ทั้งทางช่องและอาปิ่นที่เชื่อมั่นในตัวไหมมากกว่าที่ตัวไหมเชื่อมั่นในตัวเองอีก”
และหลังจากได้บท บัว ในละครข้าบดินทร์ ความกดดันที่หนักอึ้งยิ่งกว่าเดิมก็ถาโถมมาสู่เธอ ความกลัวยิ่งผุดขึ้น กลัวว่าจะทำได้ไม่ดีอย่างที่ทุกคนคาดหวัง กลัวว่าเล่นกับนักแสดงที่มีชื่อเสียง อีกทั้งยังมีนักแสดงรุ่นใหญ่อีกมากมาย เหล่านี้ทำให้เธอยิ่งรู้สึกกดดันกับการทำงานที่กำลังจะมาถึง
“เด็กสุดก็จะเป็นเจมส์ มาร์ แล้วก็มีแมท ภีรณีย์ที่ดังมาก นอกนั้นก็เป็นนักแสดงรุ่นใหญ่หมด มีพี่แหม่ม - จินตหรา มีอาหมู - ดิลก เราก็รู้สึกกดดันอยู่เหมือนกัน” เธอเล่าถึงการแสดงละครในครั้งแรก “แต่พอเอาเข้าจริงมันไม่ได้เป็นบรรยากาศที่ทำให้เรารู้สักกดดัน แต่เป็นบรรยากาศที่เราเข้าไปแล้วเขาสอนเรามากกว่า
“โอเค ในเรื่องของการตั้งความหวังเขาก็ต้องมีอยู่แล้ว แต่ด้วยบรรยากาศการทำงานของผู้ใหญ่ทุกคน และพี่ๆ ในกองถ่ายมันอบอุ่นกว่าที่ไหมคิดไว้เยอะ เพราะดูจากภายนอกจะรู้สึกว่าทุกอย่างทุกคนแข่งกัน แต่ความจริงแล้วในกองถ่ายมันไม่ใช่ มันคือการทำงานร่วมกันให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด”
บทบาทที่เธอได้รับคือ บัว เธอมองว่าเป็นตัวละครที่เรียบร้อยตามแบบฉบับละครย้อนยุค เป็นลูกสาวคณะละครรำที่โด่งดังของยุคนั้น ไม่แปลกหากต้องเป็นกุลสตรีทุกท่วงท่าในการเคลื่อนไหว อีกทั้งยังต้องเป็นแม่บ้านแม่ศรีเรือนอีกด้วย
“ตัวละครบัวเขาจะรู้สึกว่าตัวเองดีพร้อมเพราะฉะนั้นเขาก็เลยจะสวยเลือกได้ประมาณนั้น เล่นยากไปซะทุกอย่างเลยคะ ตั้งแต่ใส่เสื้อผ้าก็ยากแล้ว เพราะมันไม่ใช่ชุดปกติ และบทพูดยากมาก ท่องแล้วเข้าไปแสดงเลยไม่ได้ ต้องเตรียมตัวก่อน ท่องบทไปก่อน 2 - 3 วัน และต้องท่องบทให้เป๊ะ มันต้องเป็นคำๆ นี้เลย ซึ่งไหมก็มีปัญหาเรื่องความจำอยู่ ต้องทำการบ้านหนักขึ้น แต่ก็ได้พี่เต๋า - สโรชาเป็นแอกติ้งโค้ชให้ ช่วยได้เยอะมาก แนะนำเทคนิครอบด้านมากทั้งการแสดง การวางตัว”
แต่แล้วไม่นานนักเธอก็ได้รับบทนางเอกจากละครหัวใจปฐพีเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อง เธอยิ้มๆ พร้อมบอกว่าความกดดันลดน้อยลงจากครั้งก่อนเพราะผลงานใหม่ยังคงเป็นผู้จัดละครและทีมงานเดิมที่คุ้นหน้าคุ้นตากันแล้ว ทว่ารายละเอียดของงานที่เป็นละครคนละแนวก็ทำให้เธอเจอกับความยากลำบากในการปรับตัวอยู่ไม่น้อย
“การใช้ชีวิตการเข้าหาทีมงาน ความสนิทมันง่ายขึ้นแต่ไม่ได้แปลว่าการแสดงจะง่ายขึ้น และการเล่นละครพีเรียดที่หลายคนอาจจะมองว่ามันยากกว่า แต่ความจริงมันกลับกันเลย สำหรับไหมมันกลับยิ่งยากขึ้นเพราะไหมไม่เคยเล่นละครอะไรมาก่อนมาเล่นข้าบดินทร์เลย ไหมก็ไม่มีพื้นฐานอะไรขนาดนั้น ทุกอย่างเป็นสิ่งใหม่หมด พอเป็นแบบนั้นไหมก็เลยเริ่มเซตในหัวแล้วว่า การแสดงละครมันต้องเป็นแบบนี้จากละครเรื่องข้าบดินทร์
“แต่พอมาเรื่องหัวใจปฐพี คาแรกเตอร์เปลี่ยนแบบพลิกกลับตาลปัตรมาก คราวนี้มันเลยต้องเคลียร์อันเก่าออกไปแล้วเอาอันใหม่เข้ามา อย่างเรื่องการพูด ไหมก็จะเซตแล้วสปีดเท่านี้คือสปีดการพูดของการเล่นละคร แต่ข้าบดินทร์เราพูดช้าทำอะไรช้ามาก พอมาหัวใจปฐพีแล้วพูดช้า เฮ่ย! ไม่ใช่ ไม่ได้ เราเนือยเลย เดินก็ช้า ทำอะไรช้าไปหมด ตอนแรกผู้กำกับบอกเลยทำไมไหมไม่กระตือรือร้น ง่วงหรือเปล่าเนี่ย? ไหมก็บอกไหมไม่ได้ง่วงนะ แต่ไหมติดการแสดงแบบนั้นเลยต้องเริ่มใหม่หมด”
ช่วงที่ถ่ายละคร 2 เรื่องควบไปพร้อมกันนั้น เธอเผยว่าต้องเรียน 4 วัน และถ่ายละคร 7 วันติดต่อกัน บางวันเธอต้องไปออกกองต่างจังหวัดแต่เช้าตี 5 ถ่ายละครถึงเที่ยง ตีรถกลับกรุงเทพฯเพื่อมาเรียนจนเสร็จ 4 โมงเย็น ยังต้องกลับไปทำงานต่อที่ต่างจังหวัดจนถึง 5 ทุ่ม
“วันหนึ่งไม่ต้องคิดอะไรเลยคะ รู้แค่ว่าต้องตื่นให้ทันรถพี่ผู้จัดการเท่านั้น ต้องยกความดีความชอบให้พี่ผู้จัดการกอง พี่ผู้จัดการตัวเอง ครูๆ เพื่อนๆ คือมันเป็นงานที่ไหมไม่สามารถผ่านพ้นมันไปได้ด้วยตัวคนเดียวแน่นอน”
จากการทำงานหนัก เธอเผยว่ามีโทรมบ้างแต่ก็แอบเป็นคนถึกอยู่เหมือนกัน ยังคงทำงานได้โดยไม่มีอาการป่วยใดๆ อีกทั้งสภาพจิตใจก็ยังมีความสุขเพราะได้ทำในสิ่งที่ชอบทั้งการทำงานและการเรียน
“เหนื่อยแต่สนุกคะ เพราะไหมเอนจอยกับการทำทั้งสองอย่าง มีบ้างที่นั่งๆอยู่หลับไปเลย แต่ก็มันส์ดี”
อย่างไรก็ตาม ในการทำงานแบบคาบเกี่ยวมีบางวันที่นอนไปเป็นบัวและตื่นมาต้องเป็นเอวาในหัวใจปฐพี บางทีก็ทำให้เธอต้องปรับตัวแต่ก็เป็นสีสันในการทำงาน สิ่งที่เธอประทับใจเป็นพิเศษในการทำงานก็คือการถ่ายทำนอกสถานที่โดยที่ทั้งสองเรื่องต้องมีการไปออกกองในป่าด้วย
“มันค่อนข้างโหดแต่ชอบนะ คือชอบบรรยากาศการทำงานเวลาเข้าป่ามันเหนื่อยกว่าถ่ายในเมือง และเวลาทุกคนเต็มที่ต้องช่วยกันทำงานก่อนแสงหมด อาทิตย์ตกซึ่งในป่ามันถ่ายยากมันก็ยิ่งต้องตั้งใจมาก มันยิ่งดูน่ารัก
“อีกอย่างที่ชอบคือเข้าป่าแล้วไม่มีสัญญาณโทรศัพน์ (หัวเราะ) ฉะนั้นทุกคนจะต้องสรรหากิจกรรมเข้าไปทำในป่า มันเป็นทำให้เข้าสังคมกันง่ายขึ้น คุยกันเยอะขึ้น เราก็สนิทกันเร็วขึ้น”
จัดดอกไม้ เล่นเปียโน ขึ้นภูเขาไฟ
จากวัยเด็กที่ทำกิจกรรมหลากหลาย ได้ทดลองว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไรมากมายในชีวิต เธอยังคงเหลือที่สิ่งที่ชอบไว้เป็นงานอดิเรก นอกจากการร้องเพลงที่ชอบทำตั้งแต่เด็ก เธอยังคงชอบเล่นเปียโนและจัดดอกไม้อีกด้วย
“เฮ่ย เราก็มีมุมหวานนะ (หัวเราะ) แต่ไหมจะชอบจัดดอกไม้แบบดอกไม้ป่า ไม่ใช่ดอกไม้ริบบิ้นนะ ไม่กระจุ๋มกระจิ๋ม เป็นพวงดอกไม้กลมๆ ที่คล้ายกับที่แขวนหน้าประตูบ้านฝรั่งตามเทศกาลคริสต์มาสนะคะ ตอนวันเกิดพี่เต๋า สโรชาก็จัดให้พี่เขา สนุกดี”
อีกอย่างที่ชอบทำคือการท่องเที่ยว มีบ้างที่จะเที่ยวช๊อปปิ้งแต่ก็ไม่บ่อยนัก แต่สิ่งที่เธอชอบมากและประทับใจส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเที่ยวแบบลุยๆ มากกว่า โดยทริปที่เธอประทับใจล่าสุดที่ไปคือที่การปีนภูเขาไฟโบรโนที่ประเทศอินโดนีเซีย
“อย่างปลายปีที่แล้วไหมไปอินโดนีเซียไปปีนภูเขาไฟ เออ โหดดี เดินนานมาก ต้องออกเดินทางตีสองเพราะในปล่องที่ไหมไปปีนมันจะมีไฟที่เกิดจากแก๊สอะไรสักอย่างที่มันจะเกิดเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น ฉะนั้นก็ต้องออกเดินทางตีสองเพื่อไปให้ถึงปล่องนั้นตอนตีสี่ครึ่งจะได้เห็นไฟนั้น แล้วไฟเล็กมากเท่าโต๊ะเล็กตัวหนึ่งเอง”
หนทางไปถือว่าโหดหินกว่าที่เธอและเพื่อนๆ คิด รถขับไปจอดได้เพียงตีนเขา ต้องเดินเท้าย้ำกันอีกไกลตามฝีเท้าไกด์ท้องถิ่นนำทาง โดยเธอมากับกลุ่มเพื่อนสาวล้วน 8 คน รองเท้าก็ใส่เพียงผ้าใบธรรมดาเท่านั้น
“ต้องขอบคุณอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ไหมมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ เพราะมันไม่มีขอบกั้น ตกก็ตกเลย ก็คือเดินเขาแหละแต่มันก็จะไม่ได้ใช้เท้าเดิน ก็มีไกด์นำเป็นชาวอินโดนีเซียซึ่งแต่ละวันทางก็จะเปลี่ยนไปตามแต่ที่หินลูกไหนมันจะตกลงมาทำให้ทางเปลี่ยน มันไม่ใช่จุดชมวิวเรียกว่าจุดผจญภัยดีกว่า”
ทั้งวันจะมีคนเที่ยวประมาณ 50 คนได้ โดยช่วงเช้าที่คนขึ้นไปชมไฟที่ปล่องภูเขาก็มีคนไปไม่เยอะนัก ไกด์ชาวอินโดนีเซียก็ตกใจเมื่อเห็นว่าเธอกับกลุ่มเพื่อนตัดสินใจลุยไปจริงๆ
“ไหมไม่ได้เตรียมการว่ามันจะโหดขนาดนั้น คนอื่นเดินเขาก็จะมีรองเท้ามีพื้นแหลมๆ เกาะพื้นไป ก็กลัวๆ อยู่เหมือนกัน แต่มันมาถึงแล้วเราก็ต้องไป”
และด้วยความชอบด้านการท่องเที่ยว งานพิธีกรในรายการเซย์ไฮที่ทำกับรุ่นพี่อย่างติ๊ก กัญญารัตน์จึงเป็นสิ่งที่เธอชอบเป็นพิเศษ และการเป็นพิธีกรท่องเที่ยวเธอรู้สึกว่าเป็นศาสตร์ที่ง่ายที่สุดในวงการบันเทิง เพราะมันคือการตัวเองที่เธอถนัดอยู่แล้ว
“คือไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวแต่งหน้าทำผม การพูดมันคือการเอาตัวเองออกมา ไหมก็เป็นคนชอบพูดอยู่แล้ว ชอบเล่าเรื่องอะไรให้คนอื่นฟัง ฉะนั้นมันก็ค่อนข้างตรงกับตัวเองในการเป็นพิธีกรแล้วก็ชอบท่องเที่ยวด้วย ก็เลยแบบว่าใช่เลย ช่วงไหนว่างๆ ไม่ติดเรียนไม่ติดงานก็อยากไป”
เมื่อกลับบ้านเธอยังคงชอบฟังเพลงเล่นเปียโน โดยเพลงที่ชอบส่วนมากจะเป็นเพลงไทยเพราะเธอจะได้ร้องตามได้และเข้าใจความหมายในทุกถ้อยคำ
“เปียโนก็ชอบเล่นไปด้วยร้องไปด้วย แต่ถ้าเตรียมสอบครูจะมีเพลงคลาสสิกมาให้เล่น มันก็ชอบนะ สนุกดี แต่ส่วนมากไหมจะฟังเพลงไทยมากกว่า ยกเว้นฟังชิลชิลก็อาจจะเป็นเพลงที่ไม่มีเนื้อเพลงแล้วบีทไม่เร็วก็ฟังสบายๆ”
ชีวิตต้องเปิดใจให้กว้างเอาไว้
การใช้ชีวิตที่ผ่านมาของเธอส่วนหนึ่งคือการเปิดกว้างให้โอกาสกับชีวิตในการได้ลองทำในหลายสิ่งหลายอย่าง ถึงตอนนี้เธอจึงใช้ชีวิตอย่างเปิดกว้างเหมือนการใช้ชีวิตที่ผ่านมา เปิดกว้างในการเรียนรู้ทั้งชีวิต การเรียน และการทำงานที่ต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นอยู่เสมอ
“มันก็ไม่ใช่หลักการดำเนินชีวิตขนาดนั้น สำหรับไหมเหมือนการเรียนรู้อะไรที่คิดว่ามันปรับใช้ได้ ทำให้ชีวิตการทำงานมันส่งผลดีขึ้น ไหมว่าชีวิตคือการเรียนรู้และต้องเปิดใจให้กว้าง ทุกอย่างไม่ใช่แค่วงการบันเทิง แต่รวมถึงการเรียน การรับฟังความเห็นของคนอื่นเยอะก็สำคัญมาก”
ชีวิตทั้งด้านการเรียนและการทำงานของเธอไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว งานแต่ละชิ้นจำเป็นต้องทำงานร่วมกับคนอื่น ทั้งงานโฆษณาที่โปรเจกต์หนึ่งต้องรวมคนไม่น้อยกว่า 20 คน หรืองานละครก็ต้องมีรวมทีมเป็น 100 คน
“ฉะนั้นไหมว่ามันคือการเปิดใจฟังความคิดเห็นของคนอื่น เรียนรู้จากประสบการณ์ทั้งจากที่คนอื่นสอน มันใช้ได้เยอะน้อยมันอีกเรื่องนึง แต่มันจะมีประโยชน์กับเรานั่นแหละ อะไรที่ลองมาทำดูแล้วมันไม่เวิร์กก็จะเป็นประสบการณ์ว่า เฮ่ย! มันไม่เวิร์กนะ”
ปีที่ผ่านมาสำหรับเธอจึงเป็นปีแห่งการเปิดรับและเรียนรู้สิ่งใหม่ โดยเฉพาะในเรื่องของการทำงานทั้งเทคนิคด้านการแสดงและการเรียนรู้ในการวางตัวในสังคม ซึ่งมีบทเรียนใหม่ๆ ให้เธอได้เรียนรู้ทุกวันไม่มีที่สิ้นสุด
“อันที่รู้สึกว่าได้ประโยชน์มากคือเรื่องของกล้อง เมื่อก่อนไหมเคยเล่นละครเวทีมา เราก็จะเล่นอะไรก็ได้ไม่ต้องแคร์กล้อง เล่นอะไรไปคนดูจะเลือกมองเองว่าจะดูตรงนี้ไม่ดูตรงนี้ แต่กล้องมันเป็นการเล่นที่ละเอียดอ่อน และมันเป็นการเล่นที่มันชัดมาก ช่างกล้องอยู่ตรงนี้เอง แล้วไหมอยู่ตรงนี้มันใกล้กันมาก
“และเวลาแสดงอารมณ์มันไม่ได้เป็นการพูด มันเป็นอะไรที่ไม่ได้ออกมาเป็นคำพูดมากกว่า เป็นการแสดงออกทางตาทางสีหน้าอะไรพวกนี้ ซึ่งมันก็เป็นการเรียนแบบใหม่ที่ไหมไม่เคยเรียนมาก่อน”
ถึงตรงนี้เธอมองว่าตัวเองมาไกลเกินกว่าที่คิดไว้มาก ไม่ได้ปูพื้นเรียนด้านการแสดงมาก่อน ไม่ได้เตรียมตัวจะเข้าวงการ ความสวยเป๊ะก็ไม่ได้มีอย่างที่ดาราส่วนใหญ่ควรจะเป็น หากไม่ได้ทำงานก็ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม ยังคงมีมาดลุยๆ ของการทำกิจกรรมนักศึกษาอยู่
อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงความฝันในอนาคต เธอมองว่า ตัวเองเป็นคนโลภกับการทำงานเอามากๆ และมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากทำควบคู่กันไปในชีวิต
“ไหมอยากทำอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา อย่างโอกาสที่ได้มาทำงานตรงนี้ก็ต้องพยายามทำให้ดีที่สุด ไม่อยากทำอย่างเดียว สิ่งที่ไหมเรียนมาด้วยความตั้งใจของไหม มันเป็นความฝันอย่างหนึ่ง ไหมก็อยากทำให้สำเร็จด้วย โชคดีที่การเรียนกับการทำงานของไหมมันยังเชื่อมโยงกันอยู่บ้าง แต่เอาจริงๆ คือไหมยังมีสนุกกับการทำทุกอย่างที่ผ่านมา มันยังมีตัวแปรอีกมากในชีวิต
“ฉะนั้นยังไม่แน่ใจว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่ไหมชอบที่สุด ทำวันที่มีอยู่ตอนนี้ให้ดีที่สุด แล้วถ้ามันจะอยู่ได้นานก็ถือเป็นเรื่องดี แต่ไหมก็อยากทำอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย ทั้งธุรกิจและงานอดิเรกที่ไหมชอบ”
ในส่วนเรื่องของหัวใจนั้น เธอยิ้มพร้อมเผยถึงสเป็กของตัวเองว่า ชอบผู้ชายที่ตัวสูงกว่าและหุ่นดี อาจจะไม่ต้องถึงกับมีกล้ามเป็นมัดๆ แต่ก็ต้องเป็นคนไทยที่สื่อสารรับมุกแบบไทยๆ เข้าใจวัฒนธรรมไทยได้ดีด้วย
“ไหมเป็นผู้หญิงตัวสูงน่ะคะ ก็ชอบคนที่สูงหน่อยอย่างน้อยคือสูงกว่าเรา แล้วก็ต้องเป็นคนไทย คือเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ฝรั่งก็ได้แต่ต้องพูดภาษาไทยเข้าใจกัน
“คือไหมเรียนหลักสูตรอินเตอร์แล้วไหมจะชอบคนที่เวลาเล่นมุกแล้วมันเล่นเป็นภาษาไทยขำเหมือนกัน เก็ตเหมือนกัน เวลาฝรั่งเขาจะชอบเล่นมุกแบบ เออ ขำก็ได้ แต่มันไม่ได้เข้าใจกัน 100 เปอร์เซ็นต์ พวกสแลง คำผวน ถ้าพูดภาษาไทยได้มันก็ถูกคอกัน เข้าใจกันง่ายกว่า”
ในส่วนนิสัย เธอชอบคนตลก ขี้เล่น คุยเก่ง แต่ก็ไม่ต้องแย่งเธอคุยทุกเรื่อง อย่างไรก็ตาม เธอไม่ชอบคนเงียบขรึมแน่นอน
“ความรักมันขึ้นอยู่กับความเข้าใจ ยิ่งไหมทำงานเรียนรู้งานตรงนี้มากขึ้น คือไหมไม่ได้มีทัศนคติเกี่ยวกับความรักในมุมหวานๆ ขนาดนั้น ไหมจะชอบให้แต่ละคนมีอิสระเป็นของตัวเอง เพราะไหมก็เป็นคนรักอิสระอยู่เหมือนกัน แต่ละคนใช้ชีวิตของตัวเองก่อน มีเวลาว่างค่อยมาเจอกันซึ่งหายากมากเลยคะ ยิ่งวัยไหมยิ่งรักยิ่งต้องเจอกันบ่อย ไหมว่าเวลาว่างแล้วค่อยมาเจอกันมันมีค่ากว่าต้องพยายามหาเวลามาเจอกัน หายากคะ เลยยังหาไม่ได้ (ยิ้ม)”
-
ถึงตอนนี้นางเอกละครเย็นเป็นเพียงบททดสอบแรกในฐานะดาราของเธอ แต่กับอีกหลายบทบาทที่เธอยังคงมีความใฝ่ฝันในชีวิต การเปิดกว้างให้กับทุกความฝันยังคงเป็นสิ่งสวยงามที่ทำให้เธอไม่เหมือนนักแสดงทั่วๆไป รอยยิ้มและความรักในการทำงานดูจะเป็นเสน่ห์ฉายชัดอยู่ในทุกสิ่งที่เธอทำ และนี่คงเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของนางเอกคนใหม่คนนี้
เรื่องโดย อธิเจต มงคลโสฬศ
ภาพโดย ปวริศร์ แพงราช
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754